สืบเนื่องจากเมื่อวานนี้ ผมได้โพสท์กระทู้เรื่องการตรวจสอบการบุกรุกที่ป่าของนายทุน ประมาณว่าเราอาจจะเลือกปฏิบัติที่เพ่งเล็งการบุกรุกที่ดินของนายทุนมากกว่าชาวบ้านโดยทั่วไปหรือเปล่า

http://www.soccersuck.com/boards/topic/2187897/2

แล้วท่าน Biotech ได้ให้ความเห็นไว้ว่า

"ถ้าเอาตามกฎหมายระหว่างประเทศ ตามสังคมโลกที่ประเทศไทยไปขยัน ratify ยังไงพื้นที่ตรงส่วนนั้นก็ได้รับความคุ้มครองตามหลักการคุ้มครองชนเผ่าพื้นเมือง เคสแบบนี้ประเทศไทยไม่ได้มีที่แรก หลายประเทศก็มี แต่ประเทศที่รัฐธรรมนูญศักดิ์สิทธิ กับ ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ UN พื้นที่ของชนเผ่าพื้นเมืองได้รับความคุ้มครองในฐานะ ancestral domain
บางหมู่บ้านอยู่มาตั้งนานนม ก็โดนรื้อถอนไปดื้อๆ เพราะไม่รู้กฎหมายบ้างไรบ้าง อย่างเช่น
เคสกะเหรี่ยงในแก่งกระจานอีก อยู่มา 3 รุ่น วันดีคืนดี รัฐบาลประกาศเขตอนุรักษ์ โดนไล่ที่เฉย"

เลยทำให้ผมเริ่มตระหนักว่า ก็จริงอย่างที่ท่าน Biotech ว่าไว้เลยครับ

เมื่อวานผมหาอ่านคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด
สรุปได้ประมาณว่า ชาวบ้านกะเหรี่ยงกลุ่มนี้ ได้อยู่อาศัยในพื้นที่ป่าแก่งกระจาน มาอย่างน้อยที่สุดก็ 2455
ต่อมาทางราชการได้อพยพชาวบ้านเหล่านี้ออกจากพื้นที่อุทยาน และจัดสรรที่ดินให้ครอบครัวละ 7 ไร่
เนื่องจากทางราชการเห็นว่าการทำไร่หมุนเวียนตามวิถีชุมชน เป็นการเปิดหน้าดินส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

แต่ก็มีชาวบ้านบางส่วนที่ไม่คุ้นชินกับวิถีชีวิตคนด้านล่าง จึงได้เข้าไปปลูกเพิง ตัดไม้ ปลูกพืช ทำไร่เลื่อนลอยตามวิถีอีก

และทางเจ้าหน้าที่รัฐได้ให้การว่าได้ใช้เฮลิคอปเตอร์สำรวจพื้นที่ พบว่าในเขตพื้นที่อุทยานถูกบุกรุก แผ้วถาง เผาป่าหลายจุด หลายแปลง จึงเข้าตรวจสอบบเพิงพัก ไม่มีผู้อยู่อาศัย และไม่พบร่องรอยการหาอาหาร ในจุดดังกล่าวพบอาวุธปืนประดิษฐ์เอง มีกัญชา ซากสัตว์ป่า ซากต้นไม้ใหญ่อายุมากกว่า 100 ปี จึงทำการเผาทำลายจริง
ศาลก็ตัดสินว่าเป็นการกระทำที่เกินเหตุจริง แต่ชดใช้เพียงคนละหลักหมื่นบาท ไม่ถึงหลักล้านอย่างที่เรียกร้องไป

เผื่อใครอยากอ่านฉบับเต็มครับ

https://voicefromthais.wordpress.com/2019/07/08/%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%9B%E0%B8%81%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%87-4/


