[RE: 23 ปี Lauda Air เครื่องบินตก โคกนาฏกรรมครั้งร้ายแรงที่สุดในไทย]
รวมเรื่องเล่นสยองจากพันทิปกระทู้นี้มาให้ครับ
อ้างอิงจาก:
ตอนทำงานสนามบินดอนเมือง มีเรื่องเล่าจากคนทำงานว่าหลังเครื่องตก พนักงานที่ไปรอรับเครื่อง (สายการบินอื่น)เวลาใกล้ๆ เครี่องลำนี้ขึ้น ที่เกตอะไรเราจำไม่ได้ละ เรีองมันนานมาก จะมีผู้โดยสารมาถามว่าไฟท์นี้จะบอร์ดดิ้งหรือยัง.... คนเจอกันหลายคนมาก. น่ากลัวสุดๆ
อ้างอิงจาก:
เคยมีคนรู้จักทำงานอยู่ที่ดอนเมือง แล้วอยู่กะดึก แล้วก็ได้กลิ่นน่ำหอมลอยมา ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีผู้โดยสาร พวกพี่ๆก็วิ่งมารวมกัน แล้วก็นึกถึงเหตุการณ์นี้แหละ
แล้วก็มีอยู่ครั้งนึง อยู่กะดึกเหมือนเดิม แล้วมีพระสงฆ์มาทักว่า โห ผู้โดยสารเต็มเลยนะ
เคยมีคนรู้จักทำงานอยู่ที่ดอนเมือง แล้วอยู่กะดึก แล้วก็ได้กลิ่นน่ำหอมลอยมา ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีผู้โดยสาร พวกพี่ๆก็วิ่งมารวมกัน แล้วก็นึกถึงเหตุการณ์นี้แหละ
แล้วก็มีอยู่ครั้งนึง อยู่กะดึกเหมือนเดิม แล้วมีพระสงฆ์มาทักว่า โห ผู้โดยสารเต็มเลยนะ
อ้างอิงจาก:
ได้ยินว่าเป็นพระบวชใหม่ที่ลำพูน(?) กวาดลานวัดอยู่ แล้วมีเสียงให้ไปเตือนเจ้าที่ เชียงใหม่ ท่านคิดว่าจะไปเข้าพบเจ้าได้อย่างไร ปรากฏพอดี เจ้าขึ้นบ้านใหม่มานิมนต์พระที่วัด แต่ติดภารกิจกัน จนมาถึงพระบวชใหม่ เลยได้ตามไป
หลังงาน ท่านรวมความกล้า บอกเตือนเจ้าท่านให้ยกเลิกการเดินทาง แต่.....(ไม่เล่ารายละเอียดนะ)
จริงๆที่บ้านผม คณะเขาก็ชวนไปออสเตรีย บอกจะไปฉลอง..กัน แต่ที่บ้านตอนนั้นกำลังวุ่นๆเรื่องงานเลยไม่ได้ไปด้วย
ตอนนั้นผมเด็กแต่จำได้ว่านั่งรถกลับจาก ฝาง(?) แวะงาน ลิ้นจี่(?) ที่ที่ว่าการ(?) .... (ขอโทษทีนานมากความจำเริ่มเลือน)
ที่บ้านยังได้คุยกับ ผู้ว่าเชียงใหม่ ซึ่งก็บอกว่าจะไปกันแล้วคืนนี้ ที่บ้านก็บอกคืนนี้กลับกรุงเทพฯเหมือนกัน เครื่องบินผมถึงก่อน .... แล้วก็ได้ข่าวไม่ดี ...ก่อนเกิดเหตุไม่กี่วัน ที่บ้านยังได้เจอคนในคณะหลายคนเลยที่เดินทางมาพบ (ไม่ขอลงรายละเอียด) หลังเหตุเจอเพื่อนที่โรงเรียนก็ยังคุยกันเรื่องนี้เพราะ ผู้ว่าเป็นอาเพื่อน..
