ผู้ตั้ง
ข้อความ
เข้าร่วม: 14 Oct 2009
ตอบ: 1257
ที่อยู่: ทุ่งหญ้าสเต็บ ปลายฝนต้นหนาว เข้าสู่ฤดูเหงา~
โพสเมื่อ: Wed Sep 24, 2014 2:13 am
5อันดับสมรภูมิเดือดในการรบในอิรักของอเมริกา


1. สมรภูมิเมือง "นาสิริยา" (Battle of Nasiriyah)

หรือบางครั้งออกเสียงว่า "นาสาริยา" (Nasariyah) นับเป็นการรบครั้งแรกๆ ที่มีความรุนแรงและมีความสูญเสียมากที่สุดครั้งหนึ่งของทหารสหรัฐฯ ในยุทธการ "ปลดปล่อยอิรัก" หรือ Operation Iraqi Freedom การรบที่เมืองนาสิริยา ซึ่งเป็นที่ตั้งของกองบัญชาการระดับภูมิภาคของกองทัพอิรักของอดีต ประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซนและเป็นจุดยุทธสาสตร์เพราะเป็นเส้นทางผ่านไปสู่กรุงแบกแดด เมืองหลวงของอิรัก

การรบเปิดฉากขึ้นเมื่อวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 2003 เมื่อขบวนคอนวอยของสหรัฐฯ จำนวน 18 คันพร้อมกำลังพลจำนวน 31 คนจากกองร้อยซ่อมบำรุงที่ 507 (507th Maintenance Company) ที่เลี้ยวผิดเส้นทางบนถนนไฮเวย์สายที่ 7 ทำให้จำต้องแล่นผ่านกลางใจเมือง ได้ถูกซุ่มโจมตีอย่างรุนแรงจากอาวุธนานาชนิด และทำให้ทหารสหรัฐฯ เสียชีวิต 11 คน ถูกจับเป็นเชลยจำนวน 6 คน ซึ่งรวมถึงพลทหารหญิงเจสสิกา ลินช์ (Private Jessica Lynch) ซึ่งต่อมาได้รับการช่วยเหลือและได้รับการยกย่องให้กลายเป็นสัญญลักษณ์แห่ง การต่อสู้ของทหารหญิงสหรัฐฯ ในอิรัก การซุ่มโจมตีที่รุนแรงทำให้ยานพาหนะในขบวนคอนวอยถูกทำลายทั้งหมดถึง 15 คัน




การรบเพื่อช่วยเหลือเชลยและเพื่อยึดเมืองนาสิริยาเริ่มต้นอีกครั้งในวัน เดียวกัน เมื่อกองพลน้อยนาวิกโยธินโพ้นทะเลที่ 2 (2nd Marine Expeditionary Brigade) เคลื่อนที่เข้าตีทหารอิรักภายในตัวเมืองจากทางตอนเหนือ ก่อนที่จะพบการต่อต้านด้วยกับระเบิดแสวงเครื่องที่วางดักไว้ริมถนนและบริเวณ ริมคลอง "ซัดดัม" (Saddam Canal) นอกจากนี้ยังมีรถถังแบบ ที 69 ของกรมยานเกราะที่ 6 (6th Armored Division) ของอิรักรวมอยู่ด้วย

การ สู้รบเป็นไปอย่างดุเดือด ทำให้นาวิกโยธินสหรัฐฯ เสียชีวิตเพิ่มอีก 18 คน อย่างไรก็ตามในคืนวันที่ 24 – 25 มีนาคม ทหารนาวิกโยธินสหรัฐฯ ก็สามารถรุกเข้าบริเวณตัวเมืองได้ท่ามกลางการต้านทานอย่างเหนียวแน่นจากทหาร อิรัก การสู้รบที่เมืองนาสิริยาดำเนินต่อไปจนถึงวันที่ 27มีนาคม ก่อนที่กองกำลังทหารอิรักจะถูกกวาดล้างลงอย่างสิ้นเชิง โดยทิ้งซากศพไว้เป็นจำนวน 431 ศพ ถูกจับเป็นเชลยกว่า 300 คน และบาดเจ็บอีีกกว่า 1,000 คน



2. สมรภูมิเมือง "ฟัลลูจาห์" (Battle of Fallujah)