เรื่องนี้มองได้หลายอย่างเลยนะครับ แต่สำหรับคำถามที่อยากถามท่านในที่นี้คือ
เราควรคิดเห็นอย่างไรกับการทำไร่เลื่อนลอย แล้วควรให้ชาวบ้านกะเหรี่ยงกลุ่มนี้ ใช้ชีวิตตามวิถีดั้งเดิม คือการทำไร่เลื่อนลอย ถากถางป่า และวนไปมาแบบนี้มั้ย

อยู่เชียงใหม่ ได้รับผลกระทบจากการเผาเต็ม ๆ

ออกทริปบ่อย ๆ เห็นเขาเป็นลูก ๆ หายไปเลยนะ เป็นไร่ข้าวบ้าง ข้าวโพดบ้าง ทำก็พอประมาณ มีการควบคุม นี่มันเกินไป พูดแล้วก็แสบคอ

ผมคิดยากแหะ​ ถ้าให้คนส่วนใหญ่สบายใจก็ตอบข้อล่าง
ข้อบนนี่​ ก็รู้สึกสงสารชาวบ้านบางคน
ถ้าผมอยู่เมืองคิดอยากขยายธุรกิจ​ มันมีที่ให้ทำอยู่​ มีที่ให้เช่าอยู่

แต่คนป่าอยากขยายพื้นที่ทำไร่ ก็ต้องเสียป่าไปเรื่อยๆ​
พ่อค้าคนกลางกดดันอีก​ก็ต้องเร่งปลูกพืชด้วยการบุกรุกป่าและทำไร่

ตราบใดที่ชาวบ้านยังไม่มีความรู้ที่จะสร้างอาชีพอื่ื่​นๆ​มันก็จะยังแก้การบุกรุกป่าไม่ได้

ไม่ควรครับ แต่รัฐมีหน้าที่ต้อง subsidized เขาด้วย เมื่อจะบอกว่าอะไรควรไม่ควร

ไม่ต้องคิดอะไรยากเลย สมมติรัฐอยากจะเว้นคืนที่เพื่อตัดถนนใหม่ สิ่งที่รัฐควรทำคืออะไร ก็ต้องไปเจรจากับเจ้าของที่ดิน เราจะเห็นว่ามีหลายกรณีด้วยซ้ำที่โครงการต้องล่าช้าเพราะคุยกับเจ้าของที่ไม่จบ

กรณีนี้ก็คล้าย ชนกลุ่มน้อยพวกนี้เขาอยู่ตรงนั้นมากี่ปีกี่รุ่น อยู่ดี ๆ รัฐก็จะประกาศให้พื้นที่ตรงนั้นเป็นพื้นที่อนุรักษ์ รัฐก็ต้องไป subsidized เขาให้มันตามเหมาะสม คุยให้มันได้ข้อตกลงที่ยอมรับได้ทั้ง 2 ฝ่าย ไม่ใช่ชดเชยแค่ตามรัฐเห็นสมควร

รัฐมีอำนาจจริง และควรใช้อำนาจเพื่อผลประโยชน์ของสังคมโดยร่วม แต่ต้องรับผิดชอบต่อผลประโยชน์ของคนส่วนน้อยด้วยเช่นกัน

ผมโกรธมากๆเลยครับ

เพราะพวกทำไร่เลื่อนลอยของชนกลุ่มน้อยเนี้ย มันทำลายธรรมชาติของประเทศไทยอย่างมหาศาล

เพราะฉะนั้นเจ้าหน้าที่ของรัฐควรบีบมันให้ตายเลยครับ สู้ๆ


ดูสิพ่อของเราก็สอนแล้วว่าทำป่ายังไง แต่ไอ้พวกมันก็ไม่จำ สู้ๆครับเจ้าหน้าที่รัฐที่ดูแลเรื่องที่ดินโดยตรง

ไร่เลื่อนลอย ถ้าไปถางป่า ถางเขาเพื่อ ทำ ก็ สมควรโดนกฏหมายลงโทษ ไม่ใช่พื้นที่จัดสรร จะบอกอยู่กับป่า ก็หากินกับป่าแบบนี้ไม่ได้

