ผู้ตั้ง
ข้อความ
เข้าร่วม: 22 Oct 2012
ตอบ: 221
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Sun Nov 09, 2014 4:41 pm
ทฤษฎีวิทยาศาสตร์เบื้องต้นที่ควรรู้ก่อนไปดู Interstellar
อาทิตย์นี้คงปฏิเสธไม่ได้เลยว่า Interstellar หนังวิทยาศาสตร์-อวกาศเรื่องใหม่ของผู้กำกับคริสโตเฟอร์ โนแลนคงจะเป็นเป้าหมายหลักๆของนักดูหนังครับ ส่วนตัวผมได้มีโอกาสไปรับชมมาแล้วและเห็นว่าตัวหนังมีการนำทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์มาอ้างอิงในการดำเนินเรื่องราวค่อนข้างเยอะ รวมทั้งยังมีบางทฤษฎีที่เป็นประเด็นสำคัญในบางช่วงบางตอนที่อาจจะทำให้คนทั่วไปที่ไม่ค่อยได้ติดตามเรื่องของวิทยาศาตร์ไม่เข้าใจสิ่งที่หนังต้องการจะสื่อครับ ผมเลยรวบรวมทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์และดาราศาสตร์เบื้องต้นที่มีการพูดถึงในหนังเรื่องนี้มาให้คุณอ่านกันนิดหน่อยเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนที่จะเข้าไปรับชม Interstellar ในวันหยุดสุดสัปดาห์นี้ครับ




1. รูหนอน(Wormhole) หรือชื่ออื่นที่เรียกกันว่า สะพานไอน์สไตน์-โรเซน (Einstein-Rosen bridge) รูหนอนถูกกล่าวถึงหนังอวกาศหลายๆเรื่องมานานแล้วครับ แม้กระทั่งหนังเทพเจ้าสายฟ้า Thor ยังเอาหลักการของรูหนอนมาใช้(สะพานสายรุ้งไบฟรอสที่พระเอกใช้เดินทางไปแต่ละโลก นั่นแหละคือรูหนอน) หลักการของรูหนอนอธิบายให้เข้าใจง่ายๆคือเป็นเส้นทางลัด ตัดผ่านระหว่างสองสถานที่ในด้านของเวลาและระยะทาง คุณลองหยิบกระดาษมาสักใบหนึ่ง วาดวงกลมเล็กที่ส่วนบนสุดของกระดาษและวาดอีกวงที่จุดล่างสุดของกระดาษ จะเห็นได้ว่าการที่จะเดินทางจากวงกลมหนึ่งไปยังอีกวงกลมนั้นมีระยะทาง จะใกล้หรือไกลนั้นขึ้นอยู่กับกระดาษที่คุณใช้ ทีนี้รองพับกระดาษให้วงกลมทั้ง 2 มาทาบติดกันแล้วเอาปากกาเจาะไปที่วงกลมที่ติดกันอยู่นั้นให้ทะลุ ปากกาของคุณนั่นแหละครับคือรูหนอน เส้นทางที่ย่อระยะทางจากจุด 2 จุดให้สั้นลง ตัวหนังชูประเด็นนี้เป็นเรื่องสำคัญที่กลุ่มตัวละครจะใช้เป็นเส้นทางในการเดินทางออกจากระบบสุริยะเพื่อไปยังระบบของดาวดวงอื่นในระยะเวลาอันสั้น



2. หลุมดำ(Black Hole) เทหวัตุในเอกภพที่มีแรงดึงดูดสูงมาก ไม่มีสสารใดๆหรือแม้กระทั่งแสงสามารถออกมาจากที่นี่ได้ เมื่อแสงไม่สามารถส่งออกมาจากข้างในหลุมดำได้จึงทำให้มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นใจกลางของหลุมดำ พื้นที่โดยรอบหลุมดำจะเรียกว่า ขอบฟ้าเหตุการณ์ (Event horizon) เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นบริเวณนั้นไม่สามารถทำให้ข้างนอกเห็นได้ เมื่อวัตถุเคลื่อนที่ผ่านจุดนี้ไป จะทำให้เวลาเดินช้าลงและวัตถุจะไม่รู้สึกถึงความแตกต่าง ว่ากันว่าสิ่งที่จะสามารถหลุดพ้นออกมาจากหลุมดำได้นั้นต้องเร่งภาวะความเร็วของตัวเองให้มากกว่าแสงเพื่อที่จะหลุดพ้นจากหลุมดำได้ครับ




