ขอบคุณเจ้าของกระทู้ที่นำเรื่องมาแบ่งปันใร Pantip ครับ
ยาอี/ยาเลิฟ(Ecstasy) คืออะไร?
เป็นสารสังเคราะห์ ที่ออกฤทธิ์ทั้งกระตุ้นประสาท (amphetamine - like) และหลอนประสาท (LSD - like)
ยาอี/ยาเลิฟจึงถือว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องของยาไอซ์/ยาบ้า
ปัจจุบันยาอี/ยาเลิฟเป็นยาเสพติดที่กำลังแพร่หลายในกลุ่มวัยรุ่น
สาเหตุหลักน่าจะมาจากความเข้าใจผิดที่ว่าเป็นยาที่ให้โทษต่อร่างกายน้อยกว่ายาไอซ์/ยาบ้า
ยาอี (Ecstasy) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ คือ 3,4 methylenedioxy methamphetamine หรือ MDMA
ส่วนยาเลิฟ มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ คือ 3,4-Methylenedioxy amphetamine หรือ MDA
ซึ่งมีสูตรโครงสร้างคล้ายกับ เมทแอมเฟตามีน หรือ ยาบ้า (Methamphetamine/Amphetamine)
แต่มีฤทธิ์ที่รุนแรงกว่าประมาณ 10 เท่า
โดยออกฤทธิ์กระตุ้นประสาท และ ทำลายเซลล์สมองที่เกี่ยวข้องกับความคิดและความจำเช่นเดียวกัน
สารที่ออกฤทธิ์หลอนประสาท (Psychedelic drugs) แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม
คือ LSD-like , Amphetamine-like และ Mixed
โดย Ecstasy ถูกจัดเป็นแบบที่ 3 คือมีฤทธิ์ผสมกันระหว่าง LSD และ Amphetamine (พวกลูกผสม)
ยาอี หรือยาเลิฟ จะมาในรูปแบบเม็ดหรือแคปซูล
ลักษณะทั่วไปของยาอี คือจะมีเม็ดกลมแบน ด้านหนึ่งนูนหรือเรียบ หรือมีขีดแบ่งครึ่ง
อีกด้านหนึ่งพิมพ์รูปภาพ หรืออักษรต่างๆ เช่นรูปดอกไม้ ผีเสื้อ การ์ตูน หรือเป็นตัวอักษรเช่น Adam, Love เป็นต้น
แต่ก็มียาอีอีกประเภทที่เรียกกันว่า ""molly"" ซึ่งเป็นยาอีในรูปผลึกใสหรือเป็นผง
มีประโยชน์บ้างมั้ย?
ยาอี (MDMA)นั้นสามารถใช้ในการรักษาจิตบำบัดได้
MDMA ยังสามารถใช้สนับสนุนในการรักษาอาการหวาดกลัวและใช้รักษาผู้ป่วยระยะสุดท้ายด้วย
ในความเป็นจริงแล้ว นักจิตบำบัดหลายคนเช่น Leo Zeff, Claudio Naranjo, George Greer, Joseph Downing, and Philip Wolfson
ได้ใช้ MDMA ในขั้นตอนการบำบัดรักษา จนกระทั่งต้องหยุดใช้ไปเมื่อมันกลายเป็นสิ่งผิดกฎหมาย
George Greer สังเคราะห์ MDMA ขึ้นในแล็บ และได้ใช้มันในการรักษาคนไข้ของเขาในช่วงปี 1985 (พ.ศ.2528) ในชื่อการศึกษาว่า MDMA's Schedule I
และมีรายงานผลของการรักษาคนไข้ใน MDMA's Schedule I พบว่าสามารถช่วยให้อาการป่วยทางจิตดีขึ้นได้ ทำให้ผู้ป่วยสามารถติดต่อสื่อสารกับคนรอบข้างได้ดีขึ้น
