ผมเลือก วิโรจน์ เบอร์ 1 เป็นผู้ว่าฯ กทม.
เปิดดูคลิปจากเว็บเฟสบุค
ผมเลือก วิโรจน์ เบอร์ 1 เป็นผู้ว่าฯ กทม.
สำหรับผมคลิปนี้เป็นจุดตัดที่ทำให้ผมตัดสินใจว่าจะเลือกวิโรจน์แน่ๆ (หลังจากนั้นก็เชียร์แกมาตลอด) ทั้งที่ก่อนนี้ลังเลไปมาตลอดระหว่าง อ.ชัชชาติ กับ วิโรจน์
แน่นอนปฏิเสธไม่ได้ว่าคุณสมบัติของอาจารย์ชัชชาติ ความสามารถ ความตั้งใจ ความสม่ำเสมอ หรือการทำงานพื้นที่มีต่อเนื่องมานาน โดยคุณสมบัติรวมๆกันทุกข้อ อ.ชัชชาติ น่าจะเป็นแคนดิเดตที่ว้าวที่สุดคนนึงจริงๆ และไม่แน่ว่าในอนาคตจะมีชั้นนี้ เบอร์นี้ มาลงสนามนี้อีกไหม
แต่เหตุผลที่ผมเลือกวิโรจน์ เพราะผมชอบ 3-4 เรื่อง
1. แกเป็นผู้ว่าที่ประกาศ "ชนเพื่อคนกรุงเทพฯ" หลายคนชอบทับถมแกเบาๆว่า "วิโรจน์โม้" "พูดได้ทำได้จริงป่าว?" หรือแม้แต่กล่าวหากันแรงๆว่า "ไม่รู้ขอบเขตอำนาจผู้ว่า" บ้างก็ว่าทำไม่ได้หรอก
แต่สิ่งที่ผมเห็น คือ วิโรจน์ "สร้างความเป็นไปได้ใหม่" แกเล่นกับสื่อเป็น แกรู้ว่าบางเรื่องทำด้วยอำนาจผู้ว่าตรงๆไม่ได้ แต่เราใช้พลังจากสื่อ พลังจากภาคประชาชนกดดันได้
ตัวอย่างที่ดีมากคือ ตั้งแต่หาเสียงแกเป็นคนแรกๆ ที่ไปโรงขยะอ่อนนุชซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังมานับสิบปี ไปยืนปาวๆ เอาสื่อลงไป ขุดคุ้ยต่างๆ จนสุดท้ายถูกสั่งปิด(ชั่วคราว)ไปแล้ว เรื่องนี้ทั้งที่แม้แต่ผู้ว่าคนก่อนๆก็ไม่กล้าแตะ
นี่ขนาดไม่ได้ผู้ว่า ไม่ได้ทำงานพื้นที่มาหลายปี แต่รู้ป้ญหา กล้าชน กล้าเล่นกับสื่อ ผลงานก็เกิดได้ ตั้งแต่ยังไม่ได้รับเลือกตั้ง
2. วิโรจน์แตะปัญหาเชิงโครงสร้าง และกล้าพูดมันออกมา ประเทศไทยเราอยู่ภายใต้ระบบเครือข่ายผลประโยชน์ และอำนาจซ้อนทับมากมาย การเอารัดเอาเปรียบจากกลุ่มทุน รวมไปถึงเรื่องจริงที่ไม่กล้าพูดกันเยอะมาก ทั้งในระดับประเทศและระดับท้องถิ่นอย่าง กทม.
