คงไม่ช้าไปถ้าผมจะหยิบเอาคัมภีร์ลับ 3-5-2 ของโคตรเทรนเนอร์ หลุยส์ ฟาน กัล แห่งสำนักอสูรแดงมาชำแหละ จากที่ก่อนหน้านี้ก็มีกูรูหลายท่านเอาความพังพาบของเกมรุก “ปีศาจแดง” มาสวดกันยับอยู่ให้ได้ยินกันอยู่บ่อยๆ เพราะถ้าไม่เอามาพูดบ้าง คงคันปากจนนอนไม่หลับ
ฤดูกาลที่แล้วกองเชียร์ “อสูรโลกันต์” ต้องพบพานกับความเปลี่ยนแปลงที่ยากจะรับได้ นั่นคือการจากไปของบรมกุนซือ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ซึ่งไม่ไปเปล่า กลับส่งไม้ผลัดต่อให้กับกุนซือชาติเดียวกันอย่าง เดวิด มอยส์ ที่เล่นแฟนบอลต้องนั่งลุ้นทุกนัดกับตำราคามิคาเซ่ทิ้งบอมจนจำ แมนฯ ยูไนเต็ด ทีมเก่าที่รุกดุดันแทบไม่ได้ ผ่านมา 1 ซีซั่น ทีมมาอยู่ภายใต้การคุมทัพของ หลุยส์ ฟาน กัล ที่เพิ่งผ่านการพาทีมชาติฮอลแลนด์บ้านเกิดประกาศศักดาคว้าอันดับ 3 ฟุตบอลโลก 2014 มาหมาดๆ ก่อนมารับงาน ซึ่งบุรุษผู้นี้เข้ามาพร้อมกับแผนการเล่นที่พา “ฟลายอิ้งดัตช์แมน” ประสบความสำเร็จในทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมวลมนุษยชาติมาแล้วอย่าง 3-5-2 มหาประลัย
เทียบกันปอนด์ต่อปอนด์ 3-5-2 ของ เนเธอร์แลนด์ กับ แมนฯ ยูไนเต็ด
พูดถึง 3-5-2 นี่ไม่ใช่ระบบยอดฮิตเท่าไหร่ของฟุตบอลยุคโมเดิร์น ส่วนหนึ่งเพราะนี่เป็นระบบของยอดทีมอย่างแท้จริง ไม่ต้องย้อนไปไกล ไปดูแค่ที่อิตาลีก็ได้เห็น ยูเวนตุส ยุค 3 สคูเด็ตโต้ซ้อนของกุนซือ อันโตนิโอ คอนเต้ อย่างที่รู้กันว่าระบบนี้สร้างความดุดันให้ “ไอ้ม้าลาย” ด้วยปรัชญาแรกคือรับให้แน่น และที่ทำได้เพราะนั่นคือทีมที่มีแนวรับที่เยี่ยมติดอันดับต้นๆ ของโลกระดับทีมชาติอิตาลียืนประสานงานกันได้อย่างเป็นระบบ การวาง อันเดรีย ปีร์โล่ ที่เป็นมิดฟิลด์ตัวโฮลด์บอล และเล่นเกมรับได้ไปในตัวคอยบัญชาเกม แถมยังการเล่นที่ไม่ได้มีสปีดบอลสูงเหมือนในอังกฤษ ทำให้การใช้ 3-5-2 เด่นทั้งรุกและรับได้อย่างมีประสิทธิ์ภาพ
แท็คติก 3-5-2 อันเอกอุของม้าลายที่ใช้ได้ผลแค่ในกัลโช่เท่านั้น
ว่ากันตามสภาพ 3-5-2 ก็คือ 5-3-2 ที่แอดวานซ์มากขึ้น แต่แผนที่มีนักเตะตำแหน่งเซ็นเตอร์ฮาล์ฟถึง 3 คน ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือแผนของการเล่นรับ วิงแบ็ก 2 ข้างก็หันไปเล่นรุกมากขึ้น แม้ว่าเซ็นเตอร์ของ ฟาน กัล แกจะดันสูงขึ้นมาต่อบอลกับมิดฟิลด์ในการเดินเกมรุก ช่วยให้ครองบอลได้เป็นส่วนใหญ่ แต่พอพลาดโดนสวนกลับก็ตาลีตาเหลือกวิ่งกลับลงมาทับตำแหน่งกัน