รูปแบบการเอาตัว Arteta เข้ามาคุมทีมเป็น Story เดียวกับ Sean McVay จริงครับ แต่น่าจะไปไม่ถึงระดับ Sean McVay เพราะรายนั้นคือเจ้าพ่อเกมบุกของลีก NFL
จริงๆ ในฐานะที่ผมดู NFL นะ ผมรู้สึกว่าปัญหาใหญ่ๆ ของโลกฟุตบอลในยุคปัจจุบันคือบรรดา HC ที่มาคุมทีมส่วนใหญ่ในระยะหลังๆ มักจะมาในรูปแบบสตาร์ดัง แขวนสตั๊ดแล้วไปสอบ License แล้วกระโดดไปลองงานคุมทีมในลีกล่างๆ เลย แล้วถ้ามันเกิดผลงานดีก็จะได้มาคุมทีมที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แต่ถ้าใครที่เป็นนักเตะที่มีชื่อเสียงก็จะสามารถกระโดดข้ามขั้นมารับงานกับทีมใหญ่ๆ ได้ทันที แล้วหลายคนก็ล้มเหลว ซึ่งตรงนี้แหละที่ผมรู้สึกว่าทำไมถึงไม่ไปสมัครงานทำงานกับบรรดาทีมต่างๆ เป็นโค้ชในทีมก่อน แล้วค่อยไต่เต้าเป็นมือซ้าย มือขวา โค้ชทีมเยาวชน โค้ชทีมสำรองให้กับบรรดาโค้ชดังๆ ของลีกเพื่อเก็บประสบการณ์ก่อนจะขยับสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้น ซึ่งประสบการณ์ทั้งหลายจะทำให้โอกาสที่จะพลาดมันน่าจะลดลง อันนี้ดูจากโค้ชดังๆ ในปัจจุบันหลายๆ คนก็เดินทางนี้ เช่น เป๊ป สมัยที่ไต่เต้าที่บาร์เซโลน่า ก็เป็นทีมงานของ Frank Rijkaard มาก่อน หรือบรรดาโค้ชเยอรมันหลายๆ คนก็เป็นศิษย์ของโค้ชเยอรมันเก่งๆ ในอดีต ผมรู้สึกว่าเออ ทางสายนี้มันเวิร์กนะ
.
ขณะที่ NFL บรรดา HC ทั้งหลายกว่าจะไต่เต้าขึ้นมาเป็น HC ได้ ต้องไต่เต้ากันพอสมควร บางคนไปทำงานกับทีมมหาวิทยาลัย บางคนก็ทำงานให้กับทีมในลีก อาจจะเป็นโค้ชเฉพาะตำแหน่งแล้วค่อยขยับๆ ตำแหน่ง มาเป็นโค้ชทีมบุก โค้ชทีมรับ หรือแม้กระทั่งผู้ช่วยเฮดโค้ช แล้วถึงจะขยับต่อมารับตำแหน่ง HC ได้ แต่บางคนก็ไปไม่รอดตั้งแต่เริ่ม ทำงานเป็นโค้ชทีมบุกแต่ สร้างทีมบุกไม่ได้เรื่องก็สามารถตกงาน ต้องกลับไปเริ่มนับ 1 จากตำแหน่งโค้ชเล็กๆ ใหม่วนไปเรื่อยๆ
.