อย่างเรื่องขยะเองนี่ จากคลิปที่ผมแนบมา อ.ชัชชาติพูดถูกไหม ถูกมาก ไม่มีผิด จิตสำนึกสาธารณะเป็นต้นตอที่แท้จริงของปัญหา ซึ่งตอนแรกผมฟังโอเคมากนะ
แต่พอฟังวิโรจน์พูดต่อ เอ้ย มันมีมิติจริงๆว่ะ มิติที่มันมีความไม่เป็นธรรม และก่อนให้เกิดปัญหา มันซ้อนกันอยู่จริงๆ ทำไม่ก่อนนี้เราไม่รู้? ทำไมเราไม่รู้สึก? เราไม่เห็นมาก่อนวะ? ว่านี่คือปัญหาซ้อนทับ และส่งผลกระทบต่อสาธารณะ
แล้วคนก็ชอบแซะวิโรจน์อีกว่า "ไปศึกษาข้อมูลเยอะๆ" "พูดแบบมีข้อมูลรึเปล่า?" "พูดแล้วมีวิธีทำไหม?" ในคลิปนี้ผมคิดว่าเห็นชัดนะ วิโรจน์มีตัวเลขอ้างอิงว่าแต่ละเขตเก็บเงินได้เท่าไหร่ เฉลี่ยราคาเท่าไหร่ คอมแพร์แต่ละพื้นที่ให้เห็น และเสนอทางแก้เรื่องแก้บัญญัติ
หรือแม้แต่เรื่องขบวนเสด็จ ที่อาจกระทบการสัญจรบนท้องถนน ทางออกของวิโรจน์ก็คือ ผู้ว่าฯ กทม. ควรเป็นเจ้าภาพที่หารือสำนักพระราชวัง เพื่อจัดการอารักขาที่เหมาะสมไม่ให้กระทบการสัญจรโดยรวมจนเกินพอดี จริงๆนี่เป็นเรื่องธรรมดาที่พูดได้ และไม่ได้กระทบความเสี่ยงทางกฏหมายอะไรเลย แต่วิโรจน์เป็นแคนดิเดตคนเดียวที่กล้าพูดออกมาตรงๆ สำหรับผมผู้ว่าฯต้องกล้าที่จะแตะตัวปัญหา หรือพูดถึงปัญหาแทนประชาชนได้ เพราะถ้าผู้แทนประชาชนไม่กล้าพูดถึงเองแล้ว ประชาชนก็หมดหวัง
3. วิโรจน์เป็นคนอิน และหัวร้อนในเรื่องที่ควรหัวร้อน เป็นทั้งนักปราศรัยและนักบริหาร วิโรจน์โดนโจมตีพอสมควรว่าหัวร้อนแบบนี้จะทำงานร่วมกับคนอื่นได้ไหม คำตอบคือ จริงๆถ้ารู้ประวัติ จะรู้ว่าวิโรจน์ทำงานบริหารในบริษัทมหาชนมานับสิบปี ไม่ใช่อยู่ดีๆปราศรัยเก่งแล้วโผล่มา เขาทำงานมานานแล้ว และทำร่วมกับคนอื่นๆในใหญ่ได้
สำหรับผม แคนดิเดตที่หัวร้อนแทนประชาชน เป็นเรื่องที่ดี เพราะก่อนนี้เราชอบพูดกันเองไม่ใช่หรอว่า "คนไทยโกรธน้อยเกินไป(ปัญหาจึงสะสมมาขนาดนี้)" นี่ไง ตัวแทนที่โกรธ เป็นเดือดเป็นร้อนแทนเรา สำหรับผมผมโอเคนะ เราถ้ามีคนใส่ใจเดือดร้อนปัญหาต่างๆแทนผม ผมคงได้เห็นการเปลี่ยนแปลง
ผมเชื่อหนึ่งอย่างว่า "กรุงเทพ" (หรือแม้แต่ประเทศไทย) ถ้าเทียบว่าป่วยเป็นโรคผิวหนัง ก็ต้องเรียกว่า "เป็นสังคัง" ณ นาทีนี้ ฮีรูดอยดีๆ อาจไม่สู้ ซีม่าโลชั่น จะทะลายปัญหาหมักหมม ปัญหาบ้าบอคอแตก จะต้องชนต้องเจอกับอุปสรรคขวากหนามนานับประการ ผู้ว่าฯต้องชน ผู้ว่าต้องเป็นยาแรง อันไหนทำไม่ได้ ก็ออกมาฟ้อง ออกมาบอกประชาชน สำหรับผม วิโรจน์คือซีม่าโลชั่น ราดลงไปแล้วแสบๆคันๆ แต่สังคังหาย
มะรืนนี้จะเป็นวันเลือกตั้ง รักใครชอบใคร เลือกคนนั้น รักวิโรจน์เลือกวิโรจน์ รัก อ.ชัชชาติ เลือก อ.ชัชชาติ เพราะสำหรับผม สองคนนี้ เป็นคนคุณภาพมากๆทั้งคู่ ไม่ว่าจะในบทบาทหน้าที่ไหน (แต่พอดีวันนี้เขาลงแข่งกันในตำแหน่งผู้ว่าฯ ก็แค่นั้น) ไม่ว่าใครจะได้รับเลือก ก็เชื่อว่าเป็นโชคดีของคน กทม.
แต่สำหรับผมนั้น เทใจให้คุณวิโรจน์เบอร์ 1 ไปแล้ว
ขอให้โชคดี
เพจ ศาสดา