เรอัล มาดริด ความยิ่งใหญ่แบบจอมปลอม
EL CLASICO
เกมการแข่งขันระหว่างทีมที่ว่าดีที่สุดของประเทศสเปนหรือของโลกก็ว่าได้ โดยเกมการแข่งขันระหว่างบาร์เซโลน่าและรีลมาดริด ตั้งแต่เริ่มมีการแข่งขันระดับประเทศ ทั้ง 2 สโมสรเหมือนเป็นตัวแทนของ 2 แคว้นของสเปน คือ คาเทโลเนียและกาสตีย่า โดยการแข่งขันได้สะท้อนให้เห็นเกี่ยวกับ การเมือง เชื้อชาติ และวัฒนธรรม ฯลฯซึ่งทั้ง 2 แคว้นนั้นมีความแตกต่างกัน โดยความขัดแย้งที่เกี่ยวกับเชื้อชาติไม่ได้มีเพียง 2 สโมสรจาก 2 แคว้นนี้เท่านั้นยังมีสโมสรฟุตบอลอื่นจากแคว้นอื่นที่ใช้เกมกีฬาในการแสดงออกว่าพวกเขาไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล แต่เรื่องที่อาจจะทำให้รัฐบาลยอบรับฟังและต้องหาวิธีแก้ไข นั้นก็คือความขัดแย้งระหว่างบาร์เซโลน่าและรีลมาดริด
สาเหตุแห่งความขัดแย้งของ 2 ทีม : นโยบายการรวมประเทศให้เป็นเอกภาพ ของนายพลฟรังโก ค.ศ. 1939 – 1973
นายพลฟรังโก ผู้นำรัฐบาลขณะนั้น ได้อนุญาตให้มีเพียงพรรคเดียวภายในประเทศ และปราบปรามการเคลื่อนไหวใดๆ ที่มีลักษณะทางการเมืองอันมีลักษณะต่อต้านรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นการยุบพรรคการเมืองฝ่ายค้านทั้งหมดภายในประเทศ ตลอดจนลดบทบาทสหภาพแรงงานกลุ่มต่างๆ ซึ่งสามารถเป็นที่ชุมนุมของประชาชนที่ต่อต้านรัฐบาล โดยหลักการของนายพลฟรังโก คือ ลัทธิชาตินิยม(nationalism) สังคมสเปนจึงได้รับข่าวสารตามที่รัฐกำหนดให้ผ่านทางช่องทางการสื่อสารที่ควบคุมโดยรัฐ เช่น ก่อนข่าวภาคดึกจะมีการแถลงผลงานความคืบหน้าของรัฐบาลและมักเน้นถึงตัวผู้นำ คือ นายพลฟรังโก ประกอบกันอย่างต่อเนื่อง สังคมสเปนในยุคนี้จึงเป็นสังคมสำเร็จรูปที่รัฐบาลกำหนดรูปแบบและเนื้อหาข่าวสารให้ประชาชนไว้ แนวนโยบายหนึ่งที่ประกาศออกมาเกี่ยวกับการอนุญาตใช้ภาษาราชการที่สำคัญ คือ ประกาศให้ภาษาสเปนเป็น ภาษาราชการเดียวของประเทศและให้ใช้ภาษาสเปนเพียงภาษาเดียวในระบบการศึกษาของประเทศ และยกเลิกการใช้ภาษาอื่น ๆ เช่น ภาษากาตาลันในแคว้นกาตาโลเนีย ภาษาบาสก์ในแคว้นบาสก์ และเนื้อหาและภาษาที่ใช้ในสื่อสิ่งพิมพ์ก็ได้ถูกห้ามและกำหนดบทลงโทษไว้ แสดงถึงแนวนโนบายของนายพลฟรังโก ที่ต้องการสร้างเอกภาพภายในประเทศสเปนให้เกิดขึ้นภายหลังสงครามการเมืองภายในประเทศ
เมื่อมีการแข่งขันฟุตบอลลีกในประเทศสเปน
ปี 1928 สมาชิกผู้ก่อตั้งฟุตบอลลีกของสเปน จำนวน 10 ทีม ได้เริ่มแข่งขันฟุตบอลอย่างเป็นทางการครั้งแรกในสเปน และก็เป็นบาร์เซโลน่าที่คว้าแชมป์ไป
