BLOG BOARD_B
ติดต่อรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Email: sale@soccersuck.com
ไว้คราวหน้า X
ไว้คราวหน้า X
ไม่ต้องแสดงข้อความนี้อีกเลย
ไปหน้าที่ 1, 2
ไปที่หน้า
GO
ตั้งกระทู้ใหม่
ฝากรูป
ผู้ตั้ง
ข้อความ
ออฟไลน์
ตำรวจบอร์ด
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 08 Jul 2009
ตอบ: 23
ที่อยู่: Be as you were when we met
โพสเมื่อ: Wed Jul 29, 2015 23:36
ประสบการณ์แบกเป้ ขึ้นรถไฟ สาย Trans Siberian (ตอนที่ 1)
ไม่ได้เข้าบอร์ดนานมาก .... พอดีมีประสบการณ์สนุกๆ อยากจะแชร์ให้อ่าน เรื่องยาว ค่อยๆ อ่านกันดูนะครับ :)



เตรียมตัว

มนุษย์เงินเดือนอย่างผมก็อยากแบกเป้ไปเที่ยวต่างประเทศไกลๆ ซักทีนึง ความคิดนี้ มันเกิดขึ้นครั้งแรก ตอนเรียนจบมหาลัยใหม่ๆ แล้วบังเอิญได้ไปเที่ยว คุนหมิง - ต้าหลี่ กับทัวร์ที่น้าเป็นหุ้นส่วน ประมาณว่า เกาะเค้าไป ในด้านบวก ผมตื่นตาตื่นใจกับการเที่ยวต่างประเทศมาก รู้สึกว่า มันคุ้มที่เดินทางมาไกล เพราะ ทุกอย่างที่เราเห็น ได้สัมผัส มันเป็นประสบการณ์ใหม่ทั้งสิ้น วัฒนธรรมที่ไม่คุ้น ศิลปะที่ไม่คุ้น วิถีชีวิตที่ไม่คุ้น มันเติมประสบการณ์ใหม่ใส่หัวได้ตลอด แม้แต่การนั่งมองคนเดินไปเดินมาข้างถนน ในมุมลบ การไปกับทัวร์ โดยเฉพาะทัวร์ที่ไม่ใช่เราเป็นหัวเรือใหญ่ ทุกอย่างมันถูกกำหนดโดยคนอื่น ที่อาจจะไม่ได้สนใจเหมือนอย่างเรา ผมเคยต้องนั่งแกร่ว รอพวกคณะทัวร์ กินข้าวและคุยกันนาน 2 ชั่วโมง ทั้งที่ ควรได้ใช้เวลานี้ไปเที่ยวอย่างอื่น หรือ บอกไกด์ว่า ไม่ต้องเที่ยวตอนกลางคืนเพราะล้อมวงอยากเล่นไพ่ที่โรงแรม มันเป็นอะไรที่น่ารำคาญมาก

ถ้าเป็นไปได้ เราจะกลับมาใหม่ และจะมาเอง ไม่ง้อทัวร์ ...



แต่หลังจากนั้น จนถึงวันนี้ ผมอายุ 30 กว่า แล้ว แต่ฝันที่จะได้แบกเป้เที่ยว ยังอยู่ในลิ้นชัก ในขณะที่ลูกพี่ลูกน้องที่เคยคุยเรื่องนี้ด้วยกัน แบกเป้ ไปเวียตนาม เลห์ ลาดักห์ เนปาล ญี่ปุ่น ผมก็ยังไม่ได้ไปไหน วันนึง พวกนั้น กลับจากทริปญี่ปุ่น เครื่องลงที่ดอนเมือง จึงมาพักกับผม ที่อยู่คอนโดใกล้ๆ แถวนั้น แล้วเอ่ยปากชวน ไปแบกเป้ แต่ยังไม่ระบุเป้าหมาย แนวโน้มทีแรก ว่าจะเป็นที่ เนปาล เพราะเคยไปเมื่อ 3 ปีที่แล้ว รู้สึกประทับใจ ส่วนตัว ผมอยากไป คาราโครัม ไฮเวย์ แต่ฟีลมันคล้ายๆ เลห์ ลาดักห์ ที่พวกนั้นเพิ่งไปมา 2 ปีก่อน พอที่เนปาลเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ เป้าหมายก็เลยเปลี่ยน


Trans Siberian Railway ... ทางรถไฟสายก้องโลก จึงถูกเลือกเป็นจุดหมาย

9,000 กิโลเมตร 3 ประเทศ 2 ทวีป 5 ไทม์โซน ... น่าสนใจดีใช่ไหมครับ ??




เริ่มด้วยการอ่านกระทู้ของ นักสะพายเป้ หลายๆ คนก่อนเดินทาง ส่วนมาก 30 วัน ขึ้นไป สำหรับการเดินทาง และเที่ยวในจุดที่น่าสนใจ ทั้ง เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก มอสโก เอียร์คุทซ์ อุลัน บาตอร์ และปักกิ่ง แต่มนุษย์เงินเดือน ถ้าใช้วันลาทั้งหมดที่มี จะสามารถลาได้ประมาณ 21-23 วัน (ไม่รวมเดือนที่หยุดยาว) ปัญหา ไม่ใช่ตอนลา แต่เป็นตอนกลับ ผมไม่แน่ใจว่า เก้าอี้ผมจะยังวางอยู่ที่เดิมหรือเปล่า


ลองกาปฏิทิน ได้ 12 วัน สูงสุด (โชคร้ายที่ปีนี้ ผมดันใช้วันลาไปแล้วจำนวนหนึ่ง) กับสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยอำนวย ตลาดหุ้นก็ตกเอาๆ เงินบาทก็อ่อนเอาๆ แต่ เอาวะ Now or Never !! หาตั๋วรถไฟ หาตั๋วเครื่องบิน ผ่านเน็ต ตั๋วรถไฟผมจองผ่านเอเจ้นท์ ชื่อเว็บ realrussia ซึ่ง วางแผนการเดินทาง และการหยุดพักได้สะดวกดีมาก เริ่มที่ปักกิ่ง รถไป อุลัน บาร์ตอ มีออกทุกวันพุธ กับ วันเสาร์ และรถจาก อุลัน บาร์ตอ เข้า เอียร์คุทซ์ ไซบีเรีย ก็ต้องรอ 2 วันนั้นเช่นกัน ดังนั้น แผนจะลงอุลัน บาร์ตอ 1 คืน ก็เลยเป็นไปไม่ได้ อย่างน้อยต้องอยู่ 2 คืน และจะกระทบแผนอื่น ก็เลยจำใจ ต้องลากยาวไปถึง เอียร์คุทซ์ โดยปักหมุดไว้ที่ ทะเลสาบไบคาล ทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยจะพักที่ เอียร์คุทซ์ 2 คืน ก่อนเดินทางยาวไปถึง มอสโก และอยู่ที่นั่น 2 คืน หรือ อาจจะไปนอน เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก 1 คืน แล้วกลับมานอน มอสโก 1 คืน ก็แล้วแต่

โอเค ... ได้แผนการเดินทางคร่าวๆ ตามนี้ (ค่าใช้จ่าย เล่นเอาจุกไปเหมือนกัน)..


Day 1

ออกเดินทาง ... บ่ายวันนี้ (อังคาร 30 มิ.ย. 58) เราขึ้นเครื่องที่ ดอนเมือง สบายหน่อย ใกล้บ้านผม เราอุตส่าห์มีสนามบินนานาชาติที่สามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้ 2 แห่ง แต่ดันไม่มีระบบขนส่งมวลชนที่เชื่อมต่อถึงกัน ไม่เข้าใจจริงๆ มี Airport link จาก สุวรรณภูมิ ไปลง มักกะสัน พญาไท ไม่คิดว่าเค้าอยากจะมาต่อไฟล์ทภายในประเทศที่ดอนเมืองรึไงนะ ??

