อดีตสมาชิกรัฐสภาอังกฤษ แสดงความเห็นส่วนว่าตัวจีนไม่มีทางจะแซงอเมริกาได้เลย เพราะปีที่แล้วจีนเสียแชมป์การเป็นประเทศที่ประชากรมากที่สุดในโลกให้กับอินเดียไปแล้ว และแนวโน้มทางประชากรศาสตร์แย่ลง คาดว่าภายในสิ้นศตวรรษนี้ประชากรจีน
จะเหลือ 800 ล้านคน จากปัจจุบัน 1.4 พันล้านคน และในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าจะเห็นเศรษฐกิจจีนเติบโตลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

ท่าทีและวิธีคิดของ “สี จิ้นผิง” ผู้ปกครองจีนคนปัจจุบัน มีส่วนทำให้ เศรษฐกิจจีนจะไม่สามารถแซงสหรัฐอเมริกา เพราะจีนนั้นแม้จะเข้าร่วมในระบบระหว่างประเทศ และเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก ท่ามกลางความเชื่อของฝ่ายตะวันตกเมื่อ 20 ปีที่แล้วว่า จีนจะมีความเป็นตะวันตกมากขึ้นและเปิดรับประชาธิปไตย แต่กลายเป็นว่าจีนภายใต้การปกครองของ สี จิ้นผิง นอกจากไม่เป็นตะวันตก แล้วยังต่อต้านตะวันตกอีกด้วย

คาร์สเวลล์บอกว่า เศรษฐกิจจีนสามารถเร่งตัวขึ้นอย่างรวดเร็วก็เนื่องมาจากการปฏิรูปในยุค เติ้ง เสี่ยวผิง ซึ่งมีนโยบายเป็นมิตรต่อตลาด การตัดสินใจต่าง ๆ ของรัฐบาลมีลักษณะค่อนข้างกระจายอำนาจ มณฑลต่าง ๆ มีอำนาจปกครองตนเองค่อนข้างมาก รัฐบาลกลางพยายามไม่เข้าไปรวบอำนาจทุกการตัดสินใจของท้องถิ่น ภาคธุรกิจอย่างน้อยก็มีช่องทางดำเนินธุรกิจแบบตลาดเสรีอยู่บ้าง

“แต่ภายใต้ สี จิ้นผิง ได้ละทิ้งการปฏิรูปของ เติ้ง เสี่ยวผิง แล้วหันกลับไปใช้ระบบการปกครองแบบราชวงศ์หมิง ที่สั่งการจากบนลงล่าง กระทบต่อความมั่นใจของภาคธุรกิจและเศรษฐกิจโดยรวม ขณะเดียวกันแรงงานราคาถูก ซึ่งเคยเป็นหนึ่งในปัจจัยที่หนุนส่งเศรษฐกิจก็มีราคาสูงขึ้นเมื่อจำนวนประชากรไม่ขยายตัวและแก่ชราลง”



อาจจะแซงช้าลง ถึงจีนจะมีปัญหาอสังหาริมทรัพย์อยู่ แต่เศรษฐกิจจีนจะโตได้อยู่ แต่ด้วยภาครัฐบาลครอบงำธุรกิจเอกชนไว้สูงขึ้น ทำให้เอกชนก็อยู่ลำบาก ทำอะไรลำบาก รวมทั้งต่างชาติก็เริ่มทยอยย้ายฐานการผลิตออกจากจีน ทำให้เศรษฐีหรือประชาชนชาวจีน อยากจะออกไปนอกประเทศ ส่วนอเมริกานั้น เอกชนกับรัฐบาล ทำงานน้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า ทางรัฐบาลจะไม่เข้าไปยุ่งเอกชนมากไป

สีพัฒนาเองแต่ก็ทำลายด้วยตัวเอง ปัญหาเท่าที่อ่านข่าวเศรษฐกิจของจีน คือการคอรัปชั่น ทั้งองค์กรรัฐและเอกชน เวลามันล้มเลยล้มแรง พอกระจายอำนาจกลับกลายเป็นสร้างอิทธิพลในส่วนท้องถิ่นแล้วคอรัปชั่นแบบนั้นก็ซวยกันหมด แนวความคิดเน้นกอบโกยระยะสั้นทั้งนั้น เลยต้องยอมกลับไปใช้ระบบดั้งเดิม