นั่นก็เป็นการคว้าแชมป์ในรายการที่ ใหญ่ที่สุดในแผ่นดินสเปนของทีมที่ก่อตั้ง มานับแต่ปี 1899 หลังจากนั้นก็เป็นการเรืองอำนาจของแอธเลติก บิลเบา
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ไม่คาดฝันของโลกก็เกิดขึ้นเมื่อเกิดสงครามการเมืองของสเปน และก็เป็นฝ่ายเผด็จการของนายพลฟรังโก้ที่ได้ครองอำนาจไป
อำนาจของนายพล ฟรังโก้ ก็เป็นยุคที่มีการจุดประกายให้ฟุตบอลคู่นี้ดุเดือดเป็นต้นมา เนื่องจาก บาร์เซโลน่าถูกนายพลฟรังโก้จ้องทำลายนับแต่ได้เรืองอำนาจภายใต้ นโยบาย “สเปนหนึ่งเดียว” นโยบายนี้ได้พยายามรวมหลายแคว้นให้หลายเป็นสเปนเดียว แต่นโยบายที่เดินไปผิดทางที่นำหน้าด้วยการกดขี่ข่มเห่งประชาชน การละเมิดสิทธิต่างๆ รวมทั้งการห้ามพูดภาษาท้องถิ่นและห้ามให้ธงประจำแคว้น ทำให้ 2 แคว้นที่มีความเป็นชาตินิยมสูงอย่าง กาตาโลเนีย และ บาสก์ ได้พยายามต่อสู้มาโดยตลอด จนกระทั่งการต่อสู้จบลงด้วยสิ้นลมของนายพลฟรังโก้ และการอัญเชิญกษัตริย์ฮวน การ์ลอส ขึ้นครองราชย์
เหตุการณ์จุดชนวนครั้งแรกเกิดขึ้นในปี 1936 เมื่อโฆเซป ซูโยล อดีตประธานสโมสรของบาร์เซโลน่า ถูกลูกสมุนของนายพลฟรังโก้ลอบสังหาร
นั่นเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้แฟนฟุตบอลสะเทือนใจเป็นอย่างมาก นอกจากนี้นายพลฟรังโก้ได้แต่งตั้งคนใกล้ชิดเข้ามาดำรงตำแหน่งประธานสโมสร บาร์เซโลน่าเพื่อที่จะทำลายสโมสรฟุตบอลแห่งนี้จนเกือบทำให้สโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกแห่งนี้เกือบล้มละลายเป็นครั้งแรก อย่างไรก็ตามคนสนิทของนายพลฟรังโก้ก็ทนแรงกดดันของชาวกาตาโลเนียไม่ไหว ยอมหลีกทางให้กับเอนริค ปีเนย์โร่ เข้ามาดำรงตำแหน่งแทน สำหรับชื่อของคนสนิทนายพลฟรังโก้นั้นในอดีตสโมสรเคยจารึกชื่อไว้ว่าดำรง ตำแหน่งประธานสโมสร แต่ปัจจุบันได้มีการลบทิ้งไปแล้ว ส่วนปัญหาการเงิน ของบาร์เซโลน่าในเวลานั้นก็ได้รับความช่วยเหลือจากประเทศ เม็กซิโกทำให้รอดพ้นวิกฤตทางการเงินคราวนั้น
ในแง่ของการย้ายทีมจากบาร์เซโลน่าไปรีล มาดริด จากประวัติศาสตร์แล้ว มีนักเตะเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ชาวเบลากราน่ายังอ้าแขนต้อนรับอยู่ แม้ว่าจะย้ายไปอยู่กับเรอัล มาดริด ที่แฟนบอลทีมอื่นต่างตราหน้าว่าเป็น “ทีมรัฐบาล” เนื่องจากนายพลฟรังโก้พยายามทำทุกวิถีทางที่ทำให้เรอัล มาดริด ได้แชมป์ลา ลีกา นักเตะคนเดียวที่ว่านั้นคือ โฆเซป ซามิติเอร์ อดีตมิดฟิลด์ที่ถูกรัฐบาลของนายพลฟรังโก้ทรยศหลังจากย้ายไปเรอัล มาดริด ด้วยการเนรเทศไปอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส หลังจากนั้นโฆเซป ซามิติเอร์ ก็ได้กลับมาช่วยบาร์เซโลน่าด้วยการทำหน้าที่ผู้จัดการทีมในช่วง 1944-1947 รวมทั้งเป็นแกนนำในการพาตัวลาดิสเลา คูบาล่า ตำนานของบาร์เซโลน่าให้มาค้าแข้งในรั้วเลือดหมู-น้ำเงิน