และยังสามารถช่วยลดอาการปวดของผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย และทำให้เขามีคุณภาพชีวิตดีขึ้นในช่วงสุดท้ายของชีวิตตน
ต่อมาในการศึกษา Schedule II (phase-II) พบว่าผู้ป่วยที่มีอาการเครียด
ซึ่งเกิดขึ้นหลังเจอเหตุการณ์สะเทือนขวัญหรือวิกฤติการณ์ต่างๆในชีวิต ทำให้มีอาการหวาดกลัว/หวาดผวา
เมื่อได้รับการรักษาด้วย MDMA พบว่ามีอาการดีขึ้นและไม่มีอาการอาละวาดหรือทำร้ายร่างกายเกิดขึ้นขณะรักษา
รวมทั้งยังใช้ได้ผลกับการรักษาผู้ป่วยทางจิตในกรณีที่การรักษาด้วยวิธีอื่นไม่ได้ผล
นอกจากนั้น MDMA ในขนาดต่ำๆ ยังช่วยใช้เพิ่มประสิทธิภาพการทำสมาธิของพระในศาสนาพุทธบางรูปด้วย
NOTE*** : การใช้ยาอีหรือ MDMA ในการรักษาทางการแพทย์นั้นจะใช้สารสังเคราะห์ที่มีปริมาณสารออกฤทธิ์ที่คงที่และเหมาะสมตามการควบคุมของแพทย์
แต่การใช้ในทางที่ผิดหรือซื้อยาในตลาดมืดนั้นยาแต่ละเม็ดจะมีปริมาณสารออกฤทธิ์ไม่เท่ากันและออกฤทธิ์ไม่คงที่
เสพยังไง?
ส่วนใหญ่จะใช้วิธีการกิน และมักจะกินพร้อมเบียร์
เมื่อเสพแล้วเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายบ้าง?
เมื่อผู้ใช้ยาได้รับยาอี/ยาเลิฟ(MDMA/MDA) เข้าสู่ร่างกาย ยาจะเริ่มออกฤทธิ์หลังจากเสพเข้าไปภายในเวลา 30 - 45 นาที
ระบบประสาทส่วนกลาง(สมอง)จะถูกกระตุ้นอย่างรุนแรง (ฤทธิ์เหมือนเสพยาไอซ์/ยาบ้าแต่รุนแรงกว่ามาก)
ผู้เสพจะรู้สึกสนุกสนาน มีอารมณ์เป็นสุข (เรียกว่าภาวะ Euphoria เป็นอาการเช่นเดียวกับเสพยาไอซ์/ยาบ้า)
และมีอาการประสาทหลอน ในตอนแรกจะเกิดอาการร้อนวูบวาบหรือหนาวสะท้าน(แล้วแต่คน)
ต่อมาจะเห็นภาพที่ผิดปกติ (Visual Illussion) เช่น เห็นแสงสีวูบวาบแปลกตาผิดปกติไป
ได้ยินเสียงผิดธรรมชาติ (Audiotory Hallucination) ทำให้มักจะใช้เสพเวลาไปเที่ยวสถานบันเทิงที่เปิดดนตรีเสียงดัง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดนตรีแนว "House และ Electronic" ที่มันจะดังแบบ "ตื้ดๆ" ซึ่งปัจจุบันมีสถานบันเทิงที่"รู้กัน"ว่าเปิดให้ปาร์ตี้ยาอีตั้งกลางกรุงเทพฯหลายแห่ง
ทำให้ความคิดสับสน หวาดวิตก บางทีก็เกิดรักใคร่ผูกพันธ์กอดรัดฟัดเหวี่ยงกับผู้ร่วมเสพหรือร่วมปาร์ตี้แบบไม่มีเหตุผล (บางครั้งเลยเรียกว่ายาเลิฟ)
อาการทางกายที่ปรากฎคือ หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ อุณหภูมิของร่างกายสูงขึ้น หายใจเร็ว นอนไม่หลับ กล้ามเนื้อกระตุก มีอาการอยู่ไม่สุข