ภาพรวมคร่าวๆ:
• ปัจจุบัน (2025) ไทยมี GDP nominal ประมาณ 546 พันล้าน USD ส่วนเวียดนามราว 491 พันล้าน USD
• ในแง่การเติบโต: ไทยขยายตัวเพียง ~1.8–2.3% (IMF) () ขณะที่เวียดนามคาดว่าโตประมาณ 5–6.5% ต่อปีในระยะใกล้ ()

⸻

จุดแข็ง-จุดอ่อน

ไทย
• อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและส่งออกแข็งแกร่ง แต่เติบโตช้า ประชากรสูงวัย และขาดการลงทุนเชิงโครงสร้างระยะยาว ()
• แผน EEC มีผลบวกระยะยาว แต่น่าจะเริ่มเห็นการขยายตัวเต็มที่ในช่วงกลางทศวรรษนี้ 

เวียดนาม
• ประชากรวัยทำงานจำนวนมาก (อายุต่ำกว่า 35 ปี ราว 50%) เพิ่มศักยภาพการลงทุนและผลิต ()
• มี FDI เข้าสู่อุตสาหกรรมหนัก เช่น ชิปอิเล็กทรอนิกส์อย่างต่อเนื่อง, มีข้อตกลงการค้าเชิงเสรีหลายฉบับ และกำลังลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น รถไฟความเร็วสูง ()

⸻

โมเดลคาดการณ์ในห้าปี

ปี ไทย (GDP, ปัจจุบัน) อัตราเติบโต เวียดนาม (GDP, ปัจจุบัน) อัตราเติบโต
2025 546 พันล้าน USD ~2% 491 พันล้าน USD ~6%
2027–2028 ~600–650 พันล้าน USD เติบโตช้า ~600–630 พันล้าน USD เติบโตแรง
2029–2030 ทะลุ 640–680 พันล้าน USD เพิ่มจาก EEC เกิน 700 พันล้าน USD ดำเนินโครงสร้างเต็มรูป

• เวียดนามคาดว่าจะ แซง GDP ของไทยในระดับ nominal ระหว่างปี 2027–2028 โดย IMF คาดว่าจะถึง ~$628B ของเวียดนาม เทียบกับไทย ~$624B ในปี 2028

⸻

✅ สรุป

ในอีก 5 ปีข้างหน้า (ถึงปี 2030):
• เวียดนามมีแนวโน้มขยับขึ้นในแง่ GDP ทั้งขนาดและอัตราเติบโต ด้วยโมเมนตัมการขยายตัวสูง, โปรเจ็กต์โครงสร้างใหญ่ๆ และแรงหนุนจากแรงงาน
• ไทยแม้ยังมี EEC และฐานส่งออกแข็ง แต่การเติบโตโดยรวมช้ากว่า, โดยอาจพลาดโอกาสแซงหน้าเวียดนามในมุม GDP รวม

คำตอบสั้น: อีก 5 ปีข้างหน้า เวียดนามน่าจะเป็นประเทศที่มีศักยภาพ GDP รวมสูงกว่าไทย (nominal GDP) ด้วยอัตราการเติบโตและโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแรงกว่า ถ้าไม่มีการพลิกโฉมเชิงนโยบาย/การลงทุนครั้งใหญ่ในไทย

⸻