แพ้ทีมอย่าง “เอฟ” คงไม่ต้องหวังอะไรแล้ว
เห็นการให้สัมภาษณ์ของ ราล์ฟ รังนิค หลัง แมนฯยูฯ แพ้ เอฟเวอร์ตัน แล้วคิดได้ 2 มุมคือกระตุ้นให้นักเตะฮึดกลับมานัดหน้าหรือไม่ก็เลวร้ายถึงขั้น “ปลงชีวิต”
“เดอะ โปรเฟสเซอร์” ถึงกับใช้คำว่าถ้ายิงประตูทีมที่เพิ่งโดน เบิร์นลีย์ ยิงมา 3 ลูกไม่ได้ก็อย่าไปหวังสูงอะไรเลย (เพิ่มข้อมูลให้น่ากลัวเข้าไปอีกก็คือ เอฟ แพ้มากถึง 6 จาก 7 นัดหลังสุด)
ก่อนเกมผมก็คิดว่าอย่างแย่ๆ “ปีศาจแดง” คงแค่เสมอ เพราะต้องยอมรับอย่างนึงว่า “ท๊อฟฟี่” ทรงบอลที่เราเห็นๆกันไม่มีอะไรเลย
แต่มีจุดขายตรงลูกบ้าวิ่งสู้ฟัดกัดไม่ปล่อยจนครองสถิติซัดไป 3 ใบแดง 3 นัดติด มีแค่นี้จริงๆที่จะทำลายขวัญฝั่งตรงข้าม
ผมเชื่อเสมอว่าถ้าใครเจอ เอฟเวอร์ตัน และตั้งสติเล่นเกมของตัวเองไป ไอ้พวกลูกหนักลูกบ้ามันไม่สามารถงัดมาใช้ได้ตลอดทั้ง 90 นาทีหรอกครับ
ดึงให้ “ท๊อฟฟี่” เข้ามาอยู่ในเกมของคุณ (และมาพร้อมประตู) เท่ากับว่าคุณชนะไปแล้วครึ่งตัว
ทีมเยือนเกือบทำสำเร็จเพราะในระหว่างที่ทั้ง 2 ทีมยังจับจังหวะกันอยู่นั้น เอฟเวอร์ตัน แสดงอาการเป๋ชัดเจน
ต้องบอกก่อนว่า แฟร็งค์ แลมพาร์ด ยังยึดสิ่งปฏิบัติเดิมๆยามเล่นในบ้านคือเลือกใช้วิธีสั่งให้เด็กๆดันสูงมา “แฮ่ร์!!” แนวรับทำให้ ยูไนเต็ด ขึ้นเกมลำบาก
มันได้ผลก็จริงแต่ “ท๊อฟฟี่” ต่อยอดไม่ได้มากไปกว่านั้น กล่าวคือพอได้บอลกลับมาไอเดียที่จะสร้างโอกาสมันไม่มีในหัว ตัวผู้เล่นไม่เอื้ออำนวย ยิ่งเล่นเหมือนเวลตัน
ตรงกันข้ามเป็น ยูไนเต็ด ต่างหากครับที่เห็นช่องโจมตีมากขึ้น ทุกๆครั้งที่ขึ้นมาทางริมเส้นและครอสเข้ามาในเขตโทษได้เสียวตลอด
โอกาส 2 หนภายใน 4 นาที (8 และ 12) มาจาก มาร์คัส แรชฟอร์ด คนเดียว ถ้าเปลี่ยนซักลูกเป็นประตูผมมั่นใจว่า แมนฯยูฯ ปิดประตูแพ้แน่นอน
การบุกที่จะเอาเม็ดแรกของ ยูไนเต็ด เป็นต้นเหตุที่ทำให้โดนสวนกลับซึ่งจังหวะนั้น อาร่อน วาน-บิสซาก้า แบ็คลอยสูงวิ่งกลับมาไม่ทันในขณะที่ตรงกลางยืนห่างไม่อยู่ในวิสัยที่จะเบรกเกมใดๆได้เลย
แอนโธนี่ย์ กอร์ดอน เป็นทั้งตัวเริ่มต้นในการ build up และจบสกอร์ที่ต้องอาศัยดวงและ content ของ แฮร์รี่ แม็คไกวร์ จนเกิดประตูลูกนี้ขึ้นมา
ดวงคนจะซวยอยู่ตรงไหนก็ซวยจริงๆครับ อันนี้จะโทษกัปปิตันแกก็ไม่ได้เพราะยืนตามตำแหน่งและยืนคู่กับ โดมินิก คัลเวิร์ต-เลวีน เลยด้วยซ้ำ
