The Mist ข้อคิดหลังจากได้ดู
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ว่างๆวันนึง ที่ผมไม่มีอะไรทำจึงไปหยิบหนังเก่าขึ้นหิ้งของผมมาดู
ซ้ำ ซึ่งหนังเรื่องนี้ก็คือ The mistนั่นเอง เป็นหนังที่ คนหลายคนไปดูในโรงรวมดูแผ่น
แล้วบอกว่าน่าเบื่อยิ่งนัก เพราะการเดินเรื่องที่ไม่ค่อยหวือหวา และมีสัตว์ประหลาดออกมา
น้อยเหลือเกิน แต่ถ้าดูแล้วเข้าใจ ถึงตัวเนื้อของหนังว่าผู้สร้าง ต้องการจะสื่ออะไรแล้ว
หนังเรื่องนี้จะเป็นหนังอีกเรื่องหนึ่งที่คุณ มิอาจลืม ได้
ตัวหนัง ดำเนินเรื่องด้วยชายคนหนึ่งที่ชื่อ เดวิด ซึ่งได้อาศัยอยู่ที่หมู่บ้านเล็กๆแห่ง
หนึ่ง ซึ่งวันนึงได้มีเหตุการณ์ที่เหนือความคาดหมาย หมอกสีขาวได้แผ่ปกคลุม เมืองทั้ง
เมืองซึ่งทำให้เขาได้ติดอยู่ที่ มินิมาร์ท ใจกลางเมืองร่วมกับผู้คนอีกมากมาย ซึ่งดูเหมือน
จะเป็นที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับพวกเขา จึงทำให้เขาจำเป็นต้องตั้งหลักอยู่ในมินิมาร์ทแห่งนั้น
โดยมีกำแพงและกระจกของมินิมาร์ทเป็นโล่กำบัง เขาและคนอื่นๆต้องพบกับสัตว์
ประหลาด ที่คอยมาเยี่ยมเยียน เข่นฆ่าผู้คนที่หลบอยู่ในนั้น ตัวหนังดำเนินเรื่องให้กลุ่มของ
พระเอกต้องต่อสู้กับความสิ้นหวังและ ความสิ้นหวังนี้ที่ว่านี้ก็เพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นที่มา
ของฉากจบอันเลื่องลือ เพราะมันช่างเป็นอะไรที่หดหู่และจิตตกเหลือเกิน
ตัวหนังดูผิวเผินแล้ว ออกเป็นแนว sci-fi horror เรื่องนึง ซึ่งถ้า
ดูโดยไม่คิดอะไรแล้ว มันช่างห่างตัวเราเหลือเกิน ใครจะคิดหล่ะครับว่าวันนึงจะมีหมอก
มาปกคลุมหมู่บ้านของคุณ ละมีสัตว์ประหลาดเดินยั้วเยี้ยเต็มไปหมด แต่ถ้าดู แล้วคิดตาม
หนังเรื่องนี้ มันเป็นเรื่องของพวกเราทุกคนที่ต้องเจอ และ ใกล้ตัวเราอย่างคิดไม่ถึงเลย
ครับ
ตามธรรมชาติของมนุษย์เรานั้น ได้ สร้างเกราะกำบังเพื่อรู้สึกให้ตัวเองปลอดภัยจากสิ่ง
ที่เราไม่อาจรู้ได้ ถ้าให้พูดเจาะจงกว่านี้ก็คือ กรอบการใช้ชีวิตของเราทุกคนหล่ะครับ
กรอบที่ทุกคนจะได้รับการสั่งสมมาตั้งแต่เกิด ไม่ว่าจะเป็นการใช้ชีวิตประจำวัน การสั่งสม
การศึกษา แม้กระทั่งการทำงาน เราถูกผู้ใหญ่หลายคน สร้างกรอบกำบังให้เราตั้งแต่เรา
ยังจำความได้ โดยส่วนใหญ่ก็สร้างจากพื้นฐานของความกลัวทั้งสิ้น ถูกปลูกฝังให้อยู่ใน
กรอบมาเสมอ ถ้ามาเทียบกับหนังแล้วกรอบการใช้ชีวิตของเราก็ไม่ต่างกับ กระจกบางๆ
ของมินิมาร์ถ ที่กั้นผู้คนที่อยู่ในนั้นให้รู้สึกปลอดภัย จากสิ่งที่พวกเขาไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ใน
หมอก
หมอกสีขาวในหนังเป็นสัญลักษณ์ ของ ความไม่รู้สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งความ
ไม่รู้นั้น เป็นจุดเริ่มของความกลัว และสุดท้าย ความกลัวก็ทำให้ตัวละครส่วนใหญ่ ไม่กล้า
ที่จะออกมาข้างนอก เพราะคิดว่าโล่กำบังที่ พวกตนอาศัยอยู่นั้นแข็งแรงและปลอดภัย
นอนรอความช่วยเหลือ รั้งเวลาตาย ซึ่งจะต่างอะไรกับการใช้ชีวิตแบบหายใจทิ้งไปวันๆ
และแล้ววันนึงเมื่อเกราะกำบังที่ ดูแข็งแรง มันไม่ได้แข็งแรงอย่างที่คิด สัตว์ประหลาด
มากมาย ซึ่งอาจจะสื่อถึงอุปสรรคต่างๆในการใช้ชีวิต ได้ถาโถมเข้ามาโจมตี ใส่โล่กำบัง
จนวันนึง คุณคิดได้ว่าสิ่งที่คุณคิดว่าแข็งแรง พึ่งพาได้ ความจริงมันช่างอ่อนแอเหลือเกิน
ความสิ้นหวังย่อมตามมา จนสุดท้ายแล้วเดวิดได้ตัดสินใจหนีออกมาจากมินิมาร์ถ ด้วย
ความกลัวและสิ้นหวัง ซึ่ง ณ จุดนี้ ถ้าคุณดูถึงตอนจบ หนังจะแยกประเด็นให้เห็นถึงความ
แตกต่างระหว่างการ แหกกรอบ การใช้ชีวิตของตัวเองด้วยความหวัง กับ แหกกรอบการ
ใช้ชีวิต ด้วยความกลัว (สังเกตไอตัวแม่บนรถทหาร)
หนังเรื่องนี้ได้เล่นประเด็นของความกลัวของมนุษย์ได้อย่างมีศิลปะ และให้ข้อคิดในการ
ใช้ชีวิตที่ว่า ถ้าวันหนึ่งคุณตัดสินใจที่จะแหกกรอบการใช้ชีวิตของคุณ ไม่ว่าจะเป็นการลา
ออกจากงานประจำเพื่อ มาเริ่มธุรกิจใหม่ คุณต้องทำมันด้วยความหวัง ไม่ใช่ความกลัว
เพราะถ้าคุณตัดสินอะไรโดยใช้ความกลัวเป็นที่ตั้งแล้วสุดท้ายจุดจบของคุณคงไม่ต่างอะไร
จากในหนัง