โชคดี ที่การเดินทางครั้งนี้ เรายังไม่เจอ แจ๊ดแม่มเอ็ฟเฟ็ค มาถึงสนามบิน 11 โมงกว่าๆ เช็คอินชิวๆ เลยคับ (ดีที่เป็นวันอังคารด้วย) ประมาณครึ่งชั่วโมง เราก็พาตัวเองผ่าน ตม. มานั่งรออยู่ด้านในรอขึ้นเครื่องแล้ว หิวๆ ... กินข้าวไก่ย่างอะไรซักอย่าง รสชาติห่วยแตก ล่อไปจานละ 300 บาท บัดซบ !!! กลัวจีน กลัวฝรั่ง หลอกฟันหัวแบะ ที่ไหนได้พี่ไทยล่อซะก่อนแบ้ว

Take off ... เกือบไปไม่ทัน final call วิ่งไปที่ Gate พบรถตู้ กำลังจะออก เหลือ 3 ที่นั่งพอดี เครื่องบินเล็ก เที่ยวบินที่ FD319 จากดอนเมืองสู่กัวลาลัมเปอร์ เทคออฟ 12:50 น. แต่สงสัยวอร์มเครื่องยนต์กันอยู่ บ่ายโมงเกือบครึ่งถึงล้อถึงได้เริ่มหมุน บินไปคนละทางกับเป้าหมาย เพื่อไปรอต่อไฟล์ท 3 ชั่วโมง สงสัยอายุเริ่มเยอะ ขึ้นเครื่องบินละมีอาการเมาเครื่องเล็กๆ ใช้เวลาเดินทางจริงๆ 1 ชั่วโมงเศษ แต่เวลาท้องถิ่นของ กัวลาลัมเปอร์ เร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมง เลยไปถึงโน่น 4 โมงเย็น




เตร็ดเตร่ในสนามบิน ... หิวด้วย (หิวบ่อยจังวะ ?? 555) สุดท้ายเลยต้องแลก ริงกิต มา เค้าให้แลกขึ้นต่ำ 50 USD ขึ้นไป เลยได้มาประมาณ 180 ริงกิต ขี้เกียจแลกคืน ต้องกินให้หมดนี่แหละ เลยจัดเต็ม ไก่ทอดป๊อปอาย เมื่อก่อนเคยมีขายในประเทศไทย แต่เดี๋ยวนี้คงเจ๊งไปแล้ว ต้องบอกว่า อร่อยกว่า KFC นะ ในความรู้สึกผม (ไม่นับบรรดาเมนูข้าวแบบไทยๆ อย่าง ข้าวยำไก่แซ่บ) ตัวบิสกิต อร่อยดี แป้งหอมๆ กรอบนอก นุ่มใน เสร็จแล้วก็ไปนั่งกินกาแฟและของหวานต่อที่ Mc Café เงินก็ยังไม่หมด ต้องไปซื้อช็อคโกแลตชิ้นเล็กๆ ที่ห่อเหมือนลูกกวาด ยี่ห้อ Lindt กำตังยื่นใส่มือพนักงาน บอกว่า พี่เหมาหมดนี่เลยน้อง ได้มาถุงใหญ่ ใช้กินได้ตลอดทริป (มีเหลือกลับไทยด้วย 2-3 เม็ด)



Take off สู่ปักกิ่ง .... ด้วยความไร้เดียงสา ใช้เงินจนเหลือไม่ถึง 20 ริงกิต สิ่งที่ควรจะซื้อ ก็คือ “น้ำดื่ม” เราบิน 6 ชั่วโมงเต็มๆ แต่ดันไม่มีน้ำไว้กินครับ บรรลัยล่ะสิ ต้องตกอยู่ในสภาพ dehydrate ไปทั้งคืน เที่ยวบิน D7 316 (KL-PEK) คือเที่ยวบินนรกแตก ที่ผู้โดยสาปวดอึ ปวดฉี่ ตลอดเวลา สาวๆ คนไหนอยากทำงานสายการบินนานาชาติ แนะนำให้หลีกเลี่ยงอีสายการบินที่บินไปปักกิ่ง พวกนี้นะครับ เห็นแล้วสงสาร

ขนาดเครื่องกำลังเทคออฟ หัวเชิดขึ้นเป็นมุม 45 องศา หนุ่มจีนนายหนึ่ง ยังปลดเข็มขัด ลุกขึ้นเดินจะไปขรี้ !!!! โอ้โห วิชาตัวเบาเมิงแน่มากกก อึตอนเทคออฟเนี่ยนะ ?? ขนาด แอร์โฮสเตจสาว ร่างบึกบึน เดินมาเตือน พี่แกก็ยังดื้ออีกแหน่ะ ต้องยอมรับว่า ผู้โดยสารจีนนี่เป็นอะไรที่ วายป่วงมากครับ ไม่สนห่าอะไรเลย เครื่องจะขึ้น เครื่องจะลง สำหรับเรา เวลาเครื่องเทคออฟ เราจะโดนสายตาอำมหิตของแอร์ เดินตรวจตรา เข็มขัดไม่แน่น เบาะไม่ตั้งตรง นี่โดนละ ยิ้มนะ แต่น้ำเสียงแม่งเอาตาย “(เมิง)ปรับพนักพิงให้ตรงนะคะ” ... 5555

แต่สายการบินจีนเหรอครับ เมิงปรับมาเถอะ เดี๋ยวเมิงเดินคล้อยหลังไปหน่อย กุก็ปรับเอนต่อ เห็นแอร์เดินๆ ปรับๆ อยู่ 3-4 เที่ยว ก็คงยอมใจอีพวกผู้โดยสารจีนพวกนี้

“อ่ะ เอาที่พวกเมิงสบายใจเลยละกัน” .....

ผมนั่งดู คนจีนยืนต่อแถวเข้าห้องน้ำ ดูจนสงสารโถส้วมขึ้นมาจับใจ ใจคอจะไม่ให้มันพักหายใจมั่งเรอะ เวียนเทียนกันเข้าอยู่นั่น ดูไป ง่วงไป ผล๊อยหลับไป ผ่านไป 1 ราตรี บนเครื่อง .....

Day 2

ตี 1 เศษ ... ถึงสนามบิน ปักกิ่ง แคปิตอล อินเตอร์ อย่างปลอดภัย ก่อนเครื่องลง ผู้โดยสารจีนสร้างวีรกรรม อีกครั้ง ด้วยการที่ แอร์แจ้งเตรียมนำเครื่องลง หมายถึง ต้องนั่งอยู่กับที่ รัดเข็มขัด ปรับพนักให้ตรง ผู้โดยสารจีนทำไงครับ ?? ...


พี่แกรีบเปิดช่องเก็บของหยิบกระเป๋า แล้วไปยืนอออยู่ที่หน้าประตู ขณะเครื่องกำลังร่อนลง .... ถถถถถถถ พวกเมิงนึกว่านั่ง บขส. กันเหรอครับ ?????? จะรีบลงอะไรกันขนาดนั้น สุดท้ายก็โดนแอร์ฯ ไล่กลับมานั่งที่ ผมนี่นั่งขำชิบหาย โอ่ยย อะไรกันวะ 5555


ลงเครื่อง ผ่าน ตม. มาตะกุกตะกักเล็กน้อย เพราะมันดึกแล้ว เจ้าหน้าที่ก็ง่วง แถมไปมีปัญหากับรูป ลูกพี่ลูกน้องร่วมทริปของผมคนนึง ที่หน้าอาจจะดันไปเหมือนยากูซ่า มาเฟีย อั๊งยี่ ที่ทางการกำลังต้องการตัวซักคน เรียกหัวหน้ามาช่วยกันเล็ง อ่าว ผิดคน .. โชคดีไป พอถึงตาผม เจ้าหน้าที่ยื่นพาสปอร์ตคืนมาให้ ผมดันหยิบพลาด ปัดพาสปอร์ตตกไป เจ้าหน้าที่แว่น มองหน้าแบบเขม่นนิดๆ บ่นไรซักอย่าง (คงด่านั่นแหละ 55)