เน้นกีฬาพาชาติเจริญฮะ
เน้นเอาดีทางกีฬาซักอย่างสิ

ขนาด ไม่เก็บภาษี หุ้น คนยังเมินอะคิดดู

ผมมองว่าถ้าจีนไม่ดำเนินนโยบายแบบสีจิ้นผิง

จีนอาจจะโตกว่านี้ แต่จะขัดนโยบายความมั่นคงจีนครับ
ระบบจีนอาจจะพัง อาจมีกลุ่มที่มีอิทธิพลที่สร้างแรงสั่นสะเทือนต่ออำนาจรัฐบาลคอมมิวนิสต์ได้
แล้วกลุ่มพวกนี้อาจจะโดนต่างชาติแทรกแซงได้ง่ายขึ้นด้วย

ดูได้จากนโยบายบังคับห้ามเด็กเล่นเกม จับกวาดล้างผู้มีอิทธิพล จัดการแจ๊คหม่า ปฎิวัติจัดระเบียบระบบพวกดาราเซเลปต่างๆ

เห็นได้ชัดว่ามีผลทำให้เศรษฐกิจจีนชะลอตัวในระดับนึงเลย เขาคงกลัวความมั่นคงที่เขาจะควบคุมไม่ได้ครับ
ซึ่งมันคนละเรื่องกับเศรษฐกิจครับ

ยาก

สิ่งที่จีนกำลังจะเจอคือ เหมือนญี่ปุ่นที่ขึ้นมาไล่ เมกาที่ 2 แล้วถดถอยจนถึงปัจจุบัน

ชอบความตอกหน้ากูรู ที่เดิมทำนายว่าจีนจะแซง แล้วต่อมาก็เลื่อนวันจะแซงไปอีกพอไม่ได้ผลดังใจ

เหมือนตอนทำนายเวียดนามจะแซงไทยเป๊ะ (เวียดนามแซงได้แน่นอน ถ้าไทยปิดประเทศแบบที่พม่าทำอยู่ตอนนี้)

ส่วนการแก้ปัญหาของสีจิ้นผิงและพวก มีเดิมพันคือเลขาธิการพรรคและประธานาธิบดีสมัยที่สี่ เลยใช้วิธีที่ถ้าทำให้พรรครักษา ซื้อเวลาอยู่ได้ ก็ยอม แม้จะทำให้ภาคธุรกิจเจ็บหนักก็ตาม (จากที่เจ็บหนักอยู่แล้วทั้งปัญหาอสังหาริมทรัพย์ โควิดเป็นศูนย์ และประชากรลดลง) มาถึงขั้นนี้พรรคคงไม่สนแล้วว่าจะเป็นผู้นำเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้หรือไม่ ถ้าไม่สามารถแก้ปัญหาใหญ่ๆ นี้ได้

ไม่เป็นประชาธิปไตย ก็คอขวดแบบนั้นแหละครับ

ระบบการปกครองมันทำให้ทะลุเพดานขึ้นไปไม่ได้ ประชาธิปไตยมันอาจจะไม่ได้ดีทุกอย่างแต่ในพวกประเทศที่เจริญแล้วมันคือการปล่อยให้ได้มีโอกาสให้แข่งขันกันบ้าง มันถึงพัฒนากันขึ้นมาเรื่อยๆ จีนมันติดตรงที่ห้ามเกินหน้าเกินตาคนปกครองประเทศนี่แหละ

ตั้งแต่โควิดก็ชะงักยาวเลย

ยิ่งตอนนี้ยิ่งสู้ยาก อเมริกาเขาฟาร์มปั๊มขายอาวุธกอบกู้เศรษฐกิจตัวเองแล้ว.

สงครามเยอะนี่อเมริกายิ้มเลย เอ๊ะ...หรืออเมริกาเอ็งนั่นแหละตัวเริ่ม