ไว้คราวหน้า X
ไว้คราวหน้า X
ไม่ต้องแสดงข้อความนี้อีกเลย
ไปหน้าที่ 1
ไปที่หน้า
GO
ตั้งกระทู้ใหม่
ฝากรูป
ผู้ตั้ง
ข้อความ
ออฟไลน์
ผู้เยี่ยมชม
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 25 Oct 2021
ตอบ: 4194
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Tue Dec 07, 2021 16:13
ถูกแบนแล้ว
อาเตต้าแห่งโลก NFL


ฌอน แม็คเวย์ : โค้ชหนุ่มอายุน้อยสุดประวัติศาสตร์ NFL ที่พาทีมเข้าชิง "ซูเปอร์โบวล์"

เซอร์ แมตต์ บัสบี้ ตำนานผู้จัดการทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แห่งยุค 1940-1960 เคยกล่าวประโยคที่สะท้อนความเก่งกาจของขุนพลปีศาจแดงชุด ‘BUSBY BABES’ ที่สโมสรปั้นขึ้นมาฉายแสงทั้งในอังกฤษและยุโรปว่า “ถ้าคุณเก่งพอ คุณก็แก่พอ”

จะว่าไป คำพูดดังกล่าวนั้นสามารถใช้ได้กับแทบจะทุกวงการ เพราะอัจฉริยะหลายราย ต่างรู้ถึงความสามารถในตัวเองและแสดงมันออกมาได้ตั้งแต่วัยเยาว์ โมซาร์ต ประพันธ์เพลงครั้งแรกตั้งแต่อายุเพียง 5 ขวบ, เซอร์เกย์ คาร์ยากิ้น หนึ่งในนักกีฬาหมากรุกระดับแนวหน้าของโลก ได้ตำแหน่ง แกรนด์มาสเตอร์ ซึ่งถือว่าสูงสุดของวงการตั้งแต่อายุเพียง 12 ขวบ เช่นเดียวกับ คีลียัน เอ็มบัปเป้ ก็สามารถสร้างชื่อด้วยการนำทีมชาติฝรั่งเศสคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก เกียรติยศสูงสุดแห่งวงการลูกหนังด้วยวัยเพียง 19 ปี

ขณะที่วงการอเมริกันฟุตบอล NFL โดยเฉพาะในภาคงานโค้ชที่ขึ้นชื่อกันถึงเรื่องการใช้บุคลากรผู้มีประสบการข้นคลั่ก หลายคนอาจคิดไม่ถึงว่า กลับมีเฮดโค้ชคนหนึ่ง ซึ่งสามารถพาทีมเข้าสู่รอบเพลย์ออฟได้ตั้งแต่ปีแรกที่คุมทีม และไปไกลยิ่งกว่าเดิมด้วยการนำทีมเข้าไปเล่นในเกมชิงแชมป์ซูเปอร์โบวล์ในปีที่สองของการทำงาน

ที่สำคัญที่สุดคือ อายุของเขาในปัจจุบันยังอยู่ในช่วงวัย 30 ต้นๆ ซึ่งเด็กกว่าผู้เล่นในทีมตัวเองบางคนเสียด้วยซ้ำ…แต่ ฌอน แม็คเวย์ เฮดโค้ชของลอสแอนเจลิส แรมส์ สามารถพิสูจน์ตัวเองและประโยค “ถ้าคุณเก่งพอ คุณก็แก่พอ” ให้เป็นจริงอีกครั้งได้อย่างไร? นี่แหละคือสิ่งที่ Main Stand จะพาไปหาคำตอบ


สายเลือดคนชนคน


ในหลากหลายวงการ เส้นทางอาชีพของสมาชิกในครอบครัวมักจะสืบทอดกันมาเหมือนถูกถ่ายทอดผ่านสายเลือด ซึ่งตระกูลของ ฌอน แม็คเวย์ ก็เข้าข่ายนั้นด้วยเช่นกัน เมื่อ ทิม คุณพ่อของเขาเคยเล่นในทีมรับ ตำแหน่งกองหลังให้กับมหาวิทยาลัยอินเดียน่า ขณะที่ จอห์น คุณปู่ คือรองประธานทีม ซานฟรานซิสโก โฟร์ตี้ไนเนอร์ส ยุคทองที่คว้าแชมป์ซูเปอร์โบวล์ได้ถึง 5 ครั้งในยุค 1980-1990



ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ตัวฌอนเองได้รับการถ่ายทอดสายเลือดนี้มาอย่างเต็มเปี่ยม กับการเติบโตขึ้นมาในฐานะควอเตอร์แบ็คให้กับโรงเรียน มาริสต์ ในรัฐจอร์เจีย ทว่าสิ่งที่ทำให้แม็คเวย์ต่างจากนักกีฬาวัยรุ่นโดยทั่วไปก็คือ ความใฝ่รู้ในศาสตร์ของกีฬาคนชนคนที่มากล้นเสียจนเพื่อนๆ มองว่าเขาเป็น 'เนิร์ด' …

เพราะในยามว่างหลังจากการซ้อมและแข่งขัน แทนที่จะไปเที่ยวเล่นตามประสาวัยรุ่นนักกีฬาเนื้อหอม สิ่งที่แม็คเวย์ทำจนกลายเป็นภาพชินตาของผู้คนที่โรงเรียนในสมัยนั้น คือการไปขลุกตัวกับเหล่าอาจารย์และโค้ช นั่งดูฟิล์มการแข่งขัน เพื่อศึกษาวิชาเพิ่มเติมและวิธีการเอาชนะคู่แข่งนั่นต่างหาก

พอล เอเธอร์ริดจ์ ผู้ช่วยโค้ชทีมบุกสมัยไฮสคูลกล่าวถึงลูกศิษย์คนนี้ว่า "เรามีเด็กพรสวรรค์จำนวนมาก มีควอเตอร์แบ็กที่เก่งๆ ก็ไม่น้อย แต่ไม่มีใครสักคนเลยที่เหมือนฌอน คนที่ผมมองว่านี่แหละ ควอเตอร์แบ็กที่เก่งที่สุด เท่าที่โรงเรียนนี้เคยมี"

"ตรงนี้ผมไม่ได้พูดถึงเรื่องของทักษะนะ ผมพูดถึงความเข้าใจเกมบุก, การอ่านเกมรับ และสิ่งที่สำคัญที่สุด การนำทีมและการสื่อสารให้ทุกคนเข้าใจตรงกัน"

ทว่าจากช่วงไฮสคูลที่เป็นดาวเด่นกับการเป็นควอเตอร์แบ็กตัวจริง ทำสถิติให้กับสถาบันแห่งนี้มากมาย รวมถึงการนำทีมคว้าแชมป์ประจำรัฐและรางวัลผู้เล่นเกมบุกยอดเยี่ยมในปีสุดท้าย ซึ่งชนะแม้กระทั่ง แคลวิน จอห์นสัน ปีกนอกระดับตำนานของ ดีทรอยต์ ไลออนส์ ในเวลาต่อมา ... ชีวิตของแม็คเวย์กลับเจอกับจุดเปลี่ยนอย่างจังเมื่อเข้าเรียนระดับคอลเลจกับมหาวิทยาลัย ไมอามี่ ในรัฐโอไฮโอ เพราะเจ้าตัวไม่สามารถแจ้งเกิดในฐานะปีกนอกตัวสอดได้ตลอด 4 ปีของการเล่น ไม่ต้องสงสัยเลยว่า โอกาสใน NFL ในฐานะผู้เล่นแทบมองไม่เห็น



แต่ในขณะที่เจ้าตัวกำลังคิดไม่ตกว่า “จบไปจะทำอะไรกิน?” … จู่ๆ โอกาสใน NFL ก็มาถึงอย่างไม่คาดคิดทันทีที่เรียนจบด้วยวัย 22 ปี เมื่อปี 2008 เมื่อ จอน กรูเด้น หนึ่งในยอดโค้ชของวงการที่ขณะนั้นคุมทีม แทมป้าเบย์ บัคคาเนียร์ส และเป็นเพื่อนกับครอบครัวแม็คเวย์มานาน ชักชวนฌอนให้เข้ามาเป็นหนึ่งในทีมงานของเขา