ฟัลลูจาห์ตั้งอยู่ทางตะวันตกของกรุงแบกแดดประมาณ 40 ไมล์ เป็นการรบที่นองเลือดที่สุดอีกครั้งหนึ่งในอิรัก การปะทะกันที่เมืองฟัลลูจาห์เปิดฉากขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 19.00 น.ของวันที่ 7 พฤศจิกายน ค.ศ. 2004 โดยกำลังของสหรัฐฯ ประกอบด้วยทหารนาวิกโยธินจากหน่วยเฉพาะกิจที่ 1 ของสหรัฐฯ ซึ่งจัดกำลังพลจากกองพันที่ 3 สังกัดหน่วยนาวิกโยธินที่ 1, กองพันที่ 3 หน่วยนาวิกโยธินที่ 5 และกำลังพลกองทัพบกจากกองพันที่ 5 สังกัดกรมทหารม้าที่ 7

สนธิกำลังกับหน่วยเฉพาะที่ 7 ซึ่งจัดกำลังพลจากกองพันที่ 1 หน่วยนาวิกโยธินที่ 8, กองพันที่ 1 หน่วยนาวิกโยธินที่ 3 และกำลังทหารบกจากกองพันที่ 2 กรมทหารราบที่ 2 จำนวนกว่า 15,000 คนสนับสนุนด้วยอากาศยานและยานเกราะ เคลื่อนที่เข้าตีฐานที่มั่นของกลุ่มต่อต้านที่มีกำลังพลประมาณ 4,000 – 5,000 คนท นำโดยอับดุลลาห์ อัล จานาบี (Abdullah Al-Janabi)


นาวิกโยธินสหรัฐฯ ขณะเคลื่อนที่เข้าการรบในเมืองฟัลลูจาห์

การรบที่เมืองฟัลลูจาห์เต็มไปด้วยความยากลำบาก เนื่องจากกลุ่มต่อต้านอาศัยอาคารต่างๆ เป็นที่มั่นตามหลักการรบในเมือง ซึ่งทำให้ฝ่ายป้องกันมีความได้เปรียบอย่างมาก ทหารสหรัฐฯ ต้องกวาดล้างข้าศึกจากห้องหนึ่งไปสู่อีกห้องหนึ่ง จากอาคารหนึ่งไปสู่อีกอาคารหนึ่งและจากถนนสายหนึ่งไปยังถนนอีกสายหนึ่ง นอกจากนี้กลุ่มต่อต้านยังใช้อุโมงค์ที่มีอยู่รอบตัวเมืองเป็นเส้นทางในการ ส่งกำลังบำรุง การเข้าตีแบบโฉบฉวยและการล่าถอย หลายครั้งที่การสู้รบเป็นไปแบบประชิดตัว

จนในที่สุดสหรัฐฯ ก็ตัดสินใจใช้รถถังเอ็ม 1 ยิงทำลายอาคารที่สงสัยว่าเป็นที่มั่นของข้าศึกทีละอาคารจนหมดสิ้น และแม้ว่ากลุ่มต่อต้านจะพยายามต้านทานอย่างเหนียวแน่นเพียงใด ในวันที่ 16 พฤศจิกายน เมืองฟัลลูจาห์ก็ตกเป็นของสหรัฐฯ อย่างสมบูรณ์

จากการรบครั้งนี้มีทหารสหรัฐฯ เสียชีวิต 51 คน บาดเจ็บสาหัส 425 คน ฝ่ายต่อต้านของอิรักเสียชีวิตประมาณ 1,300 คน ผลจากความพ่ายแพ้ในครั้งนี้ทำให้ฝ่ายต่อต้านเลิกใช้ยุทธวิธีปะทะกับทหารสหรัฐฯ หันไปใช้การโจมตีในลักษณะสงครามกองโจรแทน ส่งผลให้ฟัลลูจาห์กลายเป็นเมืองที่ฝ่ายต่อต้านมีการปฏิบัติการก่อการร้ายมากที่สุดเมืองหนึ่งตลอดการยึดครองของสหรัฐฯ



3. สมรภูมิเมืองโมซูล (Battle of Mosul)