เหตุการณ์ ที่ชาวกาตาโลเนียทำให้แฟนเรอัล มาดริดโกรธแค้น จะมี 2 เหตุการณ์หลักๆ คือ ในปี 1916 มีรายงานจากทางการสเปนว่านักเตะรายหนึ่งของรีล มาดริด ถูกยิงเสียชีวิตในแผ่นดินกาตาโลเนีย แต่ก็ไร้หลักฐานว่าถูกยิงด้วยสาเหตุใด เหตุการณ์ต่อมาเกิดขึ้นในปี 1930 ในเกมฟุตบอลถ้วยรอบชิงชนะเลิศระหว่างเรอัล มาดริด พบกับ แอธเลติก บิลเบา ผลคือเรอัล มาดริดพ่ายทีมเลือดข้นจากแคว้นบาสก์ไปด้วยน้ำมือของผู้ตัดสินชาวกาตาโลเนียที่ตัดสินอย่างไม่เป็นธรรม
ในยุคสมัยของนายพลฟรังโก้ ผู้นำเผด็จการรายนี้พยายามที่จะเชิดชูทีมจากเมืองหลวงเพื่อจะเป็นสัญลักษณ์ ในการประชาสัมพันธ์นโยบาย “สเปนหนึ่งเดียว” แต่การดำเนินนโยบายนั้นเน้นการใช้ความลำเอียงเป็นหลักแม้ว่าในช่วงแรกรีล มาดริดจะไม่ได้รับการเหลียวแลจากนายพลฟรังโก้เท่าที่ควรเนื่อจากอดีตผู้นำ สเปนให้ความสำคัญกับแอตเลติโก มาดริด มากกว่า แต่สายน้ำได้เปลี่ยนกระแสชนิดที่ไม่มีวันไหลย้อนกลับเมื่อเรอัล มาดริดได้มีผู้นำที่ชื่อซานติอาโก้ เบอร์นาเบว อดีตประธานสโมสรผู้ยิ่งใหญ่ของรีล มาดริดจนทำให้สโมสรได้ตั้งชื่อสนามเหย้าของตัวเองเป็นชื่อของอดีตประธานท่านนี้ ในปี1945 เบอร์นาเบวได้เข้ารับตำแหน่งผู้นำสูงสุดของทีมราชันชุดขาว นายพลฟรังโก้จึงหันมาสนับสนุนรีล มาดริดเป็นการตอบแทนความดีความชอบ ที่ประธานในตำนานคนนี้เคยร่วมรบเคียงบ่า เคียงไหล่กับนายพลฟรังโก้สมัยสงครามกลางเมืองสเปน หลังจากนั้นเป็นต้นมารีล มาดริดก็ได้รับการสนับสนุนอย่างออกนอกหน้า
เมื่อ ซานติอาโก้ เบอร์นาเบว เป็นใหญ่ในเรอัล มาดริด เหตุการณ์สำคัญครั้งแรกที่เขาได้ทำคือ การส่งสาสน์แสดงความรู้สึกต่อบาร์เซโลน่า ทีมคู่อริตลอดการ เนื้อหาในสาสน์นั้นกล่าวในทำนองที่ว่า เขาหวังว่าความสัมพันธ์ระหว่างรีล มาดริด และ บาร์เซโลน่า จะดีขึ้นในเร็ววัน อย่างไรก็ตามคำพูดกับการกระทำของผู้นำรีล มาดริด มักจะเป็นเรื่องตรงกันข้ามเสมอ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้นำหลายทีมต่างรู้กันเป็นอย่างดี และบาร์เซโลน่าก็เป็นทีมที่รู้เรื่องดีที่สุดเสมอ