"จะมีเด็กสักกี่คนเชียวที่ได้รับโอกาสใน NFL ทันทีที่จบคอลเลจ แถมยังเป็นงานในสายโค้ชด้วย ... ไม่เยอะหรอก" ทิม คุณพ่อของ ฌอน เล่าถึงเรื่องราวในตอนนั้น "จู่ๆ ก็ ... ตูม! ลูกผมได้งานเป็นผู้ช่วยของ จอน กรูเด้น ซึ่งเขาเต็มที่กับงานนี้เอามากๆ เลยล่ะ"


ถ้าคุณเก่งพอ คุณก็แก่พอ

แม้จะได้งานใน NFL อย่างไม่คาดฝันทันทีที่เรียนจบ แต่งานแรกในฐานะผู้ช่วยโค้ชปีกนอกกับทีมบัคคาเนียร์สก็จบลงในเวลาอันรวดเร็ว เมื่อ จอน กรูเด้น ผู้มีพระคุณที่ชักนำเข้าสู่วงการถูกไล่ออกจากตำแหน่ง ซึ่งแน่นอน ทีมงานทุกคนที่เจ้าตัวดึงมาก็ต้องเก็บของออกจากสโมสรไปด้วย



อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : https://mainstand.co.th/452

# กระทู้สุดท้ายของวันนี้

0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
โหวตเป็นกระทู้แนะนำ
ออฟไลน์
ซุปตาร์โอลิมปิก
Status: YNWA#
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 07 Nov 2007
ตอบ: 7696
ที่อยู่: Anfield
โพสเมื่อ: Tue Dec 07, 2021 16:16
[RE: อาเตต้าแห่งโลก NFL]
นาเกลมัน ไม่ได้เหรอครับ
4
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน

ออฟไลน์
ผู้เยี่ยมชม
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 25 Oct 2021
ตอบ: 4194
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Tue Dec 07, 2021 16:26
ถูกแบนแล้ว
[RE: อาเตต้าแห่งโลก NFL]
sixhearts พิมพ์ว่า:
นาเกลมัน ไม่ได้เหรอครับ  


ใช่ครับ 555 แต่เก้เป็นเจ้าของแรม ผมเลยตีว่าเก้คงมองว่าต้าจะเป็นแบบนี้มั้งครับ
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
นักบอลถ้วย ง.
Status: วันที่กาลเวลาถูกแช่แข็งในอากาศ คลื่นเสียงสลายเป็นไ
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 24 Mar 2009
ตอบ: 1988
ที่อยู่: ในสายลม
โพสเมื่อ: Tue Dec 07, 2021 16:53
[RE: อาเตต้าแห่งโลก NFL]
ต้องได้ FA แบบพรี่ต้าก่อนครับถึงเรียกว่า Next Arteta
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ARSENAL

“วันนี้จะไม่มีย้อนคืนกลับมาอีก และใครก็ตามเมื่อพลาดที่จะกิน ดื่ม ลิ้มรส หรือสูดกลิ่นอายของมันก็จะไม่มีวันได้รับโอกาสนี้อีกชั่วนิจนิรันดร์ ดวงอาทิตย์จะไม่มีวันฉายฉานเหมือนเช่นวันนี้... แต่ถึงกระนั้นคุณก็จักต้องเล่นไปตามบทบาท ขับร้องให้ดีที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้”
- Klingsors letzter Sommer (Hermann Hesse)

ออนไลน์
นักบอล ดิวิชั่น 1
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 04 Sep 2013
ตอบ: 9570
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Tue Dec 07, 2021 17:45
[RE: อาเตต้าแห่งโลก NFL]
ปีนี้น่าปลิว เก้ลงทุนเสี่ยงทีมแตกมากๆ ไม่ได้ก็แยกย้าย
2
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
ซุปตาร์โอลิมปิก
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 21 May 2009
ตอบ: 6918
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Tue Dec 07, 2021 19:29
[RE: อาเตต้าแห่งโลก NFL]
รูปแบบการเอาตัว Arteta เข้ามาคุมทีมเป็น Story เดียวกับ Sean McVay จริงครับ แต่น่าจะไปไม่ถึงระดับ Sean McVay เพราะรายนั้นคือเจ้าพ่อเกมบุกของลีก NFL

