3 แต้มจากนักเตะสาย content ประเดิมโค้ชใหม่
แม้ ราล์ฟ รังนิค บอส แมนฯยูไนเต็ด ลดความคาดหวังของแฟนบอลด้วยการออกตัวก่อนเกมว่าต้องใช้เวลาอีกนานในการรื้อรูปแบบการเล่นแต่ชัยชนะเหนือ คริสตัล พาเลซ มีสัญญาณบวกเกิดขึ้นมากมาย
ด้วยความใหม่สดมีเวลาคุมทีมซ้อมแค่ 2 วันทำให้ “เดอะ โปรเฟสเซอร์” แกยังไม่กล้าปรับเปลี่ยนตัวผู้เล่นและยึด 11 ตัวจริงชุดเดิมจากวันพฤหัสที่ชนะ อาร์เซนอล 3-2
ในครึ่งแรกโดยเฉพาะ 30 นาทีแรกเป็นการเล่นที่ “เร้ดอาร์มี่” ไม่เคยสัมผัสมานานมากนับตั้งแต่สมัยยุค โอเล่ กุนนาร์ โซลชา
สิ่งแรกที่ผมร่วมรับรู้ไปด้วยคือการยืนตำแหน่งของผู้เล่นดีกว่าเดิมชัดเจน กล่าวคือการยืนแบบ “เข้าใจเกม” ทำให้เพื่อนร่วมทีมส่งบอลและทำชิ่งได้ “เนียน” ขึ้น ไม่ต้องมองหานาน คนรับบอลเอาตัวรอดได้ง่ายขึ้น
ในขณะที่การ “เพรส” ที่แฟนบอลอยากเห็นว่าจะแตกต่างแค่ไหนกับในยุค “เฮียยิ้ม” ซึ่งในสภาพนักเตะที่ยังอาจไม่เอื้อกับการเล่นลักษณะนี้แต่ฟีลลิ่งที่เห็นคือเหมือนผู้เล่นเพรสเพื่อต้องการเอาบอลกลับมาครอบครองจริงๆ (และอย่างพร้อมเพรียง) ไม่ใช่เพรสแบบขอไปที
คริสติอาโน่ โรนัลโด้ แสดงความเป็นมืออาชีพและโชว์ให้น้องๆเห็น ในวัย 36 ปี แก “เพรส” มากกว่าเด็กๆหลายคนจนขาอ่อนในช่วงท้ายเกม
ผมอ่านบทวิเคราะห์ของ เดลี่ เมล์ ที่อธิบายท่อนนึงสั้นๆว่า ผู้เล่น ยูไนเต็ด กระหายและดูแฮปปี้มากกว่าในยุค “เฮียยิ้ม” กับการกดคู่แข่งใน “แดนบน”
ระบบการเล่นในวันนี้จากแผนผังที่ขึ้นมาก่อนเกมเป็น 4-3-3 แต่เมื่อเล่นไปแล้วเราจะเห็นได้ว่าแบ็ค 2 ฝั่งของ “ปีศาจแดง” ดันสูงจนกลายเป็นปีกทำให้ระบบถูกตัดต่อพันธุกรรมเป็น 4-2-2-2
โดยตัวรุก 2+2 เป็นหน้าสุด ค.โรนัลโด้ กับ มาร์คัส แรชฟอร์ด ยืนใกล้กัน ส่วน เจดอน ซานโช่ กับ บรูโน่ จะยืนขนาบเพื่อเวลาบุกจะได้ “หมุน” ตามสถานการณ์
การเล่นแบบนี้จะไม่ไปทับกับ “แบ็ค” ที่ขึ้นมาเสมือนเป็นปีกแต่เมื่อจังหวะตันๆทั้ง บรูโน่ และ ซานโช่ จะเข้ามาช่วยอีกที
เมื่อรุกลุยกัน 4 ตัว กลางรับ 2 คือ เฟร็ด และ สก็อตต์ แม็คโทมิเนย์ ต้องระแวดระวังเพื่อ cover ช่องโหว่ตรงแบ็ค