เอาเถอะ ฟังไม่รู้เรื่อง ครั้งนี้จะละเว้นนายไปซักครั้งนะ พี่แว่น

หลังจาก รอรับสัมภาระที่โหลดมาเสร็จ ก็แวะเข้าห้องน้ำ ตอนนี้ คอแห้งเป็นผงเลยคับ ขาดน้ำมาเกือบ 7 ชั่วโมงเข้าไปละ จำไว้นะครับ คนจีน นิยมกินน้ำร้อน และดื่มชาแทนน้ำ ไม่นิยมน้ำแข็ง ไม่นิยมน้ำเย็นจัด ที่สนามบินจะมีตู้กดน้ำอัตโนมัติเป็นจุดๆ นั่นคือน้ำร้อนครับ เท่าที่พยายามหาที่กด ไม่มีน้ำเย็น และไม่มีน้ำอุณหภูมิห้อง

รอดตายด้วยน้ำจากตู้กดน้ำหยอดเหรียญ ดั่งน้ำทิพย์จากฟากฟ้าก็มิปาน ... เรามีนัดกับ คนขับรถที่ทาง เอเย่นต์จองตั๋ว จัดหาให้ เพื่อไปส่งเราที่สถานีรถไฟ และ เอาตั๋วมาให้ (ตั๋วจากจีน ไม่มีระบบ E-Ticket) นัดเค้าตอน 7.30 น. ตอนนี้ ก็เป็นเวลา ตี 2 ... ไม่รู้จะทำอะไร ไม่รู้จะไปไหน ก็นอนมันตรงที่นั่งรอผู้โดยสารนี่แหละวะ เห็นเค้าก็นอนกันเยอะอยู่ ใกล้ห้องน้ำด้วย ส่วนตัวผม หลับๆ ตื่นๆ ยังมึนๆ หัวจากอาการเมาเครื่องบินอยู่




เริ่มยามเช้าประมาณ ตี 5 ฟ้าเริ่มสว่างแล้ว หลังจากเดินสำรวจก็เจอ ห้องพักชั่วคราว อยู่ที่ชั้นล่าง เดินลงบันไดเลื่อนไป นอกจากห้องพักชั่วคราว ก็มีโรงอาหาร แต่ตอนนี้อยากอาบน้ำมากกว่า ห้องพักคิดรายชั่วโมง และมีเรตค้างคืน ค่าเช่าประมาณ 100 หยวน / ชม. ค้างคืน 500 หยวน (แพงนะ ราคาโคตรขูดรีด) 3 คน อาบน้ำขัดสีฉวีวรรณแบบเต็มสูบเป็นครั้งสุดท้าย พออาบน้ำสบายตัวพวกผมเดินหาของกินกัน ก็ได้ฝากท้องมื้อแรกที่จีน กับร้าน Family Mart ซึ่งของที่นี่มีเคาน์เตอร์เล็กๆ ไว้ให้นั่งกินด้วย จัดการปากท้องพอประทังหิว ก็เดินไปที่จุดนัดพบ สายเล็กน้อยตามสไตล์ไทยๆ เจอพี่อ้วน คนขับรถ ชื่อ อาพ่าง (นามสมมติ) คือ ไม่ได้ถามนั่นแหละ 555

คำว่า พ่าง ในภาษาจีน แปลว่าอ้วน ...

อาพ่างยืนหน้ามู่ทู่ อยู่ คาดว่าสาเหตุเกิดจากพวกเราเอง ที่สายไป 15 นาที อาพ่าง พาเดินไปยัง รถ Audi คันหรู .... ( โม้ไปงั้นแหละ จริงๆ เป็น Audi เก่าๆ อายุน่าจะ 10 ปีอัพ 555) ขับรถพาเราจากสนามบิน ตรงเข้าสู่ใจกลางมหานครปักกิ่ง คือ สถานีรถไฟสายตะวันตก (Beijing West Railway Station) พี่อ้วนของเรา ขับผ่านหน้าสถานี ชี้มือให้ดูทางซ้ายพูดจับใจความได้ว่า

“อ่ะ พวกเมิงดูกันซะ นั่นคือที่ๆ พวกเมิงต้องไป”

แต่แทนที่จะจอดด้านซ้ายริมฟุตบาท พี่แกดันขับรถพาผมเลี้ยวขวาข้ามแยก มาหาที่จอดรถ เท่าที่เห็น คือ คนจีนอาจจะทำอะไรไม่กลัวฟ้ากลัวดิน แต่ก็ไม่มักง่ายในที่สาธารณะ ไม่มีคนจอดรถริมฟุตบาท เพื่อทำธุระส่วนตัว ต้องไปแย่งหาที่จอดตรงจุดที่เค้าจอด จะจอดกันกากเกรียนยังไง แต่ริมทางสาธารณะ ไม่มีให้เห็น (ริมถนนใหญ่นะ แต่ถนนในซอยจอดกันปกติครับ) ..

อาพ่าง ทิ้งเราตรงฝั่งตรงข้ามของสถานี ชี้ให้ดูห้างนึง บอกว่า ห้างใหญ่ที่สุดของปักกิ่ง ...

อ่าฮะ ... ชี้ให้ดูห้างฯ ตอน 8 โมงครึ่ง ชี้ทำไม พี่อ้วน ห้างยังไม่เปิด กว่าห้างจะเปิดรถไฟก็ออกไปไหนต่อไหนละ ???



เราก็หอบสัมภาระเดินข้ามถนนมายังสถานี รถไฟ บอกเลยว่า ระบบ security แม่งเข้มข้นมาก (ซึ่งที่ๆ เราไป ก็แทบจะทุกที่ ถ้าเป็นสถานีขนส่งมวลชน จะมีเครื่องเอ็กซเรย์สัมภาระทั้งสิ้น) ที่นี่มีทหารอยู่ที่ป้อมพร้อมอาวุธหนักครบมือ ส่วนตำรวจเหรอ เดินตรวจตา พร้อมมือที่จับซองปืนพร้อมยิงตลอด ... คนับ ผมไม่แปลกใจเลยทำไมคนจีนไม่ค่อยทำผิดกฎหมาย (- -“)


หลังจากฝ่าฝูงชน ผ่านเครื่องเอ็กซเรย์ เครื่องตรวจวัตถุระเบิด เข้าไปถึงด้านในสถานีได้ ก็ลองสำรวจตารางเดินรถ ... นั่นไง K033 ขบวนรถของเรา ออกจากชานชาลาตอน 11.20 น. ตอนนี้เป็นเวลาแค่ 8 โมงกว่าๆ เหลือเวลาอีกตั้ง 3 ชั่วโมง ไม่ควรรออยู่กับที่นะ น่าจะออกไปชมเมืองปักกิ่งซักเล็กน้อย พอดูจากแผนที่ปรากฎว่า จตุรัสเทียนอันเหมิน อันเลื่องชื่อ และเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ และเรื่องราวทางสังคม ของจีน อยู่ห่างไปไม่ไกลจากสถานี ติดอยู่ที่ เป้ขนาดไม่ต่ำกว่า 50+10 ที่แต่ละคนแบกอยู่ ... เช้าเกินไปที่จะแบ็คแพ็ค ...


หลังจากเดินหาที่ฝากกระเป๋า ก็เจอจนได้ครับ ใครที่เข้ามาจากทางเข้า อยู่ทางขวามือ ช่องหมายเลข 2 เดินเข้าไปเลย ซ้ายมือจะมีตู้ล็อคเกอร์ ขนาดเล็ก และใหญ่สีฟ้า มีน้องหมวยอ้วนๆ เฝ้าอยู่ เราฝากกระเป๋าเสร็จสรรพ ก็ตัวเบาพร้อมออกเดิน วิ่ง กลางมหานครปักกิ่งกันแล้ว ....



