นักเตะอบต.
Status:
: 0 ใบ
: 0 ใบ
เข้าร่วม: 30 Apr 2020
ตอบ: 1054
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Fri Aug 12, 2022 18:16
ผ่านพ้นไปหลายวันแล้วกับนัดแรกของสงครามแข้งพรีเมียร์ลีกประจำฤดูกาลนี้
...ว่าแล้วก็ขอวิพากษ์ถึงฟอร์มการเล่นในเกมแรกของแต่ละทีมที่จัดอยู่ในประเภท "บิ๊กซิ๊กซ์" อันประกอบไปด้วย แมนฯ ซิตี้, ลิเวอร์พูล, เชลซี, สเปอร์ส, อาร์เซน่อล และแมนฯ ยูไนเต็ด (เรียงตามอันดับของเมื่อฤดูกาลที่แล้วเลย) แบบสั้นๆ พอหอมปากหอมคอ
.
.
.
ลิเวอร์พูล
เรียนตามตรงว่า "ผิดฟอร์ม" ไปหน่อย
เฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเทียบกับเกมชิงโล่การกุศลที่ยัดเยียดความปราชัยให้ แมนฯ ซิตี้ ที่ เวมบลี่ย์ พลพรรคหงส์แดงควรเปิดตัวฤดูกาลใหม่ด้วยชัยชนะ
อย่างไรก็ต้องยกความดีความชอบให้น้องใหม่หน้าเก่าที่เพิ่งเลื่อนชั้นกลับขึ้นมาด้วย เมื่อผู้เป็นกุนซืออย่าง มาร์โก ซิลวา วางแผนการเล่นได้อย่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก ขณะที่ลูกทีมก็ทำได้ตามกลยุทธ์ที่เจ้านายตัวเองวางเอาไว้แบบไม่บิดพลิ้วจนอาจบอกได้ว่าไอ้ที่ลูกทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ โชว์ฟอร์มกันต่ำกว่ามาตรฐานเนี่ยมีส่วนมาจากความสะเด่าของ ฟูแล่ม นี่แหละ
แผนกำราบหงส์แดงของพวกเขาที่อาจเป็นตัวอย่างให้ทีมอื่นปฏิบัติตามได้ก็คือ...
1. บีบขึ้นสูงถึงในแดนหน้าแล้วพุ่งเข้าหาบอลอย่างรวดเร็วและหนักหน่วงแบบเป็นหมู่คณะทุกจังหวะ
2. จับคู่ประกบตัวผู้เล่นคู่แข่งแบบ 1 ต่อ 1
3. วิธีการน่ะ ไม่ซับซ้อนอะไร ใครๆ ก็สามารถวางแผนแบบนี้ได้ แต่ภาคปฏิบัติจัดเป็นเรื่องสาหัส เพราะต้องเน้นหนักทุกชอตอย่างมากด้วยวินัย โดยห้ามหลุดสมาธิเด็ดขาด
เมื่อเจอวิธีการเล่นแบบนี้เข้าไป พวกพรี่ๆ จึงเซ็ตเกมตัวเองไม่ได้ตามถนัด โดยเฉพาะผู้เล่นแดนกลาง 3 คนที่เปรียบเสมือนห้องเครื่องอย่าง ฟาบินโญ่, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และ
ฟาบินโญ่ ที่ไม่สามารถควบคุมเกมในแดนกลาง
กระนั้นก็ดี
ในความต่ำกว่ามาตรฐานของ ลิเวอร์พูล พวกเขายังเอาตัวรอดได้เฉยเลย แถมเกือบเป็นผู้ชนะด้วยซ้ำ
การส่งกองหน้าตัวเป้าคนใหม่อย่าง ดาร์วิน นูนเญซ ลงมา ส่งผลให้เกมรุกของทีมพญาหงส์มีทั้งมิติและชีวิตชีวามากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ก่อนดาวเตะค่าตัว 85 ล้านปอนด์จะทั้งยิงและจ่ายช่วยให้ ลิเวอร์พูล รอดพ้นจากความปราชัยในเกมที่ตัวเองเล่นไม่ค่อยโสภาสักเท่าไหร่
อืมมมมมม...นะ
ขนาดต่ำกว่ามาตรฐานยังอุตส่าห์แสดงให้เห็นถึงมาตรฐานอันสูงส่ง
นี่คือความน่ากลัวของพวกพรี่ๆ เขาในฤดูกาลนี้ !!!
.
.
.