ใน ปี 1953 มาร์ตี้ การ์เรตโต้ อดีตประธานสโมสรบาร์เซโลน่าเดินทางไปเจรจากับทีมมิลิโอนาริออส ทีมจากประเทศโคลัมเบีย เพื่อเจรจาคว้าตัวอัลเฟรโด ดิ สเตฟาโน่ แต่ด้วย ข้อตกลงที่บรรลุผลยากเหลือเกินจึงทำให้ใช้เวลานานกว่าการเจรจาจะ สำเร็จ ด้วยเหตุที่ว่าดิ สเตฟาโน่ ได้ติดหนี้กับต้นสังกัดอยู่จึงทำให้มีปัญหาวุ่นวายหลายเรื่องในการเจรจา มิลิโอนาริออสจึงยื่นคำขาดด้วยค่าตัว 2 หมื่นเหรียญสหรัฐ แต่ประธานบาร์เซโลน่าต้องการจ่าย 1 หมื่นเหรียญยูโรพร้อมกับปลดหนี้ของดิ สเตฟาโน่ทั้งหมด แม้ว่าราม่อน ตริอาส ฟรากาส ประธานของมิลิโอนาริออสจะ ไม่เต็มใจสักเท่าไหร่ แต่ก็ตกลงรับเงินจำนวนดังกล่าว เนื่องจากริเวอร์เพลทหุ้นส่วนในตัวดิ สเตฟาโน่ก็เห็นด้วยในการรับข้อเสนอ เหตุการณ์ วุ่นๆได้เกิดขึ้นเมื่อดิ สเตฟาโน่เซ็นสัญญากับบาร์เซโลน่าเรียบร้อย และฟีฟ่าได้อนุมัติการย้ายทีมในครั้งนี้ อย่างไรก็ตามสหพันธ์ฟุตบอลสเปนในการควบคุมของนายพลฟรังโก้ไม่ยอมรับการย้ายทีมดังกล่าว พร้อมจัดการเจรจาให้เรอัล มาดริด กับ มิลิโอนาริออส แต่ติดที่ว่าดิ สเตฟาโนเซ็นสัญญากับบาร์เซโลน่าไปแล้ว ทางสหพันธ์ฟุตบอลสเปน ซึ่งในเวลานั้นนายพลมอสการ์โดลูกน้องของนายพลฟรังโก้เป็นใหญ่อยู่ได้ออกกฎหมายห้ามซื้อนักเตะต่างชาติขึ้น เพื่อสกัดการย้ายร่วมทีมของดิ สเตฟาโน่แน่ นอนที่สุดบาร์เซโลน่าย่อมไม่พอใจเป็นอย่างมาก ที่ถูกสหพันธ์ฟุตบอลสเปนแทรกแซงและกลั่นแกล้งอย่างไม่เป็นธรรม จนทำให้สโมสรและแฟนบอลออกมาประท้วงสหพันธ์ฟุตบอลสเปน ทางสหพันธ์จึงแก้ เกี้ยวด้วยการประกาศว่าบาร์เซโลน่า และ รีล มาดริดบรรลุข้อตกลงในตัวของดิ สเตฟาโน่ ด้วยระยะเวลา 4 ปี แต่เป็นสัญญาการเล่นกับรีล มาดริด 2 ปีแรก และ บาร์เซโลน่า 2 ปีหลัง ทำให้มาร์ตี้ การ์เรตโต้ ต้องแสดงสปิริตลาออกด้วยความเอือมระอาต่อทางการสเปนและเรอัล มาดริด หลังจากนั้นไม่นานบาร์เซโลน่าจึงประกาศด้วยศักดิ์ศรีว่าทางสโมสรยอมสละสิทธิ์ ในตัวของดิ สเตฟาโน่ เนื่องจากทางสโมสรรับไม่ได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทางเรอัล มาดริดจึงสบโอกาสใช้คำพูดนี้ยืนยันกระต่ายขาเดียวเสมอมาว่า “บาร์เซโลน่าสมัครใจสละสิทธิ์เอง”
รัฐบาล สเปนในสมัยนายพลฟรังโก้ ได้พยายามกดขี่ข่มเหงแคว้นที่ไม่ให้ความร่วมมือ หรือ แม้แต่แคว้นที่ยังให้ความสำคัญกับภาษา วัฒนธรรม สัญลักษณ์ของแต่ละแคว้น แน่นอนที่สุดทีมฟุตบอลที่ได้รับผลกระทบอย่าง หนักคือแอธเลติก บิลเบา และ บาร์เซโลน่า ในส่วนของบาร์เซโลน่านั้นถูกบังคับให้เปลี่ยนชื่อสโมสรจาก Futbal Club Barcelona เป็น Spanish Club de Futbal Barcelona ทำให้แฟนบอลชาวกาตาลันไม่ชอบใจกับคำว่า “Spanish” แต่ก็ต้องจำยอมเพราะมิฉะนั้นอาจจะถูกอำนาจมืดทำลายสโมสร ปัจจุบันได้มีการเปลี่ยนชื่อกลับตามเดิมแล้ว