3. การยืดออกของเวลา(Time Dilation) เป็นปรากฏการณ์ที่นาฬิกาเดินไม่พร้อมกันภายใต้แรงโน้มถ่วงและความเร็วที่แตกต่างกัน อย่างที่เราเห็นกันได้ชัดๆเลยนักบินอวกาศที่เดินทางกลับมาจากอวกาศทำให้เขาแก่ตัวช้าลงกว่าปกติเล็กน้อยถ้าเทียบเวลาจริงของโลก ในภาพรวมแล้วทฤษฎีการยืดออกของเวลาสามารถแบ่งออกย่อยๆได้ 2 ประเภทคือการยืดออกของเวลาสัมพัทธ์และการยืดออกของเวลาแบบแรงโน้มถ่วง ตัวหนังจะเอาแบบแรงโน้มถ่วงมาใช้ในการนำเสนอครับ หลักการคือคนที่อยู่ที่ๆแรงโน้มถ่วงเบาบางเวลาของเขาจะเดินช้ากว่าคนที่อยู่บริเวณที่แรงโน้มถ่วงสูงกว่า



4. โลก 5 มิติ โลกที่เราอยู่กันนี้ต่างก็มีวัติถุรูปทรงปริมาตรที่เป็น 3 มิติ คือ สูง+กว้าง+ลึก และในทางวิทยาศาสตร์ได้มีการเพิ่มมิติที่ 4 เข้าไปคือ"เวลา"ที่วัตถุดำเนินไป เท่ากับว่าโลกของเราคือโลก 4 มิติ ในหนังจะมีการกล่าวถึงโลก 5 มิติด้วยครับ โลกที่ว่าคือสถานที่ๆซ้อนทับกันด้วยโลก 4 มิติแบบของเราและเพิ่มมิติที่ 5 เข้ามาคือการที่เราสามารถท่องไปในแต่ล่ะช่วงเวลาได้ หรือเอาง่ายๆก็คือการย้อนกลับไปดูเหตุการณ์ในอดีตแบบคู่ขนานนั่นเอง หนังใช้ทฤษฎีเส้นเชือก (String Theory)ในการสื่อสารจากโลก 5 มิติผ่านไปยังช่วงเวลาต่างๆของโลก 4 มิติด้วยวิธีการส่งผ่านแรงโน้มถ่วงอีกด้วยครับ


ขอบคุณ http://mobile.filmsoon.com/feature/detail/30/ สำหรับข้อมูลดีๆ ด้วยครับ
เข้าร่วม: 24 Jul 2009
ตอบ: 1828
ที่อยู่: ก็ที่นั่นไง
โพสเมื่อ: Sun Nov 09, 2014 4:50 pm
[RE: ทฤษฎีวิทยาศาสตร์เบื้องต้นที่ควรรู้ก่อนไปดู Interstellar]
ผมไปดูเรื่องนี้มาและจนถึงตอนนี้ก็เริ่มคิดว่าจริง ๆ แล้วเรากำเนิดมาจากอะไร เรากำเนิดมาจากธรรมชาติจริง ๆ หรือ ถ้าจริงทำไมเราเป็นเผ่าพันธุ์เดียวที่วิวัฒนาการได้เหนือกว่าสัตว์ทุกชนิด (เฉพาะที่ค้นพบแล้ว) บนโลกครับ หรือจริง ๆ มีคนสร้างเรามาและจับตาดูเรา ถ้าเราถูกสร้าง เราถูกสร้างมาเพื่ออะไรครับ

ลองคิดเล่น ๆ โลกมีอายุมานานมาก (เท่าไหร่ไม่รู้ ใครรู้ก็บอกด้วยครับ) แต่มนุษย์กำเนิดจริงไม่กี่หมื่นปีและมีวิวัฒนาการจริง ๆ แค่ 300 ปีหลัง โดย 50 ปีหลังสุดเป็นวิวัฒนาการแบบก้าวกระโดด เรามีเทคโนโลยีแบบที่คน 100 ปีที่แล้วไม่มีวันนึกถึงได้เลย และเราก็ผลาญทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างน่ากลัว 50 ปีหลังเราใช้ทรัพยากรที่สะสมเป็นล้าน ๆ ปีบนโลกอย่างหิวกระหายจนไม่รู้ว่าเราจะมีชีวิตแบบปกติได้อีกกี่ปีครับ

ผมว่าวันโลกแตกถ้ามันจะมีก็เพราะเราผลาญทรัพยากรเล่นกันจนเกลี้ยงนี่แหละครับ ถ้ามนุษย์ยังเป็นลิงอยู่ ทรัพยากรบนโลกนี้ก็จะน่าอยู่ได้อีกหลายล้านปีครับ