จริงๆ ในฐานะที่ผมดู NFL นะ ผมรู้สึกว่าปัญหาใหญ่ๆ ของโลกฟุตบอลในยุคปัจจุบันคือบรรดา HC ที่มาคุมทีมส่วนใหญ่ในระยะหลังๆ มักจะมาในรูปแบบสตาร์ดัง แขวนสตั๊ดแล้วไปสอบ License แล้วกระโดดไปลองงานคุมทีมในลีกล่างๆ เลย แล้วถ้ามันเกิดผลงานดีก็จะได้มาคุมทีมที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แต่ถ้าใครที่เป็นนักเตะที่มีชื่อเสียงก็จะสามารถกระโดดข้ามขั้นมารับงานกับทีมใหญ่ๆ ได้ทันที แล้วหลายคนก็ล้มเหลว ซึ่งตรงนี้แหละที่ผมรู้สึกว่าทำไมถึงไม่ไปสมัครงานทำงานกับบรรดาทีมต่างๆ เป็นโค้ชในทีมก่อน แล้วค่อยไต่เต้าเป็นมือซ้าย มือขวา โค้ชทีมเยาวชน โค้ชทีมสำรองให้กับบรรดาโค้ชดังๆ ของลีกเพื่อเก็บประสบการณ์ก่อนจะขยับสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้น ซึ่งประสบการณ์ทั้งหลายจะทำให้โอกาสที่จะพลาดมันน่าจะลดลง อันนี้ดูจากโค้ชดังๆ ในปัจจุบันหลายๆ คนก็เดินทางนี้ เช่น เป๊ป สมัยที่ไต่เต้าที่บาร์เซโลน่า ก็เป็นทีมงานของ Frank Rijkaard มาก่อน หรือบรรดาโค้ชเยอรมันหลายๆ คนก็เป็นศิษย์ของโค้ชเยอรมันเก่งๆ ในอดีต ผมรู้สึกว่าเออ ทางสายนี้มันเวิร์กนะ
.
ขณะที่ NFL บรรดา HC ทั้งหลายกว่าจะไต่เต้าขึ้นมาเป็น HC ได้ ต้องไต่เต้ากันพอสมควร บางคนไปทำงานกับทีมมหาวิทยาลัย บางคนก็ทำงานให้กับทีมในลีก อาจจะเป็นโค้ชเฉพาะตำแหน่งแล้วค่อยขยับๆ ตำแหน่ง มาเป็นโค้ชทีมบุก โค้ชทีมรับ หรือแม้กระทั่งผู้ช่วยเฮดโค้ช แล้วถึงจะขยับต่อมารับตำแหน่ง HC ได้ แต่บางคนก็ไปไม่รอดตั้งแต่เริ่ม ทำงานเป็นโค้ชทีมบุกแต่ สร้างทีมบุกไม่ได้เรื่องก็สามารถตกงาน ต้องกลับไปเริ่มนับ 1 จากตำแหน่งโค้ชเล็กๆ ใหม่วนไปเรื่อยๆ
.
ใน NFL มันจะมี Coaching Tree อยู่ ซึ่งมันน่าสนใจนะ เพราะ Coaching Tree มันจะเป็นการเล่าเรื่องต่อๆ เหมือนสาแหรกครอบครัว อย่าง A เป็นลูกศิษย์ของ B > B ก็เป็นลูกศิษย์ของปรมาจารย์ C > C ก็เป็นลูกศิษย์ของปรมาจารย์ D ไปเรื่อยๆ ซึ่งมันจะเป็นรูปแบบเอกลักษณ์มาเลยว่าโค้ชคนนี้ เรียกแผนแบบนี้ จะเป็นโค้ชสไตล์ไหน เพราะเป็นศิษย์ของคนนั้นๆ อะไรทำนองนี้



