อีกไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมง ก่อนคิกออฟรอบชิงจ้าวยุโรป 2022 ท่ามกลางแฟนบอลกว่าแปดหมื่นในสนาม สต้าด เดอะ ฟร้อง ประเทศฝรั่งเศส

สมทั้งศักดิ์และศรี
เรอัล มาดริด แชมป์ยุโรป 13 สมัย จ้าวพ่อยูซีแอลตัวจริง จะได้ปะลองแข้งแย่งถ้วยกับยอดทีมแห่งปี 2022 เลือดผู้ดีดีกรี แชมป์ทวีปหกสมัยอย่างลิเวอร์พูล

ขุมกำลัง
ราชันชุดขาว เรอัลมาดริด กับระบบ 4-3-3 โดยมีคีแมนอยู่ที่แดนกลางสองชุด ชุดแรกสามเก๋าเล่าเกม ลูก้า โมดริช โทนี่โครส และคาเซมิโร่ ที่คอยควบคุมจังหวะการเล่นแต่ละนัดให้ช้าเร็วไปตามที่พวกเค้าบัญชา

และชุดสองที่มาเติมความสด แต่สมดุลเกมไม่เคยเสียอย่าง บัลเบเด้ คามาวิงก้า และเซบายอส ซึ่งที่ผ่านมามาดริดได้ทำให้เห็นเป็นภาพซ้ำมาตลอดทั้งสามรอบก่อนหน้านี้

แต่กับเกมนี้คู่ชิงถ้วยของพวกเค้า มีดีที่แดนกลางไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเพราะ ชื่อชั้น ของอัลคันทาร่า จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และฟาบินโญ่ ก็เชี่ยวกรากและเก๋าเกมไม่หลงเหลี่ยมให้แก่ยอดมิดฟิวฝั่งเรอัลง่ายๆเป็นแน่

ดูแล้วแดนกลางจึงน่าจะมาตัดสินกันที่นักเตะชุดสอง กามาวิงก้า เซบายอส บัลเบเด้ ทำให้เห็นมาแล้วว่าเมื่อเค้าลงสนาม พลังพาวเวอร์ของทีมจากห้าสิบขีดแดง กลายเป็น120 เขียวปี๋ แถมยังสร้างสรรเกมรุกบุกต่อเนื่องไม่แพ้รุ่นพี่

จึงเป็นงานช้างสุรินทร์ที่ชุดสองของฝั่งหงส์ ซึ่งน่าจะเป็น เกอิต้า เคอร์ติซโจน และป๋าเจมส์ ที่ต้องรับมือกับคู่แข่งอย่างถึงพริกถึงขิง เรียกว่าสดเจอสดกว่า ดูแล้วกลางใส่กันยับ แต่หากให้เป็นคะแนนแดนกลาง ผมให้มาดริด 10 ต่อ 9.5 ถือว่าใกล้เคียง

อาวุธสังหาร
แผงรุกของสองทีม ถือป็นจุดตัดสิน ชี้ทิศทางของเกมหากใครลงตัวกว่า เฉียบคมกว่าย่อมได้เปรียบเป็นอย่างยิ่ง

เวนิซิอุส คือ ตัวเปิดโอกาสสร้างความปั่นป่วนทุกมิติให้แก่มาดริด ถ้าลิเวอร์พูลสามารถหยุดเด็กระเบิดตัวนี้ได้เหมือนที่แมนซิตี้เคยทำมาแล้วตอนเกมรอบรอง ก่อนที่วอร์คเกอร์จะเจ็บออกไป แต่มีวงเล็บว่าต้องปิดได้ตลอดร้อยยี่สิบนะ ไม่ใช่แค่เจ็ดสิบนาที เพราะเมื่อไรทีหงส์แผ่ว เวนิซิอุส จะลงโทษอย่างหนักยิ่งกว่าพระแน่นอน

เบนเซมา ไม่สิ ขอเรียกเป็น คิงคาริม ดีกว่า ชื่อนี้การันตีความเก๋าและเฉียบคมอย่างที่สุด เพียงคุณพลาดเปิดโอกาสให้เค้าเสี้ยววินาที อาจจะทำให้ตาข่ายทีมกระเพื่อมได้เลย เพราะฉะนั้นนี่คือ อาวุธสังหารที่ราชันชุดขาวจะใช้ในการโจมตีข้าศึกตลอดทั้งเกมห้ามเผลอเด็ดขาด