นายพลฟรังโก้ ก็เคยห้ามบาร์เซโลน่าลงเล่นในสนามเหย้าของตนเองมาแล้วหลังจากที่แฟนบอลบาร์ เซโลน่าโห่ใส่เพลงชาติสเปนจึงทำให้ทางการสเปนแสดงความไม่พอใจออกมาด้วยการ สั่งปิดสนามเหย้าเป็นเวลา 6 เดือนด้วยกัน นอกจากนี้ทางการสเปนยังเคยวางระเบิดในสมาคมแฟนบอลของบาร์เซโลน่า (สมาคมนี้ไม่เกี่ยวกับบอยซอส โนอิส) จึงทำให้เกิดความเสียหายและผู้คนบาดเจ็บผลที่ตามมาคือยอดสมาชิกอย่างเป็นทางการของสโมสรได้ลดลงอย่างน่าใจหาย ด้วยความหวาดกลัวที่ว่าหากเป็นสมาชิกของสโมสรแล้วจะถูกทางการสเปนลอบทำร้าย
โจน กัมเปร์ ผู้ก่อตั้งสโมสรบาร์เซโลน่าย่อมหลีกหนีไม่พ้นเรื่องเลวร้ายแบบนี้เช่นกัน อดีตประธานสโมสรชาวสวิสได้ถูกบีบบังคับให้ออกจากการเป็นประธานและบอร์ด บริหารของบาร์เซโลน่า กอปรกับปัญหาส่วนตัวและปัญหาทางการเงิน โจน กัมเปร์จึงตัดสินใจจบชีวิตของตนเองลงในปี 1930
อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดในพงศาวดารของบาร์เซโลน่าได้ถูกจารึกไว้ใน ปี 1943 ในศึกโกปปา เดล เรย์ รอบรองชนะเลิศ เกมนัดแรกในสนามเลส กอร์ต (อดีตสนามเหย้าของบาร์เซโลน่า)ผลปรากฏว่าบาร์เซโลน่าเอาชนะไปได้ 3-0 ในเกมที่สองนั้นต้องกลับไปเล่นที่สนามเหย้าของเรอัล มาดริด นายพลฟรังโก้ได้ประกาศทั่วแผ่นพร้อมพูดอย่างเป็นลางว่า “ฟุตบอลคู่นี้ได้ถูกจัดขึ้นเพราะความกรุณาของทางการ” นั่นเป็นสัญญาณบอกเหตุว่าเกมคู่นี้ไร้ความยุติธรรมอย่างแน่นอนและ ผลการแข่งขันก็เป็นไปอย่างที่บาร์เซโลน่าคาดการณ์ นายพลฟรังโก้ส่งผู้ปกครองแคว้นกาสตีย่ามาต้อนรับบาร์เซโลน่าด้วยกำลังทหาร ถึงในห้องเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว และมันก็เป็นอีกครั้งที่ “ฟุตบอลการเมือง”มี อิทธิพลเหนือเกมฟุตบอลที่ยุติธรรม ฟุตบอลโคตรมหาโกงครั้งนี้มีทั้งทหาร กรรมการ เด็กเก็บบอล แฟนบอล ผู้เล่นมาดริด ต่างมีเอี่ยวทั้งสิ้น ผลจบด้วยการปราชัยต่อมาดริด 11-1 แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจคือเรอัล มาดริดจารึกแมตช์อัปยศในวงการฟุตบอลได้อย่างสวยหรู มีการกล่าวขานชัยชนะในนัดนี้ว่า “ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่” ส่วนผู้เล่นมาดริดในเกมนั้นต่างถูกเรียกว่า “ฮีโร่” ซึ่งเป็นเรื่องที่ขัดกับความรู้สึกของแฟนบอลสเปนเป็นอย่างมาก
cr.
https://tumthong.wordpress.com/2012/08/31/%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2-%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%94/
ไม่มีไรมาก เตือนสติบางยูส ที่บอกว่าแฟนแมนยูจองหอง
ยูไนเต็ดยิ่งใหญ่ด้วยตัวเอง
ศัตรูอย่างลิเวอร์ยังน่าเคารพกว่าเป็นไหนๆ(แต่ตามแช่งตลอดไป 555)