อย่างในรูปนี้ก็เป็นตัวอย่าง Coaching Tree สายของ Bill Walsh ยอดโค้ชของทีม San Francisco 49ers ในยุคปี 1980 ที่พาทีมคว้าแชมป์ Super Bowl ได้ 3 สมัย บรรดาลูกศิษย์ของแกตลอดเวลาที่ทำงานก็ไปรับงานคุมทีมอื่นๆ จนประสบความสำเร็จและปั้นศิษย์รุ่นต่อๆ ไปอีกหลายรุ่น อย่าง Sean McVay ก็เป็นรุ่นลูกศิษย์ของ Jon Gruden แต่หลังจากนั้น มีการไปเก็บประสบการณ์เพิ่มด้วยการไปรับงานเป็นโค้ชปีก เป็นหนึ่งในทีมงานชุดโค้ชทีมบุกที่มี Jay Gruden(น้องชายของ Jon Gruden) เป็นหัวหน้าของทีม Washington Redskins ที่มียอดโค้ชอย่าง Mike Shanahan เป็น Headcoach ก่อนจะได้มารับงานที่ Rams
.
กลับมาที่ Mikel Arteta ผมเลยมองว่าบางทีการที่ front office ของ Arsenal ตอนที่เอา Mikel Arteta มาคุม อาจจะมองว่าในเวลานั้นเป็นมือขวาของ Pep Guardiola ที่ Manchester City มาก่อน และผลงานของ Manchester City ก็ดี ก็เลยอยากเอาประสบการณ์ที่ได้ร่วมงานกับ Pep Guardiola มาใช้ต่อ แต่มันอาจจะไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่คาดเอาไว้ ส่วนหนึ่งที่ผมมองว่ามันไม่เหมือน NFL เลยทีเดียวก็คือลักษณะของผู้ช่วยในกีฬาฟุตบอล ไม่เหมือนผู้ช่วยในกีฬาอเมริกันฟุตบอล ผู้ช่วยในกีฬาฟุตบอลในหลายๆ ครั้งมันคือผู้ช่วยตรงตามความหมายเลย คือตำแหน่งที่ปรึกษา ช่วยดูแลอะไรทำนองนั้นแต่อาจจะไม่มีพาวเวอร์ในการสั่งการ เรียกแผนโดยตรง แต่ของอเมริกันฟุตบอล มันคือตำแหน่งที่เรียกว่า Coordinator ซึ่งในหลายๆ ทีมมันคือคนที่รับผิดชอบในการเรียกแผนเลย ยกตัวอย่างอย่างทีม Los Angeles Rams ของ Sean McVay จะเห็นว่า Sean McVay จะรับผิดชอบในการเรียกแผนในเวลาที่ทีมเป็นฝ่ายได้บุก พอสลับเป็นทีมกำลังเล่นเป็นฝ่ายรับ ก็จะปล่อยให้ Raheem Morris, Defensive coordinator จะเป็นคนเรียกแผนเกมรับเอง แปลว่าเกมรับจะเล่นยังไงขึ้นอยู่กับ Raheem Morris ไม่ใช่ Sean McVay ดังนั้นในกรณีนี้ผมเลยมองว่าบรรดาผู้ช่วยโค้ช หรือมือขวาของกีฬาอเมริกันฟุตบอลมีพาวเวอร์สูงกว่าในกีฬาฟุตบอล ดังนั้นถ้าผลงานดีก็การันตีฝีมือและโอกาสที่ถ้าได้ตัวไปคุมทีมก็มีโอกาสประสบความสำเร็จได้มากกว่า

5
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
อำนาจ ความเชื่อ ความรัก คือ 3 สิ่งที่ตรรกะมนุษย์ไม่สามารถอธิบายได้ ดังนั้นอย่าถามว่าทำไมกับเรื่องพวกนี้
ไปหน้าที่ 1
ไปที่หน้า
GO
ตั้งกระทู้ใหม่
กรุณาระบุเหตุผลที่จะแจ้งความ
ผู้ต้องหา:
ข้อความ:
Submit
Cancel
กรุณาเลือก Forum และ ประเภทกระทู้
Forum:

ประเภท:
Submit
Cancel