แล้วก็ จำได้ว่า มีสองสามีภรรยาในคณะ ไปเช็คอินแล้ว ปรากฏภรรยาปวดท้องกระทันหัน ต้องยกเลิกการเดินทาง เลยรอดตายอย่างหวุดหวิด
(แต่ไม่กี่ปีหลังจากนั้น ภรรยาก็ป่วยเป็นมะเร็งเสีย)
อ้างอิงจาก:
ป้าแถวบ้านที่เชียงใหม่ เคยเล่าให้ฟังว่ามีพระเกจิอาจารย์องค์หนึ่งที่เชียงใหม่ (ดังมากๆ ในขนาดนั้น) เคยทักผู้ว่าเชียงใหม่เอาไว้ว่า ดวงถึงฆาตหากไปเที่ยวบินนี้ ตอนแรกก็ไม่คุ้นนึกว่าแกเพี้ยน พอเปิดกระทู้นี้เรื่องจริงแหะ
อ้างอิงจาก:
เคยพาครอบครัวไปกางเต๊นท์ที่พุเตยเมื่อสักสิบปีมาแล้ว จำไม่ได้ว่าตรงจุดไหนแต่มันเป็นลานหญ้าใกล้ๆกับที่ทำการ ทั้งลานกางเต๊นท์มีแค่ครอบครัวผมกับครอบครัวน้องสาวแค่สองเต๊นท์ แถมบริเวณที่ทำการยังอุตส่าห์มีบอร์ดติดรูปตอนเหตุการณ์เครื่องบินตก รูปศพทั้งหลายแปะไว้ให้ดูอีกตะหาก คืนนั้นนอนกันด้วยความหลอนตลอดคืน เช้ามาน้องสาวบอกว่าเมื่อคืนได้ยินเสียงเหมือนคนเดินรอบๆเต๊นท์ตลอด ไปคุยกับเจ้าหน้าที่แกบอกว่าตอนเครื่องบินตกเขาลำเลียงศพจากบนเขามาพักไว้ที่ลานนี่แหละครับ เลยรีบเก็บของกลับเลย ดีนะที่พี่เจ้าหน้าที่เขาไม่มาคุยตั้งกะเย็นเมื่อวาน ไม่งั้นมีกลับกลางดึกแน่ๆ
อ้างอิงจาก:
สมัยทำงานเป็นสตาฟทัวร์ใหม่ๆ
เคยมีพี่ไกด์บางคนเล่าให้ฟังว่า คนที่ตายในไฟลท์นั้น มีส่วนเกี่ยวข้องกับการ "ขิด" (ใช้ศัพท์ถูกมั้ยเนี่ย) คือทำผิดประเพณีเมือง
มีเรื่องสร้างคอนโดริมน้ำปิง แล้วก็อะไรอีกเรื่องน่ะค่ะ
เค้าเลยเชื่อกันว่า การทำผิดนั่นเลยส่งผลให้เสียชีวิต
เราเริ่มเป็นสตาฟปี 38 น่ะ หลังเหตุการณ์สี่ปี
ใครมีข้อมูลวานชี้แจงหน่อยนะคะ อยากรู้มากว่าจริงไม่จริง
อ้างอิงจาก:
เรื่องเล่าจากคนทำข่าว คุณจตุพล
โปรดใช้วิจารณญาณ
เหตุการณ์ที่ผมขอสารภาพเป็นธรรมทานนี้เกิดขึ้นเมื่อเดือนพ.ค.2534 หลังจากสายการบินเลาด้าแอร์ บินขึ้นจากสนามบินดอนเมืองประมาณ 6 นาที ก็หายไปจากจอเรด้า หอบังคับการวิทยุแจ้งทุกหน่วยงานว่าสงสัยเครื่องบินจะตก ในรัศมีประมาณจังหวัดสุพรรณบุรี กาญจนบุรี หรือประเทศพม่า เหยี่ยวข่าวอย่างผมได้รับคำสั่งจากกองบรรณาธิการให้เดินทางไปทำข่าวทันทีที่ได้รับวิทยุ ทั้งๆ ที่ยังไม่ทราบเป้าหมายที่แน่ชัด ช่วงนั้นเวลาประมาณ 5 ทุ่ม ต้องขับรถแข่งกับสื่อมวลชนแขนงอื่นๆ ทั่งวิทยุ ทีวี หนังสือพิมพ์ และมูลนิธิที่ต้องไปเก็บศพ ด้วยความคึกคะนองของช่วงวัยรุ่นที่กล้าได้กล้าเสียแบบไม่กลัวตาย แต่กว่าจะไปถึงจุดที่เครื่องตกเวลานั้นก็ประมาณตี 5 เคยวาดภาพว่าจังหวัดสุพรรณบุรีมีแต่ทุ่งนานั้นผิดถนัด เพราะจังหวัดสุพรรณฯจุดที่เครื่องบินตกเป็น ต.ห้วยป่าขี อ.ด่านช้าง พื้นที่ติดต่อกับอ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานี จึงเต็มไปด้วยป่าเขา ต้องขับรถปีนขึ้นไปบนภูเขา เห็นแต่แสงไฟลุกไหม้ป่า