ใน NFL มันจะมี Coaching Tree อยู่ ซึ่งมันน่าสนใจนะ เพราะ Coaching Tree มันจะเป็นการเล่าเรื่องต่อๆ เหมือนสาแหรกครอบครัว อย่าง A เป็นลูกศิษย์ของ B > B ก็เป็นลูกศิษย์ของปรมาจารย์ C > C ก็เป็นลูกศิษย์ของปรมาจารย์ D ไปเรื่อยๆ ซึ่งมันจะเป็นรูปแบบเอกลักษณ์มาเลยว่าโค้ชคนนี้ เรียกแผนแบบนี้ จะเป็นโค้ชสไตล์ไหน เพราะเป็นศิษย์ของคนนั้นๆ อะไรทำนองนี้
อย่างในรูปนี้ก็เป็นตัวอย่าง Coaching Tree สายของ Bill Walsh ยอดโค้ชของทีม San Francisco 49ers ในยุคปี 1980 ที่พาทีมคว้าแชมป์ Super Bowl ได้ 3 สมัย บรรดาลูกศิษย์ของแกตลอดเวลาที่ทำงานก็ไปรับงานคุมทีมอื่นๆ จนประสบความสำเร็จและปั้นศิษย์รุ่นต่อๆ ไปอีกหลายรุ่น อย่าง Sean McVay ก็เป็นรุ่นลูกศิษย์ของ Jon Gruden แต่หลังจากนั้น มีการไปเก็บประสบการณ์เพิ่มด้วยการไปรับงานเป็นโค้ชปีก เป็นหนึ่งในทีมงานชุดโค้ชทีมบุกที่มี Jay Gruden(น้องชายของ Jon Gruden) เป็นหัวหน้าของทีม Washington Redskins ที่มียอดโค้ชอย่าง Mike Shanahan เป็น Headcoach ก่อนจะได้มารับงานที่ Rams
.
กลับมาที่ Mikel Arteta ผมเลยมองว่าบางทีการที่ front office ของ Arsenal ตอนที่เอา Mikel Arteta มาคุม อาจจะมองว่าในเวลานั้นเป็นมือขวาของ Pep Guardiola ที่ Manchester City มาก่อน และผลงานของ Manchester City ก็ดี ก็เลยอยากเอาประสบการณ์ที่ได้ร่วมงานกับ Pep Guardiola มาใช้ต่อ แต่มันอาจจะไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่คาดเอาไว้ ส่วนหนึ่งที่ผมมองว่ามันไม่เหมือน NFL เลยทีเดียวก็คือลักษณะของผู้ช่วยในกีฬาฟุตบอล ไม่เหมือนผู้ช่วยในกีฬาอเมริกันฟุตบอล ผู้ช่วยในกีฬาฟุตบอลในหลายๆ ครั้งมันคือผู้ช่วยตรงตามความหมายเลย คือตำแหน่งที่ปรึกษา ช่วยดูแลอะไรทำนองนั้นแต่อาจจะไม่มีพาวเวอร์ในการสั่งการ เรียกแผนโดยตรง แต่ของอเมริกันฟุตบอล มันคือตำแหน่งที่เรียกว่า Coordinator ซึ่งในหลายๆ ทีมมันคือคนที่รับผิดชอบในการเรียกแผนเลย ยกตัวอย่างอย่างทีม Los Angeles Rams ของ Sean McVay จะเห็นว่า Sean McVay จะรับผิดชอบในการเรียกแผนในเวลาที่ทีมเป็นฝ่ายได้บุก พอสลับเป็นทีมกำลังเล่นเป็นฝ่ายรับ ก็จะปล่อยให้ Raheem Morris, Defensive coordinator จะเป็นคนเรียกแผนเกมรับเอง แปลว่าเกมรับจะเล่นยังไงขึ้นอยู่กับ Raheem Morris ไม่ใช่ Sean McVay ดังนั้นในกรณีนี้ผมเลยมองว่าบรรดาผู้ช่วยโค้ช หรือมือขวาของกีฬาอเมริกันฟุตบอลมีพาวเวอร์สูงกว่าในกีฬาฟุตบอล ดังนั้นถ้าผลงานดีก็การันตีฝีมือและโอกาสที่ถ้าได้ตัวไปคุมทีมก็มีโอกาสประสบความสำเร็จได้มากกว่า
อำนาจ ความเชื่อ ความรัก คือ 3 สิ่งที่ตรรกะมนุษย์ไม่สามารถอธิบายได้ ดังนั้นอย่าถามว่าทำไมกับเรื่องพวกนี้