แมนฯ ซิตี้
สารภาพตามตรงว่าหลังพลาดท่าให้คู่ขับเคี่ยวอย่าง ลิเวอร์พูล ในศึก คอมมิวนิตี้ ชิลด์
ในความรู้สึกของท่านผู้ชมทางบ้านอย่างผม คือ แมนฯ ซิตี้ เสียเครดิตในการป้องกันแชมป์ไปพอสมควรเลยทีเดียว
ความหื่นกระหายในการป้องกันแชมป์พรีเมียร์ลีกอาจลดน้อยลงไป หลังคว้าแชมป์มา 2 สมัยติดต่อกัน รวมถึงอาจมุ่งเน้นไปที่การไล่ล่าแชมป์ถ้วยใหญ่ยุโรปที่ตัวเองไม่เคยสัมผัส
กระทั่งลูกทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า บุกไปอัด เวสต์แฮม ถึง ลอนดอน สเตเดี้ยม ในเกมแรกของฤดูกาล
ไม่ใช่แค่การเปิดตัวอย่างสวยลากไส้ด้วยชัยชนะเพียงอย่างเดียว การเหมาคนเดียว 2 ดอกของดาวถล่มประตูคนใหม่อย่าง เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ คือสัญญาณเตือนภัยไปถึงทุกทีมในพรีเมียร์ลีก
...ว่าความบรรลัยกำลังจะเยือน
เรื่องรูปแบบการเล่นไม่มีอะไรที่ต้องสงสัยอยู่แล้ว ทีมเรือใบสีฟ้าเน้นการครอบครองบอลแล้วเปิดเกมรุกบุกแหลกเป็นสำคัญ
แต่การมีศูนย์หน้าอย่าง เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ เสมอหนึ่งพวกเขามี "ระเบิดนิวเคลียร์" อยู่ในทีม
แถม เป๊ป กวาร์ดิโอล่า น่าจะรู้วิธีการใช้ระเบิดปรมาณูลูกนี้ซะด้วย
สิ่งที่ผมเห็นคือเพลย์เมคเกอร์อย่าง เควิน เดอ บรอยน์ มีทางเลือกในการสร้างสรรค์เกมรุกมากขึ้น
แน่นอนว่ามากกว่าเมื่อฤดูกาลก่อนที่ แมนฯ ซิตี้ เป็นแชมป์ด้วย
ฉะนั้น & ฉะนี้
เผลอๆ อาจ "ม้วนเดียวจบ" น่ะสิครับ
.
.
.
เชลซี
พลพรรคสิงห์น้ำเงินบุกไปเอาชนะ เอฟเวอร์ตัน ในเกมแรกของฤดูกาลแบบหวุดหวิด แถมประตูชัยก็มาจากจุดโทษ
เกมรับยังมีความเหนียวแน่นและแข็งแกร่งพอสมควรจนช่วยให้เสียประตูยาก แม้นว่าจะเสียกองหลังตัวสำคัญอย่าง อันโตนิโอ รือดิเกอร์ กับ อันเดรียส คริสเตนเซ่น ไป แต่ก็ได้ คาลิดู คูลิบาลี่ มาทดแทน ขณะเกมรุกที่ได้ ราฮีม สเตอร์ลิง มาเสริมทัพก็ยังไม่ใช่กองหน้าตัวเป้าขนานแท้
มาตรฐานของ เชลซี ยุคใหม่ที่ไร้เจ้าของทีมอย่าง "เสี่ยหมี" โรมัน อบราโมวิช ยังคงสูงเหมือนเดิมนะครับ ขนาดทีมก็ยังคงใหญ่และยาวจนสามารถทดแทนกันได้แบบไม่เหลื่อมล้ำ
ขณะที่ แมนฯ ซิตี้ มี เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ และ ลิเวอร์พูล มี ดาร์วิน นูนเญซ เป็นนักล่าตาข่ายระดับตีนพระกาฬ
ถ้าพวกเขาหากองหน้าตัวเป้าประเภทโป้งปิดบัญชีที่ผลิตสกอร์ได้ฤดูกาลละ 15 ประตูเป็นอย่างต่ำมาร่วมทีมได้ก็จะมีความน่าขามเกรงมากยิ่งขึ้น
เพราะเรียนตามตรงว่าทีมชุดนี้ยังไม่ดีพอที่จะยืนระยะในการเบียดแย่งแชมป์พรีเมียร์ลีกกับ "เรือใบ" และ "หงส์แดง" ไปจนถึงบั้นปลาย
.
.
.
สเปอร์ส
เปิดตัวสัปดาห์แรกด้วยการพุ่งทะยานขึ้นนำเป็นจ่าฝูงของตารางด้วยการกะซวกคู่แข่งไป 4 ดอกเน้นๆ หลังถูกยิงนำเป็นก่อนซะด้วย
นั่นแสดงให้เห็นว่า อันโตนิโอ คอนเต้ ทำทีมแบบไม่ได้เน้นผลการแข่งขันเพียงอย่างเดียว
แต่แสดงให้เห็นถึงความดุดันและจัดจ้านในเกมรุกที่พร้อมจะระเบิดถังขี้คู่แข่งที่ศักดินาต่ำกว่าแบบไร้ความปรานีด้วย
เท่านั้นไม่พอ
ไอ้ 4 ประตูที่บรรจงยัดเข้าไปในรูตูดของพวกนักบุญเนี่ย ไม่ได้มาจาก 2 ดาวยิงประจำทีมอย่าง แฮร์รี่ เคน กับ ซน ฮึง มิน ซึ่งเบื้องต้นพอจะสันนิษฐานได้ว่า "คลับไก่" และนาทีนี้ไม่จำเป็นต้องผูกขาดการทำประตูเอาไว้ที่ดาวยิงประจำทีมเพียงแค่ 2 คน
หากมองจากขุมกำลังของในฤดูกาลนี้ที่ดูสมบูรณ์พูนสุขมากที่สุดในรอบหลายสิบปี บวกกับความสามารถของกุนซือระดับอ๋องอย่าง อันโตนิโอ คอนเต้
"พญาโต้ง" สมัครเข้าชิงตำแหน่งแชมป์พรีเมียร์ลีกได้เลย
ติดอยู่ตรงที่ ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ คือทีมที่ไม่มีดวงประสบความสำเร็จนี่แหละ
ว่าแล้วขอพิจารณาเรื่องนี้อีกที หลังจากผ่านไป 10 นัด ดีกว่า 5555
.