สภาพที่ไปถึงใหม่ๆ ได้กลิ่นเหม็นไหม้ของซากศพ ช่วงนั้นทุกคนทำอะไรไม่ได้ ต้องนอนพักผ่อนในรถใครรถมันด้วยความอ่อนเพลีย ตื่นขึ้นมาช่วงเช้าเดินไปถ่ายรูปสัมผัสกับบรรยากาศสุสานคนตาย ซึ่งเกิดจากกรรมอะไรไม่ทราบที่ต้องมาจบชีวิตรวมกันถึง 223 ศพ ไม่มีรอดแม้แต่คนเดียว 1 ในผู้เสียชีวิตมีนายไพรัช เตชะริน ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ในขณะนั้นรวมอยู่ด้วย
กลิ่นคาวเลือด กลิ่นไหม้คลุ้งทั่วภูเขา สภาพศพแต่ละท่านช่างน่าอนาถนัก บางคนแขนขาด ขาขาด หัวขาด ไส้ทะลัก อันเกิดจากแรงกระแทกที่หนักหน่วง เหมือนลูกแตงโมที่ตกจากที่สูง จุดที่พบศพผู้โดยสารที่เคราะห์ร้ายมากที่สุดคือตรงกลางลำประมาณ 80 ศพ กระจัดกระจายเกลื่อน ลักษณะมือกำไว้แน่น เกร็ง เหมือนจะรู้ว่าเครื่องบินกำลังจะตก สภาพศพคนไทยหรือคนเอเซีย เจ้าหน้าที่มูลนิธิใช้ผ้าขาวเพียงผืนเดียวก็ห่อศพ ส่วนศพฝรั่งรูปร่างสูงใหญ่ อ้วน ต้องใช้ผ้าขาวห่อศพถึง 2-3 ผืน
ผมมีหน้าที่ทำข่าว รายงานข่าวสดๆ จากจุดเกิดเหตุกลับกรุงเทพฯอย่างเร่งด่วนด้วยเครื่องโทรศัพท์ฮอทไลน์กระเป๋าหิ้ว เครื่องประมาณ 2 แสน ซึ่งช่วงนั้นถือว่าเป็นโทรศัพท์ที่ทันสมัยที่สุด ไม่มีไอโฟนหรือสมาร์ทโฟนเหมือนปัจจุบัน อินเตอร์เน็ตไม่มี ต้องใช้โทรศัพท์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ส่วนภาพถ่ายเป็นฟิล์มต้องนำมาส่งรถทัวร์ในตลาดด่านช้าง เข้ากรุงเทพฯ เพื่อมาล้างตีพิมพฺ์
ช่วงเช้าของวันนั้นหลังจากข่าวแพร่ออกไป ปรากฏว่ามีไทยมุง ชาวเขามุง(มีกะเหรี่ยง ชาวเขาอยู่ด้วย) เดินทางมายังตีนเขาแน่นไปหมด แม้กำลังตำรวจ อาสาสมัครนับ 100 ก็ห้ามไม่อยู่ ลักษณะของเครื่องบินมันตกในป่า ลำตัวเครื่อง หัวเครื่อง ท้ายเครื่องห่างกันเป็น 2-3 กิโลเมตร แล้วกระจายเกลื่อนป่า ยากต่อการเก็บศพและลำเลียงมารวมกัน เพราะยังเป็นป่าที่สมบูรณ์มาก จะเดินหรือติดต่อกันต้องใช้วิทยุ(วอ)สั่งการเท่านั้น