ถ้าให้พูดถึงการยืนตำแหน่งจากการเสียประตูลูกนี้ต้องภาพรวมมากกว่า ผมกำลังจะบอกว่า ยูไนเต็ด ใช้ตัวยืนในเขตโทษไม่บาลานซ์กับฝั่งของเจ้าถิ่น (7 ต่อ 3) จนขาดตัวระวังภัยนอกเขตที่ควรมีอย่างน้อย 1 คน
สังเกตได้เลยว่าเมื่อจังหวะใดๆก็ตามที่การยืนตำแหน่งของ “ปีศาจแดง” เพี้ยนตั้งแต่แรกการแบ่งหน้าที่จะมั่วทันที
ครับเมื่อเสียประตู “ขวัญถุง” ฝั่ง เอฟเวอร์ตัน ก็เปลี่ยนแนวเลิกไล่และหันมาตั้งรับในแดนตัวเอง ตรงนี้ทำให้ทีมเยือนที่ระบบการเล่นไม่ได้ดีอยู่แล้วจึงต้องควานหาโอกาสได้แบบครึ่งๆกลางๆและแพ้ไปในที่สุด
บรูโน่ แฟร์นานเดส ที่ช่วงนึงเคยแบกทีมตอนนี้ฟอร์มรูดจนน่าใจหาย ลูกมหัศจรรย์อะไรไม่ต้องพู้ดด แค่จ่ายไม่เสียก็เก่งแล้ว ณ ตอนนี้
ภาพรวมการวิ่งเมื่อเพื่อนได้บอล ทีมเวิร์ค ความเข้าใจกันแทบไม่มีเลย การ cross บอลที่เป็นทางออกสุดท้ายเมื่อต้องเจอกับทีมอุดยิ่งคาดหวังอะไรไม่ได้ ตันไปทุกภาคส่วนจริงๆ
แต่สิ่งที่ขาดหายไปที่ทุกคนเห็นพ้องเหมือนกันคือ “ความเป็นตัวตน” หรือ indentity ซึ่ง ริโอ เฟอร์ดินาน ตำนานกองหลังถึงกับได้ทีแซะว่าก็เพราะปัญหานี้ทำให้ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา “เพื่อนผม” ถึงชะตาขาด
โควต้า UCL กับ แมนฯยูฯ ตอนนี้พูดได้ว่าห่างไกลออกไปทุกทีเพราะลำพังต้องแช่งทีมข้างบนแล้วยังต้องเหนื่อยกับการสู้รบปรบมือกับฟอร์มของตัวเองไปพร้อมๆกัน
การแพ้คาบ้านของ อาร์เซนอล ต่อ ไบรท์ตัน 1-2 และ สเปอร์ส บุกไปถล่ม แอสตัน วิลล่า 4-0 ไม่ได้ทำให้สถานการณ์แตกต่างนักในแง่ของ margin ที่ ยูไนเต็ด ยังตามหลังอันดับ 4 อยู่ 6 แต้มเหมือนเดิม (ต่อให้ “ปืนใหญ่” ชนะนัดตกค้างก็ตาม)
ที่เพิ่มเติมขึ้นมาคือ “คลับไก่” ซึ่งมีประตูได้เสียพุ่งมาเป็น +19 ขึ้นมายึดที่ 4 แทนเจ้าที่เดิมคือ อาร์เซนอล ที่ +9
หมายความว่าตัวละครใหม่ที่ต้องตามไล่ล่ามีประตูได้เสียเพิ่มขึ้นอีก 10 ลูก ในขณะที่ แมนฯยูฯ ยังเป็นรองค่อนข้างมากหากมาถึงจุดที่ต้องนับประตูได้เสียที่ตอนนี้พวกเขามีเพียงแค่ +7
เงื่อนไขที่ขุดขึ้นมานี้แค่เป็น FYI เฉยๆนะครับเพราะผมเชื่อว่า “เร้ดอาร์มี่” ไม่ได้มองไกลถึงตรงนั้นเลย เผลอๆยอมรับสภาพอย่างไม่เป็นทางการไปแล้วด้วย
7 นัดที่เหลือเจอทั้ง ลิเวอร์พูล, อาร์เซนอล และ เชลซี รวมถึงมี ไบรท์ตัน และ คริสตัล พาเลซ 2 ตัวแสบที่จินตนาการได้เลยว่าแฟน “ปีศาจแดง” มีเรื่องให้ด่าให้ระบายไปอีกร่วม 2 เดือนแน่ๆครับ...