เริ่มต้นอย่างสวยงาม แต่พอผ่านไป ครึ่งชั่วโมง แดดที่ร้อนแรงก็เล่นเอาหอบไปเหมือนกัน และวิ่งมาซักพักแต่ จตุรัสเทียนอันเหมินก็ยังดูเหมือนอยู่ไกลไป สุดท้าย นักวิ่ง City Run จากประเทศไทย ก็เลี้ยวซ้ายกลับสถานีรถไฟ อย่างผู้ปราชัย อดไปเหยียบจตุรัสแห่งประวัติศาสตร์แห่งนี้ ... โถ่ววว น่าอดสูจริงๆ



เราเดินลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอย จนมาโผล่ที่หน้าสถานีรถไฟ เดินข้ามไปซื้อของในซูเปอร์มาเก็ต ฝั่งตรงข้าม เข้าร้าน Lawson ไปตุนสเบียง และอาหารเที่ยงมื้อแรกที่จะกินบนรถไฟ ซื้อข้าวกล่อง แบบตักราดมา ดูหน้าตาไม่ค่อยน่าไว้ใจเท่าไหร่ ผมสังเกต หมูทงคัตสึ สีมันแปลกๆ อยู่ หรือจะเป็นเพราะซอส เทริยากิ ทำให้สีมันเพี้ยน ไม่คิดมาก จ่ายตัง หิ้วของพะรุงพะรัง เดินกลับมายังสถานี แวะเข้าห้องน้ำ


ผมสังเกต เหนือโถฉี่ ในห้องน้ำชาย มีสติ๊กเกอร์แปะไว้ทุกโถ ใจความว่า “นี่คือสิ่งที่เราอยากจะบอกคุณเสมอมา ... กรุณาฉี่ให้ลงโถ คุณคือสุดยอดชายชาตรี !!!..” ผมนี่ฮาลั่นเลยคนับ “กรุณารักษาความสะอาด” ... “กรุณากดน้ำทุกครั้ง” .. หรืออะไรก็ว่าไป ที่นี่ ถึงกับต้องรณรงค์ให้ฉี่ลงโถ กันเลย ถถถถถถถถถถ



หลังจากไปเอาสัมภาระ ก็มุ่งหน้าเข้าสู่ชานชาลา รถจอดสงบนิ่งรอเราอยู่แล้ว เหลืออีก 20 นาที รถจะออก รถของเราอยู่ตู้รองสุดท้ายเลย เดินไกลหน่อย เข้าไปในตู้ พบกับ ชาวต่างชาติหลากชาติพันธุ์ ทั้งอินเดีย ยุโรป จีน มีเราเป็นคนไทยกลุ่มเดียว สำรวจห้องพักพบว่า โอเคทีเดียว อยู่สบาย เป็นห้อง 4 ที่นอน ข้างล่าง 2 ข้างบน 2 มีโต๊ะกลางไว้ให้ใช้กินข้าว วางของ มีประตูปิดเป็นสัดส่วน อุตส่าห์มีพัดลมติดผนังให้ตัวนึง ห้องน้ำโทรมหน่อย สบายสำหรับการกินอาหารสำเร็จรูปตรงที่มีตู้กดน้ำร้อนไว้บริการตลอดเวลา


สำหรับห้องของเรา มี 4 ที่ แต่มีแค่พวกผม 3 คน เพราะส่วนมาก ไม่ค่อยมีใครเดินทางคนเดียว เนื่องจาก เป็นเส้นทางรถที่วิ่งไกลข้าม มองโกเลีย เข้าไปถึงรัสเซีย ห้องเราจึงไม่มีเพื่อนร่วมทางแปลกหน้า

ก่อนรถออกมีเรื่องน่าหวาดเสียว คือ ผมดันทำแว่นกันแดดตก (ซึ่งมันเป็นทั้งแว่นกันแดด และแว่นสายตา เวลาที่ไม่ใส่คอนแทคเลนส์) ผมนึกว่าหายแน่ๆ จะไปหาก็กลัวตกรถ เหลืออีก 12 นาที แต่สุดท้ายตัดสินใจใส่เกียร์หมา วิ่งย้อนออกไป คนตรวจตั๋ว ก็ฟังเราไม่รู้เรื่อง แต่สุดท้ายก็โบกมือไล่ให้วิ่งไป ผมวิ่งกลับไปตรงที่ฝากกระเป๋า ระหว่างทางก็มองดูตามพื้น พอถึงที่ฝากกระเป๋า น้องหมวยอ้วน เห็นหน้าก็จำได้ บอกว่า ผมทำตกตรงล็อคเกอร์ เค้าเก็บไว้ให้ สวรรค์เมตตาแท้ๆ ถ้าทริปนี้ แดดแรงขนาดนี้ ไม่มีแว่น ไมเกรนแดกทุกวันแน่นอน ขอบคุณน้องหมวยอ้วน ก็รีบวิ่งกลับไป 4 นาทีรถจะออก ผมวิ่งขึ้นรถได้ทันเวลาพอดี ... เกือบได้อยู่เที่ยวปักกิ่งซะแล้ว

อาหารกลางวันถูกแกะออกเตรียมกิน ซึ่งก็เป็นไปตามคาด หมูทงคัตสึ แม่งยังกะยางรถยนต์ เหนียวซะเคี้ยวไม่ลงเลย สัส แต่ก็ฝืนกินจนหมด เพราะไม่รู้ว่านี่จะเป็นอาหารสด มื้อสุดท้ายหรือเปล่า

แล้วรถก็ค่อยๆ วิ่งผ่านแหล่งชุมชน วิวนอกหน้าต่าง ค่อยๆ เปลี่ยนไป จากเมืองหลวง สู่ชนบททีละน้อยๆ จนสุดท้าย สองข้างทางก็แปรเปลี่ยนเป็น ทุ่งหญ้าและเนินเขาเตี้ยๆ สลับป่าละเมาะ ... ทรานส์ ไซบีเรียน ของจริง เริ่มขึ้นแล้ว



Day 3

หลังจากพิจารณาแล้ว เราพลาดที่ไม่ได้ลง Ulaan Baatar ผ่านมองโกเลีย แต่ไม่ได้แวะนอน Ger (หรือที่พวก เติร์กเรียกว่า Yurt) ตามวิถี Nomadic พวกมึงคิดอะไรกัน ?? (จริงๆ หลังจากนี้ แม่งพลาดอีกเยอะ 5555 เรียกว่า มานั่งรถไฟอย่างเดียวจริงๆ) แผนการลงสถานีแรกที่ Irkutsk 2 คืน (เพราะตั้งใจจะไปทะเลสาบไบคาล) ก็เปลี่ยนไปเป็น ลงที่ Ulan Ude เพราะอ่านในหนังสือ Ulan Ude ถือเป็นเมืองชายแดนของรัสเซีย ที่มีความเป็นเมืองพุทธ และวัฒนธรรมแบบมองโกเลีย ผสมผสานอยู่มาก จากนั้นค่อยซื้อตั๋วนั่งต่อจาก Ulan Ude ไปที่ Irkutsk เพื่อต่อรถตามตารางเดิม

ชีวิตบนรถไฟ .... การเริ่มต้นของ Trans Siberian ไม่ใช่การเริ่มต้นของการผจญภัยอันน่าตื่นเต้นอย่างที่พวกคุณคิดหรอกนะ มันคือ การเริ่มต้นของกิจวัตรประจำวันอันแสนเรียบง่าย ถ้าใครแสวงหา Slow Life ที่นี่มีให้คุณเต็มๆ

กลางดึก ... พวกผมถูกปลุกตื่น เมื่อรถไฟมาถึงสถานี เอ้อร์เหลียน (Erenhot) เมืองชายแดนของจีน ติดกับพรมแดนของมองโกเลีย ที่นี่เป็นสถานีที่จอดนานที่สุด 191 นาที จากกิจกรรมการเปลี่ยนล้อรถไฟ เนื่องจากรางรถไฟของ มองโกเลียมีขนาดไม่เท่ากับรางรถไฟของจีน ปกติที่เคยอ่านมา เค้าจะให้ผู้โดยสารลงจากรถไปก่อน แล้วทำการเปลี่ยน แต่ขบวนผมทำไมไม่ให้ลงก็ไม่รู้ ความรู้สึกเหมือนโดนมือยักษ์ มาเข็นรถไฟไปข้างหน้า เข็นกลับมาข้างหลัง แล้วเขย่าแรงๆ ทำแบบนี้สลับกันนานเป็นชั่วโมง ตอนแรกผมออกมายืนอยู่ที่ระเบียง ว่าเค้าจะทำอะไรต่อ