นั่นเพราะนักเตะอังกฤษ ไม่มีหน้าไหนที่จะคุ้นเคยกับระบบกองหลัง 3 คนแน่ๆ เพราะมันไม่มีให้เห็นในประเทศนิยมแบ็กโฟร์แห่งนี้ แถมกองหลังของทีมชุดนี้ก็พากันสลับหน้ากันเจ็บจนแทบไม่รู้ว่าใครเป็นตัวจริงกันแน่ และสุดท้ายก็เล่นร่วมกันไม่เข้าขา เกมรับ “ปีศาจแดง” ชุดนี้มันจึงดูอิหลักอิเหลื่อ ไม่รู้ใครควรจะเข้าบอลตรงไหน จังหวะไหน จนสุดท้ายก็โดนคู่แข่งกระซวกไส้
2 แท็คติกสุดฮาที่ไม่คิดว่ากุนซือคอยาวจะจัดแบบนี้ "ผมนี่ยืนงงเลย"
ซึ่งถ้าย้อนกลับไปว่าทำไม 3-5-2 ของ คอนเต้ ถึงเรียกแชมป์ลีกให้ “ม้าลาย” ได้ถึง 3 ปีซ้อน คำตอบง่ายๆ คือเขามีกองหลังที่ดีกว่า เล่นกันเข้าอกเข้าใจกับแผนมากกว่า มีมิดฟิลด์ตัวปั้นเกมชั้นอ๋องอย่าง ปีร์โล่ ที่ดูดีกว่า ไมเคิ่ล คาร์ริค เป็นไหนๆ ไม่ใช่ว่ากองกลางผู้ปิดทองหลังพระคนนี้ไม่เก่ง แต่ต้องเป็นกองกลางชั้นครูอย่าง ปีร์โล่ เท่านั้น ที่จะยืนบัญชาเกมในระบบนี้ได้ ซึ่ง คาร์ริค เหมาะจะมีคู่หูที่จะเล่นด้วยมากกว่า และจะเห็นว่าเขาจะทำได้ดีถ้ามีนักเตะอย่าง มารูยาน เฟลไลนี่ มาแบ่งเบาภาระ นอกจากนั้นสิ่งที่เห็นได้ชัดคือ 3-5-2 ของ “ยูเว่” พังพินาศเมื่อออกสู่เวทียุโรป
ถ้าเป็นในเกมก็คงแทนกันได้ แต่ในความเป็นจริง ร็อบเบน มีความกระหายทำประตูมากกว่าดิ มาเรีย
การต่อบอลในทีมของ ฟาน กัล ทำได้ยอดเยี่ยม แต่ด้วยตัวรุกที่มีไม่ได้มีความสามารถในการพาบอลไปเองได้สูงมากอย่าง อาร์เยน ร็อบเบน ซึ่งแม้จะปรับเปลี่ยนไปให้ อัลเคล ดิ มาเรีย ที่มีลักษณะการเล่นคล้ายกับปีกชาวดัตช์ไปทดลองยืน แต่ก็ทำได้ไม่ดีเพราะส่วนหนึ่งแล้ว ถ้าเทียบกันอย่างไรเสีย ร็อบเบน ก็มีความเป็นกองหน้ามากกว่า ดิ มาเรีย ที่มีความอันตรายในทางทำเกม จ่ายบอลให้เพื่อนมากกว่า เกมรุกที่จะผ่านไปถึงกองหน้าและได้ทำประตูจึงน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย แม้เจ้าตัวจะยังดื้อบอกว่าไอ้โอกาสน้อยๆ นั่นถ้าทำได้ก็คงชนะไปแล้ว แต่มันก็น่าย้อนกลับไปว่าเพราะมันทำไม่ได้ต่างหาก ที่สมควรต้องยิ่งทำเกมรุกให้ดุดันกว่านี้ และยิ่งเห็นได้ชัดที่ทุกครั้งกลับมาเล่นกองหลัง 4 คน ก็มีแนวรุกที่ดูดีกว่าตอนแรกทุกที
การทดลองระบบของ ฟาน กัล ในช่วงปรีซีซั่นของทีมก็ยังยึดระบบกองหลัง 3 คนเหมือนเคย