ฝั่งหงส์แดงอย่าได้น้อยใจหรือเกรงกลัวคู่แข่งแต่อย่างใด เพราะขุมกำลังเกมรุกของตนเองก็มิได้ยิ่งหย่อนอ่อนด้อยไปกว่ากัน โมฮัมเม็ด ซาร่า ซาดิโอ มาเน่ เฟอร์มิโน่ และดิอาส ก็มีดีพอที่จะเจาะแผงรับ และตัวละครลับอย่างดิโอโก้ โชต้า ก็พร้อมที่จะลงมายิงอยู่เสมอ ดูแล้วแผงรุกสำรองของลิเวอร์พูล ยังพึ่งพาอาศัย ได้ดีกว่าเรอัลมาดริดที่มี อาเซนซิโอ้ หรือแกเร็ทเบลด้วยซ้ำ คะแนนแผงรุก หงส์10 ต่อ 9.5

ตัดกันที่เกมรับ
หากสองทีมมีแดนกลางที่ใกล้เคียง มีแนวรุกที่สมน้ำสมเนื้อ เกมรับจึงเป็นตัวตัดสินว่าใครคู่ควรจะเป็นฝ่ายคว้าชัยชนะในการศึกครั้งนี้

แนวรับหงส์แดง มีเวอร์จิล ฟานไดท์ คอยบัญชาเกมรับสลับคู่หู ระหว่างโจเอล มาติป และโคนาเต้ โดยมีวิงแบคคู่บารมี เป็นเทรน อาโนล และโรเบิร์ตสัน

ฝั้งที่จะต้องมาลุ้นกันว่าเจอร์เก้น คอร์ป จะจัดการเกมรุกของเวเนซิอุส ที่จะต้องดวลกับเทรน อาโนล อย่างไร เพราะฝั่งซ้ายโรเบิร์ตสัน น่าจะเก็บงานจากโรดริโก้ ได้ดีไม่น่ามีปัญหา

ฝั่งมาดริด คู่เซ็นเตอร์น่าจะใช้ มิลิเตากับคามาโช่ และให้อัลลาบา เล่นแบคซ้ายเพื่อรับมือกับ โม ซาร่า ซึ่งจะมีปัญหาแน่ ถ้าคู่เซ็นเตอร์พลาดให้ มาเน่ หรือเฟอร์มิโน่ เพราะทั้ง มิลิเตากับคามาโช่ หรือ อัลลาบา ยังมีจุดผิดพลาดให้เห็นเสมอ เมื่อเจอลูกกลางอากาศ หรือความเร็วของกองหน้า

และถ้าแบคซ้ายที่อาจจะต้องใช้เมนดี้ ยิ่งน่าเป็นห่วงที่ต้องดวลกับซาร่าที่พร้อมจะจัดเต็มกับนัดชิงยูซีแอลที่ค้างคาใจหนก่อน ดูแล้วคะแนนเกมรับ จึงเทใจให้ลิเวอร์พูล 10 ต่อ 9

สำหรับผู้รักษาประตูต้องบอกว่า นี่คือ สองมือหนึ่งของโลกปัจจุบันก็ว่าได้ เหนียวแน่น และมีเซฟปาฏิหาร พอๆกัน ทั้งในเกมและจุดโทษ ขึ้นอยู่กับคนยิงว่าใครคมกว่าแค่นั้น

เฉือนคมกุนซือ

หากเปรียบเป็นมวย ต้องบอกว่าเป็นคู่ชกที่มีทั้งหมัด เท้า เข่า ศอก และชั้นเชิงมวยที่สวยงามทั้งคู่ แถมต่างมีกุนซือเขี้ยวรากคอยปรุงสรรปั้นแต่งแทคติก และแก้เกมเฉพาะหน้าได้อย่างเท่าทัน
อันเชล็อตติ ทำให้เห็นมาสามรอบว่า บอลของมาดริด ยิ่งเล่นยิ่งดุ ยิ่งเล่นยิ่งสด เจอเก็น คอร์ป เป็นกุนซือที่วางแทคติกได้หลากหลาย และแก้เกมได้ทันท่วงที

กับเดิมพันถ้วยยุโรปที่ยิ่งใหญ่ รายละเอียดเล็กๆ น้อยไป ที่สองกุนซือจะเก็บเอามาแก้เกมชิงไหวชิงพริบกันให้สนุกตื่นเต้นตลอดเกม นี่จะเป็นนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลยูฟ่าแชมป์เปี้ยนลีกที่มันที่สุดอีกนัดหนึ่งในประวัติศาสตร์อย่างแน่นอน

ใครเป็นแชมป์ผมก็ยินดี
บาเยิร์นออนลี่

ผมว่าหลังๆมา ร็อบโบ้เล่นไม่ดีครับ เทรนรับดีกว่า แต่ก็มารอดูกัน

การไปชิงที่ปารีส ระหว่าง มาดริด กับ ลิเวอร์พูล มีเพียงทีมเดียวที่จะได้รับชัยชนะไปอย่างคู่ควร

นั่นก็คือ