สายการบินเลาด้าแอร์เที่ยวนั้นกำลังจะบินไปยุโรป ที่ประเทศออสเตรีย เพื่อจะพาคุณหญิง คุณนายหรือผู้มีอันจะกินไปดูโอเปล่า ที่กรุงเวียนนา ทุกคนต่างแต่งตัวสวย ด้วยเครื่องประดับล้ำค่า แหวนเพชร นาฬิกา สร้อยคอต่างหู หรูหรา พกเงินเป็นฟ่อน และเป็นที่แน่นอนทรัพย์สินของผู้เสียชีวิตเหล่านั้นก็จะถูกเก็บ ถูกฉกไปจากที่พวกเราเรียกว่าแร้งทึ้ง มีทั้งเจ้าหน้าที่เก็บศพ ชาวบ้าน พราน ชาวป่า ถึงขนาดว่ามีนายทุนมารับแลกเงินดอลล่าร์กันที่ตีนเขา ช่วงปีนั้น 1 ดอลล่าร์ราคาแลก 25 บาท นายทุนมาแลก 10-15 บาท พวกแร้งทึ้งก็ยอม
เจ้าหน้าที่มูลนิธีฯต้องใช้เวลาเก็บศพอยู่ประมาณ 4-5 วันถึงลำเลียงศพออกมาชันสูตรที่สถาบันนิติเวช โรงพยาบาลตำรวจ ได้เกือบหมด มีหลงเหลือบ้างก็เป็นพวกชิ้นเนื้อ กระดูก ชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่หมาป่า สัตว์ร้ายแทะเอาไปกิน หลังจากส่งข่าวแล้ว ผมจะกลับมานอนที่โรงแรมใน อ.ด่านช้าง เมื่อมาถึงโรงแรมหรือไปนั่งในร้านอาหาร สาวเสิร์ฟมักจะถามว่าพี่ไปเก็บศพมาหรือ เพราะกลิ่นศพจะติดมากับเสื้อผ้า บางครั้งซักแล้ว และซื้อตัวใหม่ แต่กลิ่นศพก็ยังติดตัว ผมก็จะภาวนาว่า มาทำข่าวตามหน้าที่นะ เราไม่มีอะไรยุ่งเกี่ยวกัน ขออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้วิญญาณแต่ละดวงอยู่ห่างๆ เราไว้ อย่าตามมาหลอกหลอนเลย พร้อมๆ กับนิมนต์พระวัดใกล้ๆ ไปสวดบังสุกุลให้
ด้วยภาระกิจที่ต่อเนื่องผมต้องอยู่ทำข่าวเกือบครึ่งเดือน รอทำข่าวญาติพี่น้องของผู้เสียชีวิตบินมาจากต่างประเทศ เพื่อมาเรียกวิญญาณกลับ ได้เห็นพิธีกรรมแต่ละชาติศาสนา เรียกวิญญาณ เชิญวิญญาณแตกต่างกันไป รอสัมภาษณ์ "นิกิ เลาด้า" นักแข่งรถสูตร 1 (ในอดีตดังมาก) เป็นเจ้าของสายการบินเลาด้าแอร์ บินจากกรุงเวึยนนา มาดูเครื่องบินไอพ่นชะตาขาดของตัวเอง และรอทำข่าวเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมผู้ที่ฉกทรัพย์ แร้งทึ้งทรัพย์สินของผู้เสียชีวิตมาทำแผน ประกอบคำรับสารภาพ มีผู้ต้องหาเป็นจำนวนมาก มีเจ้าหน้าที่มูลนิธิเก็บศพรวมอยู่ด้วย
สำหรับตัวกระผมเอง วันนั้นจำได้ว่าเดินทางไปกับตำรวจ 3-4 นาย เพื่อไปถ่ายภาพและทำข่าวที่ห้องนักบิน หรือกัปตัน ซึ่งห้องดังกล่าวกระจายห่างออกไป 2 กิโลเมตร สภาพห้องกัปตันโดนไฟไหม้เกือบหมด มีเอกสารกระจัดกระเกลื่อน ผมไปเห็นหนังสือสมบูรณ์อยู่เล่มหนึ่งเป็นภาษาอังกฤษ อ่านพอจับใจความได้ว่าเป็นหนังสือเกี่ยวกับการนำร่องของนักบิน วิธีการขับเครื่องบิน ผมก็เก็บนำมาให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ไปด้วยกัน