เป็นสมรภูมิที่มียืดเยื้ออีกแห่งหนึ่งในอิรัก เมืองโมซูลเป็นเมืองใหญ่ที่สุดอันดับสามของอิรักซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือ ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวเคิร์ดที่ต่อต้านอดีตประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซน แต่ก็มีการเคลื่อนไหวของกลุ่มต่อต้านอยู่ตลอดเวลา พื้นที่นี้เป็นพื้นที่รับผิดชอบของกองพลน้อยที่ 1 สังกัดกองพลทหารราบที่ 25 โดยมีหน่วยที่สำคัญหน่วยหนึ่งคือ กองพันที่ 1 สังกัดกรมทหารราบที่ 24 หรือ "1-24" สมญานาม "ดุยช์ โฟว์" (Deuce Four) ปฏิบัติการในพื้นที่ด้านตะวันตกของเมืองซึ่งเป็นที่ตั้งของกองกำลังฝ่ายต่อ ต้าน

ก่อนการรบใหญ่จะเปิดฉากขึ้น ฐานของทหารสหรัฐฯ ถูกถล่มด้วยเครื่องยิงลูกระเบิดหรือ "ปืนครก" นับร้อยนัดก่อนที่สหรัฐฯ จะจับวิถีการยิงได้และตอบโต้อย่างแม่นยำจนข้าศึกล่าถอยไป และเปิดฉากแก้แค้นด้วยการฆ่าตัดคอประชาชนกว่า 250 คน

การรบในเมืองโมซูลเปิดฉากขึ้นอย่างจริงจังในวันที่ 10 พฤศจิกายน ค.ศ. 2004 เมื่อกลุ่มต่อต้านอีกส่วนหนึ่งที่หลบหนีมาจากการปะทะกับทหารสหรัฐฯ ที่เมืองฟัลลูจาห์ รวมตัวกับกลุ่มต่อต้านเดิมออกทำการโจมตีกองกำลังทหารและตำรวจของอิรักที่สหรัฐฯ จัดตั้งขึ้น และสามารถยึดได้ทั้งสถานีตำรวจและค่ายทหารอิรัก


กลุ่มต่อต้านยึดเสื้อเกราะของเจ้าหน้าที่ทหารตำรวจอิรักภายหลังโจมตีจุดตรวจต่างๆ ในเมืองโมซูล

หน่วย "ดุยช์ โฟว์" พร้อมกับหน่วยข้างเคียงจึงเข้าดำเนินการตอบโต้และการกวาดล้างข้าศึกออกจาก พื้นที่ยึดครอง ก่อนที่จะตกอยู่ในพื้นที่สังหารจากการซุ่มโจมตีของฝ่ายต่อต้าน ทั้งจากอาวุธปืนเล็ก เครื่องยิงจรวดอาร์พีจีและกับระเบิดแสวงเครื่อง โดยพื้นที่ซุ่มโจมตีดังกล่าวมีระยะทางยาวกว่า 1 ไมล์ ทำให้ยานเกราะสไตรเกอร์ (Stryker) หลายคันได้รับความเสียหายอย่างหนัก

แต่ เมื่อสามารถผ่านพ้นจุดซุ่มโจมตีมาได้ พันโท อีริค คูริลล่า (Eric Kurilla) ผู้บังคับหน่วย "ดุยช์ โฟว์" กลับรวมกำลังทั้งหมดหวนกลับเข้าไปในพื้นที่สังหารอีกครั้ง และทำการโจมตีแนวซุ่มยิงของกลุ่มต่อต้านอย่างรุนแรง จนสามารถแปรเปลี่ยนความเสียเปรียบในพื้นที่สังหารให้กลายเป็นความได้เปรียบ ได้ในที่สุด การรบครั้งนี้ทหารสหรัฐฯ สามารถขับไล่กลุ่มต่อต้านออกจากพื้นที่ซุ่มโจมตี และสามารถกวาดล้างกลุ่มต่อต้านที่ยึดสถานีตำรวจและค่ายทหารอิรักออกไปได้ใน ที่สุด