สถิติ สถิติ สถิติ
แมนฯยูฯ ชนะแค่ 47% ใน พรีเมียร์ลีกภายใต้การทำทีมของ ราล์ฟ รังนิค (ชนะ 8 จาก 17 เกม) เป็นค่าเฉลี่ยต่ำที่สุดในบรรดากุนซือทุกคนในรายการนี้เลยทีเดียว
มาร์คัส แรชฟอร์ด ลงเล่นเกม พรีเมียร์ นัดที่ 220 ในวัย 24 ปีกับอีก 160 วัน เขาเป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดที่แตะตัวเลข 200 ให้ แมนฯยูฯ ในรายการนี้ ขึ้นแท่นอันดับ 1 แทน ไรอัน กิกส์ (24 ปีกับอีก 295 วัน)
2 ประตูและยิงชนเสา+คานอีก 3 ของ ติโม แวร์เนอร์ ในเกมพบ เซาธ์แฮมป์ตัน ได้สร้างสถิติใหม่เป็นนักเตะคนแรกที่ทำได้แบบนั้นในเกมเดียวกันสำหรับ 5 ลีกใหญ่นับตั้งแต่ ปิแอร์ เอเมริค โอบาเมยอง ทำไว้กับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ เมื่อเดือนกันยายน 2017 (3 ประตูและยิงชนเสา+คานอีก 3)
ซน เฮืองมิน เป็นนักเตะที่ยิงประตูมากที่สุดในฤดูกาลนี้หากไม่รวมจุดโทษ
17 - ซน เฮืองมิน
15 - โม ซาลาห์
14 - ดิโอโก้ โชต้า
12 - ซาดิโอ มาเน่
10 - เคน, KDB, วาร์ดี้, โรนัลโด้
แฮร์รี่ เคน แอสซิสต์ลูกที่ 21 ในพรีเมียร์ลีกให้ ซน โดยมีเพียง แฟร็งค์ แลมพาร์ด เท่านั้นที่แอสซิสต์ให้เพื่อนร่วมทีม (คนเดิม) มากกว่าเขา (ดิดิเยร์ ดร็อกบา 24 ประตู)
ซน ยิงประตูด้วยเท้าซ้ายใน พรีเมียร์ลีก ไปแล้ว 34 ประตูโดยมีนักเตะคนเดียวที่ถนัดขวาแต่ยิงซ้ายมากกว่า คนๆนั้นคือ แฮร์รี่ เคน เพื่อนร่วมทีมนั่นเอง (39 ลูก)
ฮูโก้ โญริส เซฟ 7 หนใน 45 นาทีแรกในเกมพบ แอสตัน วิลล่า โดยนับตั้งแต่มีการเก็บสถิติในฤดูกาล 2006-07 นายทวาร “น้ำหอม” เป็นคนแรกของนักเตะ สเปอร์ส ที่เซฟในครึ่งแรกมากขนาดนี้
เชลซี ชนะเกมเยือนในทุกรายการมาแล้ว 7 นัดติดต่อกัน เป็นสถิติที่ยาวนานที่สุดของสโมสรร่วมกับ 2 ครั้งก่อนหน้านี้คือในเดือนเมษายน 1989 และพฤศจิกายน 2019
เซาธ์แฮมป์ตัน เสีย 4 ประตูใน พรีเมียร์ลีก ในครึ่งเวลาเดียวเป็นครั้งที่ 21 โดย 7 ใน 21 ครั้งเกิดขึ้นในยุคของ ราล์ฟ ฮาเซนฮุตเทิล (คิดเป็น 33%)
“สิงห์บลู” นำ “นักบุญ” 4-0 ใน 31 นาที เป็นสถิติ พรีเมียร์ ยิงไวที่สุดในเกมเยือนนับตั้งแต่พวกเขาเคยครองสถิตินี้ไว้อย่างยาวนานเมื่อเดือนตุลาคมหลังกด โบลตัน 4 เม็ดใน 27 นาที
เมสัน เมาท์ ทั้งยิงและจ่ายในเกมเดียว (เฉพาะ พรีเมียร์) เป็นหนที่ 5 ในซีซั่นนี้ ไม่มีนักเตะคนไหนทำได้มากกว่าเขาในซีซั่น 2021-22 อีกแล้ว (เท่า โม ซาลาห์)
แก้ไขล่าสุดโดย เบน ฟรีคิก เมื่อ Sun Apr 10, 2022 14:28, ทั้งหมด 1 ครั้ง
โหวตเป็นกระทู้แนะนำ