.
.
อาร์เซน่อล
ย้อนกลับไปในเกมที่ทีมสีหนาทปืนใหญ่บุกไปขยี้ คริสตัล พาเลซ 2-0
ยอมรับตามตรงเลยว่าผู้ชมทางบ้านอย่างผมเห็นรูปแบบการเล่นของ อาร์เซน่อล ในช่วงครึ่งแรกแล้วก็รู้สึกตื่นตาตื่นใจในจังหวะ "เฮฟวี่ เมตัล" ยิ่งนัก
ทันทีที่ผู้ตัดสินบ้วนลมยาวผ่านนกหวีด สิ่งที่เห็นคือพลพรรคปืนโตครองบอลบุกกดดันเจ้าของบ้านแบบไม่ให้หายใจไม่ให้หายคออยู่เพียงข้างเดียว กระทั่งทำลายตาข่ายได้สำเร็จ โดยใช้เวลาไป 20 นาที
ทีมเวิร์คคือสัญลักษณ์และมาตรฐานของ อาร์เซน่อล อยู่แล้วนะครับ
พวกเขาเป็นทีมที่เล่นเป็นระบบมาตลอด โดยอดีตกุนซืออย่าง อาร์แซน เวนเกอร์ เป็นผู้วางรากฐานเรื่องนี้เอาไว้ให้
ในเมื่อมีระบบอยู่แล้ว มันจึงขึ้นอยู่กับคุณภาพของนักเตะที่ถูกส่งลงไปอยู่ในระบบนั่นแหละ
ถ้าเป็นดาวเตะประเภท เกรด เอ คุณภาพคับตูด ระบบของ อาร์เซน่อล ก็จะยิ่งเปล่งประสิทธิ์ภาพมากยิ่งขึ้น - นึกออกไหมครับ ???
การมาของ กาเบรียล เชซุส ในตำแหน่งหน้าเป้าทำให้ผมรู้สึกว่าเกมรุกของพวกเขามีสีสันมากขึ้น
นอกจากนี้การเน้นเกมรับอย่างรัดกุมในครึ่งหลังแล้วรักษาคลีนชีตแสดงให้เห็นว่าเกมรับอันเป็นจุดอ่อนของพวกเขาได้รับการแก้ไขให้ไฉไลขึ้น
หากตัดสินจากฟอร์มการเล่นในเกมแรก ผมรู้สึกว่า อาร์เซน่อล ยกระดับตัวเองสูงขึ้นกว่าฤดูกาลที่แล้วนะครับ
.
.
.
แมนฯ ยูไนเต็ด
เหล่าสมาชิก "บิ๊กซิ๊กซ์" อย่าง แมนฯ ซิตี้, เชลซี, สเปอร์ส และอาร์เซน่อล ต่างเอาฤกษ์เอาชัยในเกมแรกของตัวเองตามความน่าจะเป็น
ลิเวอร์พูล แม้จะพลาดทำหลุดมือไป 2 แต้มแบบผิดฟอร์ม แต่อย่างน้อยๆ ก็ยังเอาตัวรอดจากความปราชัยได้สำเร็จ
ส่วน แมนฯ ยูไนเต็ด เปิดตัวผู้จัดการทีมคนใหม่ในโครงการสร้างทีมใหม่พร้อมความหวังว่าจะกลับชาติมาเกิดใหม่
ทันใดก็พังพาบเป็นประเดิมตั้งแต่นัดแรกแบบคาบ้าน...ซะอย่างนั้น
ความปราชัยของพลพรรคปีศาจแดงไม่ได้เรียกว่า "แพ้จังหวะ" หรือเป็นอุบัติเหตุทางลูกหนังที่สามารถบังเกิดขึ้นได้ด้วยนะครับ - ขอโทษ
แต่พวกเขาเสียหลักพุ่งชนความพ่ายแพ้ เพราะปัญหาเดิมๆ ที่เคยขึ้นอย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่านั่นแหละครับพวกพ้อง โดยสามารถอธิบายเป็นคำพูดภาษาอังกฤษได้ทั้งหมด 4 คำ
1. ก็อดแดมน์
2. ดั๊มพ์ชิต
3. สติวปิด
และ 4. มาเธอร์ฟัคเกอร์
บัดดล...ขอจบการวิพากษ์ปีศาจแดงแต่เพียงเท่านี้ เฮ่อออออ !!!
โหวตเป็นกระทู้แนะนำ