การสร้างโอกาสการเข้าทำของ ยูไนเต็ด ในครึ่งแรกได้กลิ่นอายแบบเก่าๆ อาจยังห่างจากยุคทองแต่ก็ดีกว่ายุค “เฮียยิ้ม” อย่างเห็นได้ชัด
แต่อย่างที่บอกครับเจ้าถิ่นเริ่ม “ดร็อป” จาก 30 นาทีแรกลงมาแต่ยังเป็นสถานการณ์ที่ควบคุมได้เนื่องจากต้องยอมรับว่า คริสตัล พาเลซ ของ ปาทริค วิเอร่า เกมรุกค่อนข้างผิดฟอร์ม
วิลเฟร็ด ซาฮา ที่เพื่อนมักมองหาเป็นคนแรกถูก ดิโอโก้ ดาโลต์ ที่นับวันยิ่งเล่นยิ่งดีและคนที่ควรกังวลที่สุดตอนนี้หนีไม่พ้น อาร่อน วาน-บิสซาก้า
เช่นเดียวกับ คริสเตียน เบนเทเก้ อีกหนึ่งตัวกำหนดการเล่นของ พาเลซ และมีหน้าที่คอยเชื่อมกับ ซาฮา แต่ถูกคู่เซนเตอร์คอยตามเก็บงานจนเล่นไม่ออกและถูกเปลี่ยนตั้งแต่นาที 66
เมื่อ 2 แข้งตัวแบกเล่นไม่เหมือนเดิมทำให้เกมรับ ยูไนเต็ด ไม่ได้เจองานที่หนักระดับสาหัสใดๆแถมห่วงน้อยลงจนดันเกมรุกได้แบบสบายใจ
“เดอะ โปรเฟสเซอร์” อาจต้องใช้เวลาทำความรู้จักลูกทีมจริงๆแหละครับเพราะการเปลี่ยนตัวในนาที 62 ทำให้เกมของ แมนฯยูฯ ถูก “ด้อยค่า” หลังไปเลือกถอด ซานโช่ มากกว่าจะเป็น แรชฟอร์ด ที่ประโยชน์น้อยกว่า
ก่อนเกิดประตูของ เฟร็ด แค่ 2 นาที “รถผ้าป่า” เกือบคว่ำเพราะ จอร์แดน อายิว ดันหมูหกยิงไม่กี่หลาหลุดเสาไกล ถ้าลูกนี้ตุง 1-0 ขึ้นมาอาจถึงคาบ้านเพราะ พาเลซ อุดทั้งทีมเจาะยากแน่นอน
แต่ฟุตบอลมันไม่มีคำว่า “ถ้า” และกลายเป็นวันของ เฟร็ด ที่แฟนบอล SS ตั้งฉายาให้เป็นนักเตะสาย “content” ดันยิงลูกที่ไม่ง่ายเลยกับเท้าข้างไม่ถนัดให้ย้อยเสียบเสา
น่าคิดนะครับสมัย “เฮียยิ้ม” แค่จ่ายบอลให้ตรงเพื่อนยังลุ้นเหนื่อย เรื่องยิงประตูเป็นอะไรที่แฟนบอลไม่ได้เคยคาดหวัง อาจเป็นสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของมนุษย์ก็เป็นได้
ทันทีที่ยิงลูกนี้ความมั่นใจของแข้ง “แซมบ้า” ออร่าออกทันที เห็นได้ชัดว่าการออกบอลการจ่ายหลังจากนั้นเสียงตั่บๆอย่างแม่น
ผมเชื่อว่าระดับ รังนิค อาจเห็นภาพลางๆไปแล้วว่านักเตะคนไหนควรตัวจริงหรือควรนั่งโดยเฉพาะ สก็อตต์ แม็คโทมิเนย์ ที่ผมว่าสไตล์เน้นบ้าพลังแต่ไม่มีเซนส์อาจเป็นคนแรกๆที่หลุดตำแหน่ง
แม้สกอร์อาจจะเฉือนแบบ “เต็มกลืน” แต่นี่คือการปลดล็อกครั้งสำคัญเพราะ พาเลซ คือทีมตัวแสบที่บุกมาชนะที่นี่ 2 ปีติด