เข้าร่วม: 14 Aug 2012
ตอบ: 4955
ที่อยู่: โลกสวย
โพสเมื่อ: Sun Nov 09, 2014 4:54 pm
[RE: ทฤษฎีวิทยาศาสตร์เบื้องต้นที่ควรรู้ก่อนไปดู Interstellar]
มนุษเป็นสัตวทดลองของพวกต่างดาว ที่เอาเรามาปล่อยไว้ แล้วตีดตามดูวีวัฒนาการ
0
0
เข้าร่วม: 22 Oct 2012
ตอบ: 221
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Sun Nov 09, 2014 4:56 pm
[RE: ทฤษฎีวิทยาศาสตร์เบื้องต้นที่ควรรู้ก่อนไปดู Interstellar]
MyLiver พิมพ์ว่า:
ผมไปดูเรื่องนี้มาและจนถึงตอนนี้ก็เริ่มคิดว่าจริง ๆ แล้วเรากำเนิดมาจากอะไร เรากำเนิดมาจากธรรมชาติจริง ๆ หรือ ถ้าจริงทำไมเราเป็นเผ่าพันธุ์เดียวที่วิวัฒนาการได้เหนือกว่าสัตว์ทุกชนิด (เฉพาะที่ค้นพบแล้ว) บนโลกครับ หรือจริง ๆ มีคนสร้างเรามาและจับตาดูเรา ถ้าเราถูกสร้าง เราถูกสร้างมาเพื่ออะไรครับ

ลองคิดเล่น ๆ โลกมีอายุมานานมาก (เท่าไหร่ไม่รู้ ใครรู้ก็บอกด้วยครับ) แต่มนุษย์กำเนิดจริงไม่กี่หมื่นปีและมีวิวัฒนาการจริง ๆ แค่ 300 ปีหลัง โดย 50 ปีหลังสุดเป็นวิวัฒนาการแบบก้าวกระโดด เรามีเทคโนโลยีแบบที่คน 100 ปีที่แล้วไม่มีวันนึกถึงได้เลย และเราก็ผลาญทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างน่ากลัว 50 ปีหลังเราใช้ทรัพยากรที่สะสมเป็นล้าน ๆ ปีบนโลกอย่างหิวกระหายจนไม่รู้ว่าเราจะมีชีวิตแบบปกติได้อีกกี่ปีครับ

ผมว่าวันโลกแตกถ้ามันจะมีก็เพราะเราผลาญทรัพยากรเล่นกันจนเกลี้ยงนี่แหละครับ ถ้ามนุษย์ยังเป็นลิงอยู่ ทรัพยากรบนโลกนี้ก็จะน่าอยู่ได้อีกหลายล้านปีครับ

 


ผมว่านั่นแหละครับ จุดเด่นหนังของโนแลน จบ แล้วชอบให้คนดู มโน ต่างๆนาๆ
0
0
เข้าร่วม: 15 Jan 2011
ตอบ: 6335
ที่อยู่: -__________-
โพสเมื่อ: Sun Nov 09, 2014 6:31 pm
[RE: ทฤษฎีวิทยาศาสตร์เบื้องต้นที่ควรรู้ก่อนไปดู Interstellar]
ไม่ได้กวนนะ แค่อยากรู้ว่าทฤษฎีพวกนี้เค้าพิสูจน์กันยังไง หรือแค่ว่าเอาเหตุผลสนับสนุนมาถกกัน แล้วของคนไหนที่เถียงไม่ลงก็ได้เป็นทฤษฎีหลักแบบนี้ปะครับ

ผมว่าคนทำงานด้านนี้ต้องจินตนาการสูงมากๆเลยนะนั่น

0
0
เข้าร่วม: 19 May 2011
ตอบ: 1406
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Sun Nov 09, 2014 8:41 pm
[RE: ทฤษฎีวิทยาศาสตร์เบื้องต้นที่ควรรู้ก่อนไปดู Interstellar]
CallMeLight พิมพ์ว่า:
ไม่ได้กวนนะ แค่อยากรู้ว่าทฤษฎีพวกนี้เค้าพิสูจน์กันยังไง หรือแค่ว่าเอาเหตุผลสนับสนุนมาถกกัน แล้วของคนไหนที่เถียงไม่ลงก็ได้เป็นทฤษฎีหลักแบบนี้ปะครับ

ผมว่าคนทำงานด้านนี้ต้องจินตนาการสูงมากๆเลยนะนั่น

 


ก็คง ต้องมีหลักฐานมาหักล้าง เรื่อยๆ คนที่ไม่มีใครหักล้างได้ ก็จะถูก(ณ ปัจจุบัน)
0
0