แล้วทำไม 3-5-2 จึงมีประสิทธิภาพกับทีมชาติฮอลแลนด์ อย่าให้ผลงานใน ฟุตบอลโลก หลอกคุณทีเดียว เกมแรกที่ยิงสเปนจนยับนั่นเพราะแผนนี้ได้แสดงประสิทธิภาพเต็มๆ นั่นคือการเจอทีมเหนือกว่าบุกใส่ แนวรับที่มี 3 คนยืนกันได้เป็นระบบ และวิงแบ็กเปิดบอลกันได้เด็ดขาด ประกอบกับกองหน้าที่พาบอลไปเองได้ดี และท็อปฟอร์มในช่วงนั้นอย่างแท้จริงแบบ อาร์เยน ร็อบเบน ทำให้ “อัศวินสีส้ม” สร้างเรื่องน่าเหลือเชื่อได้ ต้องยอมรับว่าฮอลแลนด์ชุดนั้นตัวผู้เล่นอ่อนกว่าทีมชั้นนำด้วยกันหลายทีม เพราะอุดมด้วยดาวรุ่ง เห็นได้ชัดว่าหากเจอทีมที่เน้นรับเหนียวอย่าง คอสตาริก้า หรือมีตัวตัดเกมที่ดีอย่างอาร์เจนติน่า ก็แทบไปไม่เป็นเหมือนกัน
จะเห็นได้ว่าในฟุตบอลโลก ฟานกัล ยอมใช้หลัง 4 คนแค่ 2 แมตช์เท่านั้น
สิ่งที่ยืนยันได้คือ “ปีศาจแดง” เป็นทีมที่เน้นเกมรุก แต่แผน 3-5-2 ปรัชญาคือการรับให้รัดกุมก่อน ซึ่งไม่เหมาะกับแนวแผงหลังชุดนี้ที่เล่นกันได้รั่วเกือบทุกอนูเป็นอย่างยิ่ง ระบบนี้ต้องมีวิงแบ็กที่ดี ซึ่ง แมนฯ ยูไนเต็ด มี ลุค ชอว์ ที่เป็นแบ็กตามระบบกองหลัง 4 คน ไม่ได้ขึ้นดันสูงเป็นบ้าเป็นหลัง มี ราฟาเอล ที่พอจะใช้ได้ แต่ก็เจ็บออดๆ แอดๆ จังหวะรับก็โฉ่งฉ่างเกินกว่าจะฝากผีฝากไข้ การแก้ไขด้วยการเอาปีกอย่าง อันโตนิโอ วาเลนเซีย และ แอชลีย์ ยัง พอจะกล้ำกลืนฝืนกันไปได้ แต่ก็ไม่ตลอดเพราะนั่นคือปีก ไม่ใช่แบ็ก นี่ยังไม่นับการเอาหนึ่งในนักเตะริมเส้นที่อันตรายที่สุดในโลกอย่าง ดิ มาเรีย มายืนเสียของที่วิงแบ็ก พี่แกก็ทำมาแล้ว ไหนจะกองหน้าอย่าง เวย์น รูนีย์ ที่ต้องลงมาต่ำในตำแหน่งมิดฟิลด์ ทั้งๆ ที่ทีมมีเพลย์เมกเกอร์ขั้นเทพอย่าง ฆวน มาต้า อยู่แล้ว และถ้านับการใช้งานแต่ลูกรัก โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ ทั้งที่ทำผลงานได้ไม่ดีนัก ความผิดจะตามมาอีกหลายกระทง
3-5-2 ไม่ใช่ระบบที่เหมาะกับเกมรุก แถมยังเหมาะกับทีมที่มีแนวรับแน่น และมิดฟิลด์ห้องเครื่องที่บัญชาเกมได้ดี แถมตัวริมเส้นก็ต้องเน้นพวกเปิดบอลแม่น รับได้ดี และวิ่งไม่มีหมด ซึ่งต่างจากสเป็คที่ “ปีศาจแดง” มี หลายขุม ถ้าถามว่า ฟาน กัล ต้องเปลี่ยน หรือเขาจะเปลี่ยนไหม คงยืนยันแน่ชัดไม่ได้ เพราะอีโก้ในตัวของกุนซือระดับนี้ทุกคนน้อยอยู่เสียเมื่อไหร่ ต่อให้เป็น เซอร์ อเล็กซ์ มาเอง ยิ่งไม่ยอมปรับง่ายๆ แน่ เหมือนที่ยุคหนึ่งสมัยหนึ่งทีมมี รุด ฟาน นิสเตลรอย และ ฮวน เซบาสเตีย เวรอน จน “ป๋า” ปรับระบบเป็น 4-4-1-1 ยุคนั้นก็โดนวิจารณ์กันหนัก และกว่าระบบนี้จะผลิดอกออกผล ก็ต้องใช้เวลาระยะหนึ่งทีเดียว
Cr.“มิสเตอร์ XL”
ที่มา
Spoil
http://www.smmsport.com/reader.php?article=4166