ซักพัก เคลลี่ (นามสมมติ) ฝรั่งสาวเจ้าเนื้อ ผมแดง ผู้มากับแฟนหนุ่มที่มักหมกตัวอยู่ในห้องตลอดเวลา เดินออกมายืนคุยด้วย เธอถามว่า ผมรู้มั้ยว่า มันเกิดอะไรขึ้น เดาว่า คงนอนกันไปแล้ว ต้องมาตื่นเพราะการเปลี่ยนล้อรถไฟ ฝ่ายแฟนหนุ่มก็สุภาพบุรุษเหลือเกิน ใช้แฟนสาวออกมาถามผม แทนที่จะออกมาเอง ที่ผมรู้เพราะ ผมตอบเธอไปว่า รถไฟจะเปลี่ยนล้อเพื่อให้เข้ากับรางของมองโกเลีย เคลลี่ ตะโกนเข้าไปในห้องว่า ได้ยินที่เค้าพูดรึเปล่า ? มีเสียงงัวเงียของแฟนหนุ่มเธอดังออกมาว่า โอเค แล้วก็เงียบไป คงนอนต่อ

เคลลี่ ยืนคุยกับผมต่อ ตามมารยาท เธอถามว่า พวกผมเป็นคนจีนหรือเปล่า ผมบอกว่า ผมเป็นคนไทย พอฝรั่งพวกนี้ทำหน้างง ผมก็จะย้ำไปว่า ภูเก็ต แอนด์ พัทยา ... ส่วนมากก็จะรู้โดยทันที เธอถามอีกว่าพวกผมจะไปไหน ผมก็เลยเล่าให้ฟังว่า เรามีจุดหมายที่ Moscow แต่จะลงที่ Ulan Ude ก่อน แล้วไป Irkutsk จากนั้นนั่งรถยาวไปถึง Moscow น้องเคลลี่ ทำหน้าตกใจ ว้าวว พวกคุณนั่งรวดเดียวถึง Moscow เลยหรือ ฉันแนะนำว่าคุณคงต้องมีอะไรไว้อ่านเยอะๆ แล้วแหละ ผมยักไหล่ บอกว่า ผมโอเค ผมคนไทย อ่านหนังสือ ปีละ 10 บรรทัดก็เหลือเฟือ (ล้อเล่นนะคับ ไม่บอกเค้าหรอก เดี๋ยวเค้ารู้หมด 555) ผมเล่นมุขบอกว่า ผมห่วงว่าจะมีอะไรไว้กินเยอะๆ มากกว่า (A lot things to read กับ A lot things to eat น่ะ ตลก 5 บาท 10 บาท ฝรั่งชอบ) เธอก็ขำกลิ้ง ... เธอบอกว่า เธอกับแฟนจะลงที่ Ulaan Baatar เธอแค่นั่งรถเส้นทาง Trans Mongolian .... คุยกันตั้งนาน แต่ลืมถามชื่อซะงั้น

หลังจากเปลี่ยนล้อรถไฟเสร็จ รถเริ่มวิ่งไปซักพัก ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็จอดที่สถานี Dzamynude ซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านแรกของ มองโกเลีย ที่นี่เราถูกตรวจพาสปอร์ต และกรอก arrival card ภาษาจีนกระท่อนกระแท่นเริ่มถูกนำมาใช้มากขึ้น ส่วนมากจะนึกว่าพวกเราเป็นคนจีน “Nimen Shi Zhong Guo Ren ??” (“พวกคุณเป็นคนจีนรึเปล่า”) ... ผมพอฟังออก ก็ตอบไปว่า “Bu Shi, Tai Guo Ren” (“ไม่ใช่, คนไทยน่ะ”) เจ้าหน้าที่มองโกล กับเจ้าหน้าที่จีน แยกกันไม่ค่อยออก เท่าที่ดู ก็ไม่ค่อยจะเข้มงวดอะไรมาก นอกจาก เวลาตรวจ จะให้เรายืนอยู่ในห้องเท่านั้น ห้ามออกมายืนข้างนอก



เช้าตรู่ ... ผมแนะนำว่า คุณควรรีบตื่นก่อนชาวบ้าน เพราะตี 4 ฟ้าก็สางแล้ว ตื่นมาทำไมน่ะเรอะ ?? ... ตื่นมาขรี้ นะเซ่ !!! เพราะตู้นึง มีห้องน้ำห้องเดียว มีคนประมาณ 20 คน (ถ้าอยู่แบบไม่เต็มทุกที่นั่ง) คุณควรหลีกเลี่ยงชั่วโมงเร่งด่วน เช่นเดียวกับการเดินทางบนถนน กทม. การตื่นมาขรี้ ในเวลาตี 4 ตี 5 มันสงบสุขอย่างบอกไม่ถูกจริงๆ เนื่องจากห้องน้ำ มีแค่อ่างล้างหน้า ดังนั้น การอาบน้ำเต็มสูตร คงทำได้ยากสักหน่อย ทางที่ดี ผมแนะนำว่า ควรมีขัน หรือ ชามพลาสติกซักใบ ติดไปด้วยก็จะดีไม่น้อย ตักอาบแบบ partial ไปพลางๆ ทนๆ หน่อย ลงสถานีไปที่พักแล้วค่อยจัด Full course

ซักแห้ง ... บางครั้งมีความจำเป็น ในกรณีที่ห้องน้ำไม่ค่อยว่าง หากเข้าไปอาบน้ำอาจจะโดนเคาะด่าได้ หรือขี้เกียจ ผมแนะนำว่า ทิชชู่เปียก มีประโยชน์มากครับ ใช้เช็ดเวลาเข้าส้วมก็ได้ ใช้เช็ดชำระล้างส่วนอับของร่างกายก็ดี เช็ดเสร็จก็เอาแป้งโรยเข้าไป ช่วยให้หลับสบายไม่เหนียวเหนอะหนะตัว รอดตายไปได้คืนนึง

สายหน่อย .. ช่วงเวลา ออกหากินคนับ เมื่อผ่านมา 1 คืน อาหารสดย่อมหมดลง ถึงเวลารื้อเป้ เอามาม่าที่หอบข้ามฟ้ามานับพันๆ กิโลเมตร ออกมารับประทานกันซะนะ (จริงๆ ถ้าไม่เกี่ยงรสชาติที่คุ้นเคย หรือไม่ต้องการประหยัดมาก สามารถหาซื้อบะหมี่ หรืออาหารสำเร็จรูปได้ตามซุปเปอร์มาร์เก็ต ในเมืองใหญ่ๆ) มีหม้อน้ำร้อนไว้บริการไม่ขาด คนจีนกับน้ำร้อนนี่ ของคู่กัน หม้อน้ำร้อนไม่ได้ใช้ระบบไฟฟ้านะครับ เป็นระบบฟืนนี่แหละ ผมบังเอิญไปเห็นเค้าเปิดเตาเติมเชื้อไฟ เห็นไฟลุกโชนเลย การมีน้ำร้อน ทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น กาแฟ 3 in 1 , ชามะนาว เครื่องดื่มชงสารพัด, อาหารกึ่งสำเร็จรูป บะหมี่ โจ๊ก ช่วยให้คุณประหยัดเงินในกระเป๋าไปได้มาก เพราะอาหารบนขบวนรถไฟ ชาร์จแรงเอาเรื่อง

หลังจากนั้น .... ก็เป็นเวลาพักผ่อนตามอัธยาศัย เราตัดขาดจากโลกออนไลน์ ตั้งแต่ขึ้นรถไฟมาแล้ว มาถึงวันนี้ ก็นับเป็นเวลาประมาณ 24 ชั่วโมงเต็มๆ ตอนแรกก็พะวงนะครับ เวลารถจอดสถานีเล็กๆ (ซึ่งเค้าไม่ยอมให้เราลง) หรือสถานีใหญ่ (ปกติเค้าจะให้ลง แต่ผมดันไม่ได้ลงซะนี่) ผมจะหาสัญญาณ Wi Fi ตลอดเวลา ในใจก็นึกโมโหว่า ทำไม ไม่เปิด Data Roaming วะ ทำอะไรไม่สะดวกเลย