อย่างไรก็ตามแม้หน่วย "ดุยช์ โฟว์" จะประสบความสำเร็จในการรบครั้งนี้ แต่กลุ่มต่อต้านก็เปลี่ยนยุทธวิธีการรบจากการบแบบเผชิญหน้ามาเป็นการลอบโจมตีด้วย "ระเบิดแสวงเครื่อง" และ "เครื่องยิงลูกระเบิด" ที่สร้างความสูญเสียให้กับทหารสหรัฐฯ เป็นจำนวนมาก การรบในเมืองโมซูลยังคงเกิดขึ้นอีกหลายครั้ง โดยเฉพาะในวันที่ 9 - 10 กันยายน ค.ศ. 2005ที่ทหารสหรัฐฯ เข้าตรวจค้นพื้นที่เมือง "เทล อะฟาร์" ทางตะวันตกของเมืองโมซูล ซึ่งต้องสงสัยว่าเป็นจุดที่กลุ่มต่อต้านใช้เป็นฐานยิงจรวดโจมตีที่มั่นของ สหรัฐฯ และเกิดการปะทะขึ้นอย่างหนัก ส่งผลให้กลุ่มต่อต้านเสียชีวิต 48 คน



4. สมรภูมิเมืองนาจาฟ (Battle of Najaf)

นาจาฟเป็นสมรภูมิแห่งความทรงจำอีกแห่งหนึ่งเพราะมีการรบที่นองเลือดที่สุดอย่าง น้อยถึง 3 ครั้ง คือในช่วงต้นของการยึดครองอิรักของสหรัฐฯ เมื่อปี ค.ศ. 2003 ซึ่งกองพลทหารราบที่ 3 และกองพลส่งทางอากาศ (พลร่ม) ที่ 101 สนธิกำลังกันเข้าโจมตีเมืองแห่งนี้ ซึ่งตั้งอยู่บนทางหลวงที่มุ่งหน้าสู่นครแบกแดด โดยต้องต่อสู้กับกลุ่มต่อต้านที่ประกอบด้วยกองกำลังติดอาวุธ "เฟดดายีน ซัดดัม" (Fedayeen Saddam) และหน่วย "รีพับลิกัน การ์ด" (Republican Guard) อันลือชื่อ จนทำให้รถถังแบบเอ็ม 1 อับบรามส์ จำนวน 2 คันถูกทำลายลง ภายหลังการรบสิ้นสุดลงฝ่ายอิรักเสียชีวิตถึงกว่า 800 คน บาดเจ็บอีกเป็นจำนวนมาก

ต่อมาเกิดการปะทะกันอย่างรุนแรงขึ้นอีกในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2004 ระหว่างหน่วยนาวิกโยธินโพ้นทะเลที่ 11 ของสหรัฐฯ กับกองกำลังมาฮดี (Mahdi Army) ของฝ่ายต่อต้าน การรบเปิดฉากขึ้นเมื่อพวกมาฮดีบุกเข้าโจมตีสถานีตำรวจหลายแห่งในเมืองพร้อม กัน หน่วยเคลื่อนที่เร็ว (Quick Reaction Force - QRM) ของนาวิกโยธินได้เข้าทำการช่วยเหลือแต่ก็ต้องถูกซุ่มโจมตี จนเฮลิคอปเตอร์แบบ ยูเอช 1 เอ็น (UH 1 N) จำนวน 1 ลำถูกยิงตก

เมื่อ สถานการณ์เข้าสู่ภาวะคับขัน สหรัฐฯ จึงจัดกำลังสนับสนุนอีก 3 กองพันจากกองพันที่ 1 และกองพันที่ 2 สังกัดกรมทหารม้าที่ 7 และกองพันที่ 1 สังกัดกรมอากาศยานที่ 227 ทำให้กำลังทหารของสหรัฐฯ ในการรบครั้งนี้มีจำนวนทั้งสิ้นถึงกว่า 2,000 คน ในขณะที่พวกมาฮดีคาดว่ามีกำลังไม่ต่ำกว่า 3,000 – 7,000 คน การรบสิ้นสุดลงในวันที่ 27 สิงหาคมด้วยการเจรจาสงบศึก เพราะกลุ่มมาฮดีถูกโจมตีทางอากาศด้วยเครื่องบินเอฟ 16 ที่ทิ้งระเบิด "เจแดมส์" (JDAMs – Joint Direct Attack Munition) ลงกลางกองบัญชาการของพวกเขาอย่างแม่นยำ จนทำให้ฝ่ายต่อต้านไม่สามารถต่อสู้ได้อย่างมีเอกภาพเนื่องจากสายการบังคับบัญชาถูกทำลายลง

การรบในเมืองนาจาฟครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นในเดือนมกราคม ค.ศ. 2007 เมื่อทหารสหรัฐฯ อังกฤษและกองกำลังทหารและตำรวจของอิรักที่สหรัฐฯ จัดตั้งขึ้น เข้าปฏิบัติการกวาดล้างกลุ่มต่อต้านที่ใช้ชื่อว่า "นักรบจากสวรรค์" (Soldiers of Heaven) ภายหลังจากที่กลุ่มต่อต้านเปิดฉากโจมตีจุดตรวจของเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจ อิรักทั่วทั้งเมืองนาจาฟ จนกองกำลังอิรักต้องส่งกำลังเข้าสนับสนุนตามจุดต่างๆ แต่ก็ไม่สามารถต้านทานพวก "นักรบจากสวรรค์" ได้ มิหนำซ้ำสถานการณ์ยังดูเหมือนเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจอิรักกำลังจะถูกทำลาย ลงอย่างสิ้นเชิงอีกด้วย ทำให้สหรัฐฯ และอังกฤษตัดสินใจส่งกำลังทางอากาศเข้าสนับสนุน

แต่แล้วเฮลิคอปเตอร์โจมตีแบบ เอเอช 64 อาปาเช่ (AH 64 Apache) ของสหรัฐฯ ที่บินสนับสนุนภาคพื้นดินก็ถูกยิงตกจนนักบินทั้งสองคนเสียชีวิต และขณะที่ฝ่ายต่อต้านพยายามยึดครองพื้นที่ที่เครื่องดังกล่าวถูกยิงตก สหรัฐฯ ก็ส่งทหารจากกองพันที่ 2 สังกัดกรมทหารราบที่ 3 และชุดยานเกราะสไตรเกอร์เฉพาะกิจที่ 3 สังกัดกรมทหารราบที่ 2 เข้าโจมตีฝ่ายต่อต้านโดยมีเครื่องบินเอฟ 16 และเฮลิคอปเตอร์นานาชนิดคอยให้การสนับสนุนทางอากาศ

การสู้รบเป็นไปอย่างรุนแรง จนกระทั่งฝ่ายต่อต้านค่อยๆ ถูกกวาดล้างออกไปจากตัวเมืองนาจาฟ ภายหลังการสู้รบผลปรากฏว่ากลุ่มต่อต้าน "นักรบจากสวรรค์" ซึ่งมีจำนวนประมาณ 1,000 คน เสียชีวิตถึง 263 คน ถูกจับเป็นเชลยอีก 407 คน ความสูญเสียครั้งนี้ทำให้กลุ่ม "นักรบจากสวรรค์" ต้องหันมาใช้ยุทธวิธีลักลอบโจมตีแบบกองโจรแทน ในขณะที่กองกำลังเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจของอิรักเสียชีวิต 25 คน นักบินสหรัฐฯ เสียชีวิต 2 คน



5. สมรภูมิเมืองบาสรา (Battle of Basra)

แม้การรบที่เมืองบาสราจะมีอยู่อย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2003 แต่การรบเมื่อวันที่ 25 มีนาคม ค.ศ. 2008 ถือว่าเป็นการรบครั้งสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในอิรัก เดิมเมืองบาสราเป็นพื้นที่รับผิดชอบของกองกำลังอังกฤษที่ถึงแม้จะพยายามใน การควบคุมสถานการณ์ในเมืองให้อยู่ในระดับที่น่าพอใจ แต่เมืองบาสราก็เต็มไปด้วยเงื่อนไขนานัปการที่ทำให้ความไม่สงบเพิ่มสูงขึ้น เรื่อยๆ มีการจับตัวประกันเพื่อเรียกค่าไถ่ การลักลอบขนฝิ่นและยาเสพติดข้ามมาจากอัฟกานิสถาน การลอบสังหารผู้คนและการซุ่มโจมตีหน่วยทหารอังกฤษและกองกำลังรัฐบาลอิรัก อยู่เนืองๆ