รวมถึงในแง่ของการประเดิมโค้ชใหม่นี่คือ 3 แต้มที่ทำลายความกดดันได้อย่างมหาศาล
ในทางกลับกันเป็นการเพิ่มความมั่นใจให้นักเตะไปในตัวเพราะนี่คือการชนะ back to back หรือ 2 เกมติดของพลพรรค “ปีศาจแดง” หนแรกในรอบ 3 เดือน
ดาบิด เด เกอา ซึ่งช่วยชีวิตทีมไม่รู้กี่ครั้งในซีซั่นนี้ได้รับรางวัลแห่งความเพียรพยายามด้วยการเก็บ “คลีนชีต” หนแรกที่ โอลด์แทรฟฟอร์ด
ชัยชนะเกมนี้ทำให้ “ปีศาจแดง” ขยับขึ้นมาอยู่อันดับ 6 และตามอันดับ 4 แค่ 3 แต้มซึ่งถ้ามองจากช่วงที่ไล่แจกแต้มให้คู่แข่งในยุค “เฮียยิ้ม” ช่องว่างแค่นี้ไม่ได้มากมายอะไรเลย
ที่น่าสนใจคือโปรแกรม 3 จาก 5 นัดในเดือนนี้ ยูไนเต็ด มีโอกาสกด “อัลติ” รัวๆเพราะเจอ 3 ทีมท้ายตาราง (18,19,20)
ช่วงเวลาระหว่างนี้ผมเชื่อว่า “เดอะ โปรเฟสเซอร์” จะพยายามใส่แท็คติกส์พร้อมคู่มือที่ไม่ฝืนนักเตะชุดนี้จนมากเกินไปแต่ได้ประสิทธิภาพกลับมาสูงสุดครับ...
สถิติ สถิติ สถิติ
ราล์ฟ รังนิค เป็นกุนซือชาว เยอรมัน คนแรกที่ debut ประเดิม 3 แต้มใน พรีเมียร์ลีก หลังก่อนหน้านี้ทั้ง เฟลิกซ์ มากัธ, เยอร์เก้น คล็อปป์, ยาน ซีเวิร์ต, ดาเนี่ยล ฟาร์เก้ และ โธมัส ทูเคิ่ล ไม่มีใครสามารถทำได้เลย
เฟร็ด ยิง 2 ประตูใน พรีเมียร์ลีก 12 เกมซีซั่นนี้ซึ่งเทียบเท่า 3 ปีแรกกับ “ปีศาจแดง” ที่ยิงได้ 2 เหมือนกันแต่ลงเล่นมากถึง 76 เกมเลยทีเดียว
ในเกมนี้ แมนฯยูฯ แย่งบอลกลับมาครองได้ในพื้นที่สุดมากถึง 12 ครั้ง มากกว่าเกมอื่นๆใน พรีเมียร์ลีก ซีซั่นนี้รวมกันถึง 5 เลยทีเดียว
ดาวิสัน ซานเชส เพิ่งยิงประตูที่ 2 ใน พรีเมียร์ลีกโดยลูกแรกต้องย้อนกลับไปเดือนกุมภาพันธ์ 2019 หรือ 1,029 วันเลยทีเดียว (พบ เลสเตอร์)
เลสเตอร์ เสีย 10 ประตูจากลูกเซ็ตพีซใน พรีเมียร์ลีก ซีซั่นนี้ (ไม่รวมจุดโทษ) มากที่สุดเทียบเท่า คริสตัล พาเลซ
เอซรี่ คอนซ่า เป็นกองหลังคนแรกของ แอสตัน วิลล่า ที่ทำประตูใน พรีเมียร์ลีก นับตั้งแต่ เคียราน คล้าก ทำได้ในปี 2010
แก้ไขล่าสุดโดย เบน ฟรีคิก เมื่อ Mon Dec 06, 2021 02:16, ทั้งหมด 4 ครั้ง
โหวตเป็นกระทู้แนะนำ