คิดๆ ดู นี่เราติดโซเชี่ยล ติดโลกออนไลน์มากเกินไปรึเปล่า ?? เชื่อไหมครับ ด้วยความที่อยู่กับข้อมูลข่าวสารตลอดเวลา และเชื่อมต่อกับโลกโซเชี่ยล 24/7 มันทำให้เราติดโดยไม่รู้ตัว พอมาถูกตัดขาด ผมนั่งนึกว่า ถ้าโลกมันเกิดอะไรขึ้นตอนนี้ นี่เราตกข่าวเลยนะเนี่ย พอมานึกอีกที ปีนึง แม่งมี 365วัน กูเพิ่ง offline มา 24 ชั่วโมงนี่นะ มันคงไม่ก่อสงครามโลกกันตอนนี้พอดีหรอกวะ 555 นึกไปก็รู้สึกตัวเองบ้าๆ โซเชียลอยู่เหมือนกัน



มื้อเที่ยง เราได้คูปองมาจาก เจ้าหน้าที่ 2 ชุด แต่ชุดนึงมันเป็นของเมื่อวาน ไม่แน่ใจว่าใช้ได้หรือเปล่า แต่ยังไงก็ได้ละ 1 มื้อ เดินไปกินที่ตู้เสบียง ตู้เสบียงของจีนจะออกแบบเรียบๆ เก่าๆ หน่อย มีที่นั่งประมาณ 10 โต๊ะ (4 ที่นั่ง)

เวลามาเที่ยว หลายๆ คน บางคนชอบมีอาการ โชว์พาว เช่น เสียงดัง หรือแสดงกริยามารยาทที่ไม่ค่อยน่าคบออกมาโดยไม่รู้ตัว กลุ่มนึงที่เราเจอก็เป็นแบบนั้น เป็นกลุ่ม 6-7 คน เป็นจีนฮ่องกง กับ ตะวันตก น่าจะอเมริกัน มีหนุ่มหัวทองคนนึง เสียงดัง แซงคิด ทำตัวโชว์พาวตลอดเวลา เรียกว่า สตีฟ (นามสมมติ) ก็แล้วกัน จำสตีฟไว้ให้ดีนะครับ เรื่องของเขายังไม่จบ

พอได้นั่งโต๊ะ เจ้าหน้าที่ก็มาเสิร์ฟอาหาร อาหารเป็นอาหารชุดที่เค้าจัดไว้ให้แล้ว ชุดนึง ข้าวสวย 1 ถ้วย ผัดผักจืดๆ และหมูสับก้อนผัดซีอิ๊ว 2 ก้อน เราลองสั่งเบียร์มากิน ตกกระป๋องละ 15 หยวนมั้ง จำไม่ค่อยได้ จืดชืดทั้งเบียร์ และอาหาร กินกันตายไปได้ 1 มื้อ

หลังจากหมดอาหารเที่ยง ... ก็ได้เวลามาใช้เวลาส่วนตัว ในการ ดูหนัง อ่านหนังสือ ฟังเพลง ชมวิวทิวทัศน์ ถ่ายรูป หรือ นอนพักตามอัธยาศัย มันเป็นเวลาแห่งการใช้ชีวิตอยู่กับตัวเองจริงๆ

บางที การที่เรารีบเร่งทำกิจกรรมต่างๆ ติดต่อธุรกิจวุ่นวาย มันทำให้เรา สื่อสารกับคนทั้งโลก แต่ลืมสื่อสารกับตัวเอง การนั่งมองออกไปยังทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ ภูเขา เมฆขาว ฟ้าคราม เบื้องนอก มันทำให้เราเกิดสมาธิ และได้ทบทวนเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมา ได้รู้สึกว่า ธรรมชาติช่างยิ่งใหญ่ และโลกมีอะไรที่เราไม่เคยเห็นอีกมาก ทำให้เรารู้สึก ตัวเล็กลง ถ่อมตัวลง เราเป็นแค่คนตัวเล็กๆ จากประเทศเล็กๆ ที่แทบไม่มีใครรู้จัก การได้รู้แบบนี้ มันทำให้เราลดอัตตาลง จบจากที่นั่นที่นี่ ทำงานที่นั่นที่นี่ ฯลฯ ... แล้วไง ก็คนๆ หนึ่ง ที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยหนึ่ง ทำงานบริษัทแห่งหนึ่ง ในประเทศเล็กๆ ประเทศหนึ่งบนแผนที่โลก ที่พวกเค้ายังหาไม่เจอ สะกดชื่อไม่ถูกด้วยซ้ำ สิ่งที่เราควรตะหนัก จึงควรเป็น คุณค่าของตัวเราจริงๆ ที่ได้เรียนรู้โลก ผ่านประสบการณ์ที่มีค่า บนโลกใบใหญ่นี้ มากว่ายึดติดว่า เราคือใคร ...

ความหมายของ Slow Life จึงไม่ใช่เปลือกนอก ที่ใช้ของ Vintage แต่งตัวสไตล์ Minimal (แต่ยังไม่ทิ้ง แบรนด์เนมทั้งตัว) หลีกเลี่ยงการทำงานหนัก ปรารถนา นั่งชิวๆ ในร้างกาแฟทั้งวัน ผมว่า Slow Life น่าจะเป็นการเสพรับประสบการณ์ต่างๆ ให้นานขึ้น ลึกซึ้งขึ้น ใช้ชีวิตให้ละเอียดขึ้น เพื่อระดับความตระหนักรู้ ที่สูงขึ้น

เมื่อเข้าสู่มองโกเลีย วิวรอบข้างก็น่าสนใจมากขึ้น มองโกเลีย อยู่บนที่ราบกว้างใหญ่ ที่เรียกว่า ทุ่งหญ้า Steppe มีอาณาเขตกว้างไปจรดทะเลทราย Govi อันกว้างใหญ่ไพศาล ภูมิอากาศอันแห้งแล้งของประเทศนี้ เกิดจาก เทือกเขาหิมาลัยอันสูงตะหง่าน บังไม่ให้ลมหอบความชื้นจากมหาสมุทรแปซิฟิกพัดพาความชุ่มชื้นมายังแผ่นดินใหญ่ในแถบยูเรเซียนี้ อันที่จริง เทือกเขาเคนตีอิ ในมองโกเลีย มีอายุดึกดำบรรพ์กว่า เทือกเขาหิมาลัยอันยิ่งใหญ่เสียอีก ความชื้นส่วนมากมาจากมหาสมุทรอาร์คติกทางตะวันตกเฉียงเหนือ ซึ่งให้ความชุ่มฉ่ำแก่ทุกหญ้า steppe ในฤดูร้อน ซึ่งเป็นเหตุผลให้ชาวทะเลทราย ร่อนเร่พเนจรไปตามความชุ่มชื้นของพื้นที่ เพื่อเลี้ยงสัตว์ ภูมิอากาศเคี่ยวกรำพวกเขาให้ทรหด แข็งแกร่ง พื้นที่ราบกว้าง ทำให้ยากต่อการซุ่มโจมตี การเข้าหาศัตรู ทำได้โดยการขี่ม้าเข้าหาซึ่งหน้า ทำให้พวกเขาองอาจกล้าหาญ กฎธรรมชาติถูกใช้อย่างไม่ปราณี ผู้เข้มแข็งย่อมชนะ ทำให้พวกเขาก้าวร้าวดุดัน ชนเผ่าทะเลทรายของเจงกีสข่าน มีชื่อเรียกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ทาร์ทาร์ โมลกุน หรือ มองโกล ไม่น่าเชื่อว่า ผู้นำชนเผ่าเล็กๆ ผู้นี้ จะกลายมาเป็นมหาข่าน ผู้ปราบไปทั่วสารทิศ ภายในเวลา 25 ปี กองทัพมองโกลพิชิตดินแดนและพลเมืองมากกว่าที่ชาวโรมันสามารถทำได้ในระยะเวลา 400 ปี เจงกีสข่าน คือราชันย์ผู้พิชิตเหนือกว่าที่ทุกคนเคยทำมา อาณาจักรที่มองโกลพิชิตได้ คิดเป็นพื้นที่ 11 ล้านตารางไมล์ เทียบเท่าทวีปแอฟริกา หรือ อเมริกาเหนือ ถ้านับจากแผนที่ปัจจุบัน เจงกิสข่านพิชิตดินแดนไป 30 ประเทศ ที่มีพลเมือง 3 พันล้านคน จากทุ่งทุนดรา ในไซบีเรีย จรดที่ราบเขตร้อนของอินเดีย จากทุ่งนาข้าวในเวียตนาม จรดทุ่งข้าวสาลี ในฮังการี จากคาบสมุทรเกาหลี ถึงคาบสมุทรบอลข่าน ถ้าเจงกิสข่าน ไม่ป่วยตายเสียก่อน คงพิชิตไปทั่วพิภพโลก ... (ความรู้ส่วนนึงที่ได้จากการอ่านหนังสือ ตอนอยู่บนรถไฟ จากหนังสือ “เจงกิสข่าน มหาบุรุษผู้เปลี่ยนโลก” )