ตำรวจบอกว่าเก็บไว้ที่น้องก็ได้ ไม่ใช่เป็นหลักฐานทางคดี หรือน้องจะเอาไปอ่านประกอบการทำข่าวก็ได้ ผมจึงนำมาเก็บไว้ที่รถทำข่าว และก็นำติดตัวกลับมากรุงเทพฯ มานั่งอ่านก็ไม่ค่อยเกี่ยวหรือมีเนื้อหาพอจะมาทำข่าวได้ จึงเก็บไปไว้ที่อพาร์ตเม้นท์แถวหน้ารามฯ ปรากฎกว่ารู้สึกไม่ค่อยสบายใจอยู่หลายวัน มีอะไรคอยติดตามมา หน้าผมจะดำมากช่วงนั้น ถามแฟนที่อยู่ด้วยกัน เขาก็บอกว่าไม่สบายใจ แต่สรุปฯแล้วต้องย้ายออกจากอพาร์ตเม้นหลังนั้น ผมย้ายไปพักอยู่แถวสุทธิสารพร้อมหนังสือเล่มนั้น แล้วก็ลืมๆ ไป นึกขึ้นได้ก็หาหนังสือเล่มนั้นไม่เจอแล้ว จะเอาไปคืนก็หาไม่เจอ สิ่งที่ผมกระทำไป รู้สึกผิด ที่หาหนังสือเล่มนั้นไม่เจอ และไม่ได้นำไปคืนที่เดิม จึงขอสารภาพบาปที่ได้กระทำไป บุญกุศลอันใดที่ข้าพเจ้ากระทำไว้ขออุทิศให้วิญาณทั้ง 223 ดวง และเจ้าของหนังสือเล่มนั้นด้วย สาธุ
อ้างอิงจาก:
เคยไปกับครอบครัวช่วงปีใหม่ 2011 ค่ะ บรรยากาศน่ากลัวมากกก วังเวงมาก ขนาดปีใหม่ ตอนขึ้นไปถึงมีแค่ครอบครัวเราห้าคนอะค่ะ ไม่มีคนอื่นเลย คือแบบกลัวมาก ด้วยความที่เป็นคนขี้กลัว ทำให้พ่อชอบแกล้ง พอขึ้นไปถึง เจอซากเครื่องบิน สิ่งของต่างๆ พอพ่อเห็นเรากลัว พ่อก็เอาเลยค่ะ เริ่มแกล้งๆ พูดนู่นนี่ คือ พ่อเราเป็นคนไม่ค่อยอะไรกับเรื่องลี้ลับพวกนี้อะค่ะ จิตแข็งมาก แต่เราพวกจิตอ่อนไหว เค้าเลยจะชอบแกล้งเรา แกล้งโดยการพูดแซวนะคะ ประมาณว่า นี่ไงมีเจ้าของมีนู่นนี้ คือแซวตลอด จนขึ้นรถ ขับออกมาซักพัก พ่อเราแสบหลังค่ะ แสบแบบปวดแสบปวดร้อน แสบจนเอาหลังพิงเบาะไม่ได้ตอนขับรถ ขนาดเอาผ้าชุบน้ำถูหลังก็ยังแสบ พ่อเราบอกว่า แสบแบบทรมาณมากๆ แบบปวดแสบปวดร้อนอะค่ะ ตอนนั้นจำได้ว่าพ่อเราต้องเปิดเสื้อข้างหลังขับรถ แล้วนั่งแบบไม่พิงเบาะ แม่ที่นั่งข้างหน้าก้ช่วยเอาผ้าชุบน้ำถูให้เรื่อยๆอะค่ะ ตอนแรก เรากับญาติก้ เดากันไป โดนบุ้ง โดนแมลงอะไรมาหรือเปล่า จนอยู่ๆ พ่อเราก็ร้อง เห้ย แล้วบอกกับแม่ว่า เธอ เครื่องบินตกอ่ะมันไฟไฟม้ใช่ไหม ฉันรู้สึกแบบนั้นละ เหมือนไฟไหม้ หรือโดนลวกที่หลัง พอพ่อเราพูดเสร็จ พ่อจอดรถค่ะ แล้วยกมือไหว้ เชิงขอขมา เราเห็นก็ทำ ทำกันหมดเลยค่ะ พอ ขับมาได้สักห้านาที หายค่ะ หายเลย อาการแสบร้อนไม่มีเลย พ่อเราขับรถได้แบบปกติ แม่ เรายังพูดว่าเนี่ย เธอเล่นไม่รู้เรื่องเลยนะ เรานี่ขนลุกไปหมดเลย ยังจได้จนถึงทุกวันนี้เลยค่ะ ของแบบนี้อย่าลบหลู่จริงๆ