เหมือนที่โหนบางกลอย อะไรนั่นกัน มนุษย์ขยายเผ่าพันธุ์ คนมากขึ้นที่ทำกินก็ต้องขยายขึ้น ไม่อนุรักษ์ มีแต่แถ้วถางพื้นที่เพิ่ม

ก่อนที่ตัดสินว่าการทำไร่เลื่อนลอย มันคือ การทำลายป่า อยากให้ลองวิเคราะห์ไตร่ตรองดูอีกนิดว่า ระหว่าง การใช้ทรัพยากรเพื่อดำรงชีพตามวิถีดั้งเดิมมาช้านาน กับ คนที่ใช้ป่าและทรัพยากรเพื่อธุรกิจการค้า แสวงหาผลประโยชน์ อันไหนถึงจะเรียกว่าเป็นการทำลายป่าอย่างแท้จริง แบบไหนทำลายได้มากกว่ากัน ถ้านิยามความหมายถูก ความขัดแย้งไม่เกิด คนก็จะอยู่กับป่าได้อย่างมีสุข

ต้องถามว่า ปัญหาของการทำไร่เลื่อนลอยคืออะไร ทำไมเพิ่งมาเป็นปัญหาช่วงหลังๆ ทั้งๆที่ไร่เลื่อนลอยทำมาแล้วเป็นร้อยๆปี

คำตอบคือ ในอดีตที่ดินมันมีมากพอให้วนไปเรื่อยๆ

ในหลายพื้นที่ การทำไร่เลื่อนลอยไม่ได้มีปัญหาขนาดนั้น ด้วยขนาดพื้นที่และจำนวนคนของกลุ่มๆนั้น กว่าจะวนมาที่เดิม มันก็อุดมสมบูรณ์ไปแล้ว

ปัญหาที่มันเกิดขึ้นคือ พอคนเริ่มเยอะขึ้น มันก็วนมาเร็วขึ้น ก็สิทธิที่ธรรมชาติจะโดนทำลาย

จะแก้ปัญหายังไง?

คุยซิครับ ถ้าเรามีความคิดพื้นฐานอยู่ 2 อย่าง คือ 1.พื้นที่นั้นเป็นพื้นที่ที่เค้าอยู่มาแต่โบร่ำโบราณ 2. คนกับธรรมชาติอยู่ร่วมกันได้

แค่นี้ก็หาวิธีได้แล้ว

ไปคุยกับเค้าเลยว่าขอบเขตพื้นที่ของเค้าอยู่ตรงไหน ขีดให้ชัดเจนทั้งคู่ ต่อมาทำการสำรวจวิจัยเลยว่า คนเริ่มเยอะขึ้น ทำให้ทำลายธรรมชาติมากขึ้น เสนอทางออกให้ปรับเปลี่ยนวิธีการเพาะปลูก หรือ กันพื้นที่บางส่วนให้ทำไร่เลื่อนลอยไปเลยหากมันผูกกับประเพณีมากนัก ทางออกมีร้อยแปด

แต่เท่าที่เจอ ราชการไม่ค่อยยอมจะเข้าใจอะไรหรอก คุยก็ไม่คุย เอาหลังพิงกฎหมายอย่างเดียว ไม่ได้เข้าใจเลยว่ากฎหมายมันออกแบบให้คนอยู่ร่วมกันได้ ไม่ได้เอาไประรานชาวบ้านชาวช่อง

กับอีกอย่าง ชอบคิดว่า ธรรมชาติ = ต้นไม่ใบไม้หญ้า ซึ่งเป็นความคิดล้าสมัยมากๆ ปัจจุบันเค้าเสนอแนวคิด ธรรมชาติ = คนร่วมกับธรรมชาติ (living in harmony with nature)

บอกตรงๆคุยกับราชการโคตรเหนื่อย เอาหลักการหลักอะไรมาคุย จะเอาหลังพิงอำนาจอย่างเดียว ปวดหัว