จนกระทั่งเมื่อกองกำลังอังกฤษได้ถอนตัวออกจากตัวเมืองไป ตั้งมั่นอยู่บริเวณสนามบินของเมืองบาสรา และถ่ายโอนอำนาจการดูแลรักษาความปลอดภัยให้กับกองกำลังอิรัก กลุ่มต่อต้านต่างๆ ก็เผยตัวออกมามากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มติดอาวุธ "มาฮดี" (Mahdi) แต่เพราะเมืองบาสราเป็นแหล่งเศรษฐกิจที่สำคัญที่รัฐบาลของอิรักชุดปัจจุบัน ไม่สามารถปล่อยให้เมืองบาสราตกอยู่ในมือของกลุ่มต่อต้านได้ รัฐบาลอิรักจึงตัดสินใจเปิดยุทธการของตนเองขึ้นเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่การ ยึดครองของสหรัฐฯ เพื่อกวาดล้างกลุ่มติดอาวุธต่างๆ ในเมืองเศรษฐกิจแห่งนี้

ยุทธการกวาดล้างกลุ่มต่อต้านในเมืองบาสราครั้งนี้มีชื่อว่ายุทธการ "การโจมตีของอัศวิน" (Operation Knight's charge) นำโดยพลโท อาลี ไกดาน มาจิด (Ali Ghaidan Majid) ผู้บัญชาการกองทัพอิรัก ใช้กำลังพลทั้งทหารและตำรวจจำนวนทั้งสิ้นกว่า 30,000 คน ในขณะที่กลุ่มต่อต้านมาฮดีมีจำนวนประมาณ 15,000 คน



เจ้าหน้าที่ตำรวจอิรักขณะเข้าควบคุมพื้นที่ในเมืองบาสรา

การรบเปิดฉากในรุ่งอรุณของวันที่ 25 มีนาคม เมื่อทหารและตำรวจอิรักบุกเข้าโจมตีที่มั่นของพวกมาฮดีในพื้นที่อัล ทามิย่า (Al Tamiya) ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองบาสราประมาณ 5 ไมล์ และได้รับการต้านทานด้วยอาวุธนานาชนิดอย่างหนัก รวมทั้งเครื่องยิงจรวดต่อสู้รถถังอาร์พีจีและเครื่องยิงลูกระเบิด แต่ยิ่งการรบยืดเยื้อออกไป พวกมาฮดีก็ทำได้แค่เพียงตั้งรับและอาศัยจังหวะในการตีโฉบฉวย (hit and run) ก่อนทิ้งที่มั่นและร่นถอยไปเรื่อยๆ

จนกระทั่งการรบดำเนินไปได้สามวัน ฝ่ายรัฐบาลก็ยื่นคำขาดให้กลุ่มต่อต้านในเมืองยอมจำนนและวางอาวุธภายใน 72 ชั่วโมง ขณะเดียวกันทหารและตำรวจอิรักบางส่วนได้แปรพักตร์เข้าร่วมกับกลุ่มต่อต้าน รัฐบาล พวกเขาบุกเข้าไปในร้านค้า ขโมยสิ่งของที่มีค่าและจุดไฟเผาอาคารบ้านเรือน นอกจากนี้ทหารแปรพักตร์เหล่านั้นยังนำรถฮัมวี่ของตนจำนวน 7 คันไปมอบให้กลุ่มต่อต้านอีกด้วย

ในวันที่ 28-29 มีนาคม อังกฤษและสหรัฐฯ ส่งฝูงบินเข้าสนับสนุนรัฐบาลอิรักในการโจมตีที่มั่นของพวกมาฮดี และในวันที่ 31 มีนาคม การสู้รบก็ยุติลงเนื่องจากพวกมาฮดีขอเจรจากับฝ่ายรัฐบาล เพราะอยู่ในภาวะขาดแคลนกระสุนในขณะที่ทหารและตำรวจของฝ่ายรัฐบาลก็อยู่ใน สภาวะขวัญกระเจิงจากการต่อต้านที่เหนียวแน่นและการรุกกลับที่รุนแรงของพวกมาฮดี



ภายหลังจากการรบที่เมืองบาสราสิ้นสุดลง มีทหารและตำรวจอิรักกว่า 1,300 คนถูกปลดเพราะทรยศหรือแปรพักตร์และไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง รวมทั้งยังมีการคาดการณ์ว่ามีทหารและตำรวจอิรักหนีทัพในการรบครั้งนี้ถึง 4,000 คนเลยทีเดียว ทำให้มีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากถึงประสิทธิภาพของกองทัพอิรัก และหากการรบครั้งนี้ปราศจากการสนับสนุนจากสหรัฐฯ และอังกฤษ โฉมหน้าของการรบน่าจะเปลี่ยนไปจากที่เป็นอยู่อย่างมาก