ไล่ตามตะวัน .... เราเดินทางไปทางทิศตะวันออก วิ่งย้อนเวลาข้าม Time Zone กลับไปยังแผ่นดินที่พระอาทิตย์ส่องแสง ตลอดระยะเวลาของการเดินทาง เราอยู่ใต้แสงอาทิตย์มากกว่าแสงจันทร์เป็นเวลาเกือบเท่าตัว เราเดินทางจากทางใต้ของมองโกเลียขึ้นมาทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เพื่อเข้าสู่ ไซบีเรีย

ในที่สุด เราก็ได้รับอิสรภาพในการลงจากรถไฟเสียที วิ่งมาเกือบ 2 วัน ท่านผู้คุม เอ๊ย ท่านผู้จัดการตู้รถไฟ ก็อนุญาตให้เราลงไปเดินยืดเส้นยืดสายได้ ที่สถานี Choyr เป็นเวลา 21 นาที ประเทศแถบนี้ ค่อนข้างชอบสร้างอนุสาวรีย์ ขนาดเมืองเล็กๆ แบบนี้ ยังมีอนุสาวรีย์เลย



Ulaan Baatar .... ถัดจาก Choyr มา 3 ชั่วโมง เราก็มาถึงเมืองหลวงของ มองโกเลีย ในเวลาบ่ายคล้อยแล้ว แต่แสงแดดเหมือนเวลา ใกล้เที่ยง เมืองนี้ เป็นเมืองหลวงที่เป็นจุดศูนย์กลางทางเศรษฐกิจการค้า และการลงทุน รวมถึงระบบคมนาคมขนส่ง ประเทศมองโกเลีย มีพื้นที่ 1.5 ล้าน ตร.กม. แต่กลับมีประชากรเพียง ไม่ถึง 3 ล้านคน (คิดเป็นความหนาแน่นประชากร 1.8 คน / ตร.กม. เทียบกับประเทศไทย คือ 133 คน / ตร.กม. กรุงเทพประมาณ ) ระหว่างทางมาเมืองหลวง ผมเห็นกังหันลมจำนวนมาก สายส่งไฟฟ้า ถ้าประเทศนี้ จะกลายเป็นมหาอำนาจด้านพลังงานทดแทน ผมก็คงไม่แปลกใจ ด้วยขนาดประชากรที่เบาบาง จำนวนประชากรน้อยกว่าไทย 20 เท่า เทียบกับ พื้นที่มหาศาลกว่าไทย 3 เท่า และลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่มีช่วงกลางวันยาวนานกว่ากลางคืน มีลมแรงตลอดทั้งปี โซลาร์ ฟาร์ม หรือ วินด์ ฟาร์ม หากมาเปิดที่นี่ ต้องมีประสิทธิภาพสูงมากๆ แน่นอน



Ulaan Baatar เมืองหลวงของมองโกเลีย และเป็นสถานีสำคัญแห่งหนึ่งของ เส้นทางรถไฟ Trans Siberian และ Trans Mongolian โดยเราแวะพัก ประมาณ 1 ชั่วโมง แต่ไม่ได้ไปไหนไกลกว่า สถานีรถไฟ เพราะรถมาถึงช้ากว่าเวลาตามตาราง ทำให้เหลือเวลาเพียงไม่ถึง 55 นาที เราเลยใช้เวลาในการ เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต เพราะนี่เป็นสถานีแรกที่มี Wi Fi ให้ใช้ นอกจากนี้ เรายังเติมเสบียงเป็นอาหารสด และน้ำดื่ม จากร้านค้าแถวนั้น เงินหยวนยังพอใช้แลกเปลี่ยนได้ แต่อาจจะเสียเปรียบเรื่องการคิดเรต อัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งเราคงไม่มานั่งจิ้มค่าเงินเป๊ะๆ ที่เขารับเงินหยวนนั้นก็เป็นเรื่องดีมากแล้ว



เราอุดหนุนร้านเค้าพอสมควร ได้รับน้ำใจจากชาวทุ่งหญ้า เป็นไช่ต้ม 1 ฟอง ...

รถออกจากสถานี พร้อมกับตู้เสบียงตู้ใหม่ หรูหรากว่าเดิม (แต่ก็ราคาแพงกว่าเดิมด้วย) รถวิ่งต่อไป อีก 8 ชั่วโมง ผ่านสถานีเล็กๆ ซึ่งจาก เมืองหลวงไป ก็อีกไม่นานแล้ว ที่จะวิ่งเข้าเขตไซบีเรีย ประเทศรัสเซีย เมืองชายแดนเมืองสุดท้าย ชื่อ Sukhbaatar ตั้งชื่อตาม วีรบุรุษสงคราม นายพลผู้นำการประกาศเอกราชของมองโกเลีย นายพล damdin sukhbaatar ขณะนั้น ฟ้าเพิ่งเริ่มหมดแสง แต่เวลาจริงๆ คือ 5 ทุ่มเศษ


เมืองนี้ เป็นเมืองที่เข้มงวดที่สุดเท่าที่เคยผ่านมา มีทหารในชุดพร้อมรบ ติดอาวุธยืนคุมอยู่ที่ชานชาลา เมื่อผมพยายามถ่ายรูป (ถ่ายได้รูปนึง) ทหารก็ชี้มาบอกว่า ห้ามถ่าย จนผมต้องแกล้งทำเป็นลบทิ้ง (จริงๆ ยังอยู่ในแฟ้ม recent delete) ถือเป็นรูปประวัติศาสตร์ รูปนึงของผม ที่สามารถถ่ายภาพจากเมืองต้องห้ามออกมาได้ (เสียวโดนทุบไอโฟนเหมือนกันแหละคับ 5555) เราถูกตรวจโดยเจ้าหน้าที่ ตม. สาวหน้าตาน่ารัก แต่เคร่งขรึมจริงจัง ด่านนี้ มีการลักลอบขนสิ่งผิดกฎหมายเยอะมาก โดยเฉพาะยาเสพติด แต่ส่วนมากจะเป็นพวกฝรั่งที่ชอบลักลอบขนยามาเล่นกัน กับชาวเอเชีย ไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไหร่ ดูแค่เป็นพิธีก็เสร็จ ผมนั่งๆ ก็เสียวพี่ทหาร จะขึ้นมายึดไอโฟน นั่งลุ้นให้รถออกอย่างเดียวเลย



ผ่านวันที่ 3 เราเกือบข้ามประเทศมองโกเลียกันแล้วนะครับ ก้าวแรกสู่ยุโรปของเรา กำลังจะมาถึงในเวลาไม่ช้านี้แล้ว

ตอนที่ 2 และต่อไป เดี๋ยวค่อยๆ ทยอยลง ถ้าเขียนจบนะครับ ขอบคุณครับ











โหวตเป็นกระทู้แนะนำ
ออฟไลน์
plu
ผู้เยี่ยมชม
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 04 Jan 2007
ตอบ: 17177
ที่อยู่: ร้านขายยาร้านหนึ่ง
โพสเมื่อ: Wed Jul 29, 2015 23:45
ถูกแบนแล้ว
[RE: ประสบการณ์แบกเป้ ขึ้นรถไฟ สาย Trans Siberian (ตอนที่ 1)]