ขอไว้อาลัยให้กับผู้เสียชีวิตด้วยค่ะ
อ้างอิงจาก:
เคยไปกางเต้นท์นอนแถวนั้นครับ เดินเข้าไปในป่าเห็นเค้าเอาชุดนักบิน ไม่แน่ใจว่าของจริงรึป่าว มาแขวนตามต้นไม้
น่าจะเป็นสัญลักษณ์ หรือความเชื่ออะไรสักอย่างของคนในพื้นที่ แต่เล่นเอาเพื่อนๆที่กลัวนอนกันไม่หลับเลย
เสียดายมือถือตอนนั้นยังถ่ายรูปไม่ได้ เป็นภาพที่ทั้งขลังและน่าสลดใจปนกัน
R.I.P. ผู้โดยสารและลูกเรือทุกท่านครับ
อ้างอิงจาก:
เหตุการณ์ในวันนั้น พี่ของป้าบีกำลังออกค่ายลูกเสือเนตรนารีที่ด่านช้าง
พี่เล่าว่าเห็นดวงไฟสว่างส่องมาที่พื้นดินเหมือนดวงจันทร์
ไม่นานนัก เครื่องบินหักเป็นสองท่อน ไฟแตกออกอย่างกะพลุไฟค่อย ๆ ร่วงสู่พื้นดิน
ขอไว้อาลัยอีกครั้งนะคะ
อ้างอิงจาก:
ตอนนั้นอยู่มัธยม จำได้แม่นว่า เรื่องการขโมยของผู้ตายเป็นประเด็นที่เน้นกันมากที่สุดในบรรดาข่าวต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับเครื่องบินตก (เช่น มากกว่าสาเหตุที่เครื่องตก มากกว่ารายชื่อผู้โดยสาร มากกว่าเส้นทางการบิน มากกว่าคำบอกเล่าของพยานที่เห็นเหตุการณ์ขณะเครื่องบินตก ฯลฯ) โดยเรื่องการฉกฉวยขโมยของผู้ตายนี่ ข่าวบอกว่าเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำการที่พิสูจน์ตัวตนไม่ได้หลายร่าง เนื่องจากของมีค่าที่ติดตัวผู้เสียชีวิตสูญหายไปเยอะ เช่น มีร่องรอยการตัดนิ้วที่พิสูจน์ได้ว่าเกิดขึ้นหลังจากตายแล้วแน่ ๆ ไม่ได้หลุดขาดไปเพราะสาเหตุอื่น คาดว่าเป็นการตัดนิ้วเพื่อเอาแหวน นอกจากนั้นก็เช่น นาฬิกาหายไป กระเป๋าสตางค์ หรือสร้อยคอหายไป ฯลฯ ทั้งนี้เชื่อว่าหากของติดตัวเหล่านั้นไม่สูญหายไป น่าจะมีโอกาสพิสูจน์ตัวตนของร่างผู้เสียชีวิตได้หลายร่างมากกว่านี้.........
อ้างอิงจาก:
เคยพาครอบครัวไปกางเต๊นท์ที่พุเตยเมื่อสักสิบปีมาแล้ว จำไม่ได้ว่าตรงจุดไหนแต่มันเป็นลานหญ้าใกล้ๆกับที่ทำการ ทั้งลานกางเต๊นท์มีแค่ครอบครัวผมกับครอบครัวน้องสาวแค่สองเต๊นท์ แถมบริเวณที่ทำการยังอุตส่าห์มีบอร์ดติดรูปตอนเหตุการณ์เครื่องบินตก รูปศพทั้งหลายแปะไว้ให้ดูอีกตะหาก คืนนั้นนอนกันด้วยความหลอนตลอดคืน เช้ามาน้องสาวบอกว่าเมื่อคืนได้ยินเสียงเหมือนคนเดินรอบๆเต๊นท์ตลอด ไปคุยกับเจ้าหน้าที่แกบอกว่าตอนเครื่องบินตกเขาลำเลียงศพจากบนเขามาพักไว้ที่ลานนี่แหละครับ เลยรีบเก็บของกลับเลย ดีนะที่พี่เจ้าหน้าที่เขาไม่มาคุยตั้งกะเย็นเมื่อวาน ไม่งั้นมีกลับกลางดึกแน่ๆ