จากที่กล่าวมาข้างต้น เป็นเรื่องราวอย่างย่อๆ ของสมรภูมิต่างๆ ที่มีการรบอันดุเดือดและนองเลือดที่สุดตลอดห้วงระยะเวลาแห่งการยึดครองอิรัก ของกองทัพสหรัฐฯ จนทำให้กลายเป็นสมรภูมิแห่งความทรงจำในอิรักไปในที่สุด อย่างไรก็ตามยังมีสมรภูมิที่น่าสนใจและเต็มไปด้วยความกล้าหาญของนักรบทั้งสองฝ่ายอีกมากมายหลายสมรภูมิ



เครดิต http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=vuw&month=26-11-2009&group=4&gblog=2
เข้าร่วม: 05 Mar 2010
ตอบ: 721
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Wed Sep 24, 2014 2:39 am
[RE: 5อันดับสมรภูมิเดือดในการรบในอิรักของอเมริกา]
ยุทธการ "ปลดปล่อยอิรัก" ตั้งชื่อสะดีเลยนะ

ไปปลดปล่อยอะไรเค้าหรอ ไปรบนี่ก็รบกับคนอิรักทั้งนั้น

คนที่ตายก็อิรักซะส่วนใหญ่ นี่ไปปลดปล่อยเค้าตรงไหนเนี่ย

หาเรื่องไปบุกเค้า ผลสุดท้ายก็หาหลักฐานเรื่องอาวุธอะไรไม่เจอ

ยังมีบทความมาอวยอีก ตลกจัง

ปล.ไม่ได้ว่า จขท. นะครับ ขอบคุณสำหรับที่เอามาลงให้อ่าน
ผมเกลียดเมกาเฉยๆ
เข้าร่วม: 12 Aug 2014
ตอบ: 5287
ที่อยู่: มลฑณซานตง
โพสเมื่อ: Wed Sep 24, 2014 2:41 am
[RE: 5อันดับสมรภูมิเดือดในการรบในอิรักของอเมริกา]
สหรัฐ มีหน้าที่ดูแล สวน เอเดนส์ ของพระเจ้า
0
0




เข้าร่วม: 15 Nov 2008
ตอบ: 658
ที่อยู่: แอชเบอร์ตันโกรฟ, ลอนดอน
โพสเมื่อ: Wed Sep 24, 2014 2:42 am
[RE: 5อันดับสมรภูมิเดือดในการรบในอิรักของอเมริกา]
Seal Team 6

0
0
Stand Up For The Arsenal ! _1886*



เข้าร่วม: 09 Oct 2013
ตอบ: 581
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Wed Sep 24, 2014 3:56 am
[RE: 5อันดับสมรภูมิเดือดในการรบในอิรักของอเมริกา]
ตอนนี้อิรัคหนักกว่าตอนซัดดัมอยู่อีก
0
0
Victoria Concordia Crescit


เข้าร่วม: 05 May 2014
ตอบ: 669
ที่อยู่: ห้วงความรักในสูญญากาศ
โพสเมื่อ: Wed Sep 24, 2014 5:06 am
[RE: 5อันดับสมรภูมิเดือดในการรบในอิรักของอเมริกา]
ท่านทำ 5 อันดับมู้เดือดแห่ง ss ทีสิ อยากอ่าน
0
0


ยิ้มตอนลำบาก เมื่อผ่านพ้นมาแล้วเราจะรู้ว่ายิ้มนั้นสวยงามเพียงใด
เข้าร่วม: 14 Aug 2012
ตอบ: 912
ที่อยู่: Bangkok
โพสเมื่อ: Wed Sep 24, 2014 5:07 am
[RE: 5อันดับสมรภูมิเดือดในการรบในอิรักของอเมริกา]
แต่ละรูป แม่งโคตรเหมือนกับเกมส์


ไม่ดิ


จริงๆต้องบอกว่า เกมส์แม่งทำโคตรเหมือนของจริง
0
0
Teerasil Dangda 18
เข้าร่วม: 01 Jun 2009
ตอบ: 52
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Wed Sep 24, 2014 9:30 am
[RE: 5อันดับสมรภูมิเดือดในการรบในอิรักของอเมริกา]
สงครามมีแต่ผลเสีย
0
0