แผล่บก่อน เดี๋ยวมาอ่านคับ

1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
ผู้เยี่ยมชม
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 22 Oct 2012
ตอบ: 5502
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Wed Jul 29, 2015 23:46
ถูกแบนแล้ว
[RE: ประสบการณ์แบกเป้ ขึ้นรถไฟ สาย Trans Siberian (ตอนที่ 1)]
ไอ้แบบนี้ไม่เหมาะกับทุกคนนะ ต้องพร้อมทุกด้านจริงๆ
เส้นทาง สุขภาพ โหดพอควรเลย
แต่เป็นการเปิดชีวิตได้เยอะมากๆอย่างหนึ่ง

ใครพร้อมไปตามรอยเลยครับ ส่วนผมขอบายก่อน ไม่ไหวจริงๆแม้จะมีเงิน
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
กำเนิดดาวรุ่ง
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 04 Mar 2010
ตอบ: 208
ที่อยู่: เมือง
โพสเมื่อ: Thu Jul 30, 2015 01:25
[RE: ประสบการณ์แบกเป้ ขึ้นรถไฟ สาย Trans Siberian (ตอนที่ 1)]
ติดตามครับ
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
We are the blue


ออฟไลน์
นักเตะอบต.
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 31 Aug 2009
ตอบ: 452
ที่อยู่: Saint Petersburg State University
โพสเมื่อ: Thu Jul 30, 2015 03:16
[RE: ประสบการณ์แบกเป้ ขึ้นรถไฟ สาย Trans Siberian (ตอนที่ 1)]
เห็นแล้วตกใจ รีบล็อกอินเข้ามาเลยครับ ไว้มาเที่ยวอีกนะครับ
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
ตำรวจบอร์ด
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 08 Jul 2009
ตอบ: 23
ที่อยู่: Be as you were when we met
โพสเมื่อ: Thu Jul 30, 2015 07:40
[RE: ประสบการณ์แบกเป้ ขึ้นรถไฟ สาย Trans Siberian (ตอนที่ 1)]
MoOAoNZz พิมพ์ว่า:
เห็นแล้วตกใจ รีบล็อกอินเข้ามาเลยครับ ไว้มาเที่ยวอีกนะครับ  


น้องอ้นป่ะครับ เล่น SS ด้วยอ่อ 55555

1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
แข้งดัทช์ลีก
Status: ฉันรักเธอ
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 11 Aug 2008
ตอบ: 5306
ที่อยู่: Andromeda Galaxy
โพสเมื่อ: Thu Jul 30, 2015 07:50
[RE: ประสบการณ์แบกเป้ ขึ้นรถไฟ สาย Trans Siberian (ตอนที่ 1)]
สุดยอดเลย
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
ซุปตาร์ยูโร
Status: Quakka Not Wallaby
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 14 Aug 2012
ตอบ: 14991
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Thu Jul 30, 2015 09:04
[RE: ประสบการณ์แบกเป้ ขึ้นรถไฟ สาย Trans Siberian (ตอนที่ 1)]
สุดยอด ตามติดด้วย
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออนไลน์
นักบอล ดิวิชั่น 1
Status: ถ้าเธอพบกับรักใหม่..ดวงใจของฉันปวดร้าว
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 25 Jun 2007
ตอบ: 8721
ที่อยู่: ชายละเบื่อไม่อยากจะพูด
โพสเมื่อ: Thu Jul 30, 2015 09:31
[RE: ประสบการณ์แบกเป้ ขึ้นรถไฟ สาย Trans Siberian (ตอนที่ 1)]
ฝากร้าน...
เอ้ย ปักกระมู้
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
แขวนสตั๊ด
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 14 Aug 2012
ตอบ: 17806
ที่อยู่: Stamford Bridge
โพสเมื่อ: Thu Jul 30, 2015 10:16
[RE: ประสบการณ์แบกเป้ ขึ้นรถไฟ สาย Trans Siberian (ตอนที่ 1)]
สุดยอดมากครับ มีจ๊ะเอ๋กัน ใน SS ด้วย
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
นักเตะเทศบาล
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 03 Apr 2009
ตอบ: 4210
ที่อยู่: Castle of glass
โพสเมื่อ: Thu Jul 30, 2015 10:39
[RE: ประสบการณ์แบกเป้ ขึ้นรถไฟ สาย Trans Siberian (ตอนที่ 1)]
ถามคำเดียวครับ หมดเงินไปเท่าไร ความฝันเลยได้ไปเส้นนี้
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
แข้งบุนเดสลีกา
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 13 Oct 2009
ตอบ: 10150
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Thu Jul 30, 2015 10:50
[RE: ประสบการณ์แบกเป้ ขึ้นรถไฟ สาย Trans Siberian (ตอนที่ 1)]
เก็บเกี่ยวประสบการณ์ไว้เยอะๆก่อนค่อยลุยทริปนี้ เส้นทางในฝัน
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
ตำรวจบอร์ด
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 08 Jul 2009
ตอบ: 23
ที่อยู่: Be as you were when we met
โพสเมื่อ: Thu Jul 30, 2015 12:15
[RE: ประสบการณ์แบกเป้ ขึ้นรถไฟ สาย Trans Siberian (ตอนที่ 1)]
A_kung พิมพ์ว่า:
ถามคำเดียวครับ หมดเงินไปเท่าไร ความฝันเลยได้ไปเส้นนี้  


ค่าเครื่องบิน ไปกลับ ค่าตั๋วรถไฟ เอาแบบไม่ลำบากมาก อยู่ที่ 45,000 - 50,000 บาทครับ

คือ จริงๆ มัน จำกัดงบในแต่ละส่วนได้

เครื่องบิน ไป กลับ ถ้าบินตรง แพงกว่า บินต่อเครื่อง ช้าแต่ ถูก

รถไฟ ถ้าเลือกชั้น 3 ถูกสุด แต่ลำบากหน่อยครับ ไม่ค่อยเป็นส่วนตัว

ถ้าไปคนเดียว ก็ภาวนาให้ได้ ที่นั่งด้านล่าง เพราะ ชั้น 3 ที่นั่งบน ลำบากสุดๆ

ถ้าประหยัดทุกส่วน และโชคดี บาทแข็ง จะอยู่ราวๆ 40,000 นิดๆ

ค่ากินอยู่ ผมไป 12 วัน 12,000 บาท มีเหลือกลับไทยครับ

ค่าโรงแรม กะ โฮสเทล รวมอยู่ในค่ากินแล้วครับ ซึ่ง ประหยัดได้มากน้อยอยู่ที่เรา

2
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
นักเตะอบต.
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 31 Aug 2009
ตอบ: 452
ที่อยู่: Saint Petersburg State University
โพสเมื่อ: Thu Jul 30, 2015 18:06
[RE: ประสบการณ์แบกเป้ ขึ้นรถไฟ สาย Trans Siberian (ตอนที่ 1)]
Extream Aggressor พิมพ์ว่า:
MoOAoNZz พิมพ์ว่า:
เห็นแล้วตกใจ รีบล็อกอินเข้ามาเลยครับ ไว้มาเที่ยวอีกนะครับ  


น้องอ้นป่ะครับ เล่น SS ด้วยอ่อ 55555

 


ใช่เลยครับผม รอติดตามนะครับ
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
นักเตะกลางซอย
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 01 Jun 2014
ตอบ: 1961
ที่อยู่: สังคมก้มหน้า
โพสเมื่อ: Fri Jul 31, 2015 08:14
[RE: ประสบการณ์แบกเป้ ขึ้นรถไฟ สาย Trans Siberian (ตอนที่ 1)]
ชีวิตเคยแบกเป้เที่ยวสิบวัน ไม่รู้จะมีโอกาศแบบนี้อีกเมื่อไหร่ ทำงานแล้วหาวันหยุดยาวยาก รออ่านต่อนะครับ
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ไปหน้าที่ 1, 2
ไปที่หน้า
GO
ตั้งกระทู้ใหม่
กรุณาระบุเหตุผลที่จะแจ้งความ
ผู้ต้องหา:
ข้อความ:
Submit
Cancel
กรุณาเลือก Forum และ ประเภทกระทู้
Forum:

ประเภท:
Submit
Cancel