#ข้อคิดจากการตรวจจิตเวรเด็ก
‘พริม’ เรียนอยู่ม.4 พ่อแม่พามาตรวจเพราะการเรียนตกลง ก่อนหน้านี้เรียนดีมาตลอด
“ไม่เข้าใจค่ะ ว่าลูกเป็นอะไร ตั้งแต่เด็กทุกคนบอกพ่อกับแม่ว่า ลูกสาวอย่างพริมมีแววฉลาดกว่าเพื่อนๆ ครูอนุบาลก็บอกว่าพริมเรียนเก่งมาก” คุณแม่บอก
.
พริมเป็นลูกคนเดียว ประวัติตั้งแต่เด็กๆ คือ พริมสอบเข้าป.1 ในโรงเรียนที่พ่อแม่มากมายอยากให้ลูกเข้าเรียน โดยสอบได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องมีการช่วยเหลือพิเศษจากพ่อแม่
หลังเข้าเรียน ป.1 พริมก็เรียนได้ดี สอบได้คะแนนดีมาตลอด เป็นลูกสาวที่พ่อแม่ภูมิใจ
“เป็นลูกที่ดีสมชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้เขา”
พ่อแม่บอกกับหมอ (พริม/Prim ภาษาอังกฤษ มีความหมายว่า ‘มีระเบียบ เรียบร้อย เหมาะสม สงบเสงี่ยม’)
.
หลังเรียนจบป.6 พริมก็ได้ไปสอบเข้าโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง ที่พ่อแม่ส่วนใหญ่นิยมให้ลูกๆไปสอบ
แน่นอนพริมสอบเข้าได้ เพราะพริมเรียนเก่ง แต่ใจจริงพริมเองก็ไม่ได้อยากไปเรียนที่นี่เท่าไหร่
โรงเรียนนี้เรียนหนัก การบ้านเยอะมาก พริมคิดถึงเพื่อนๆ ที่โรงเรียนเก่าบางคนด้วย แต่เมื่อพ่อแม่อยากให้ไป พริมก็ยอมไป
จุดเปลี่ยนเริ่มหลังจากพริมเข้าเรียนม.1 พ่อแม่บอกว่าพริมต้องเรียนพิเศษหนักขึ้น (จากเดิมที่เรียนอยู่แล้ว)
.
ช่วงอยู่ม.ต้น พริมต้องเรียนพิเศษทุกวันหลังเลิกเรียนตอนเย็นถึงตอนค่ำ
ไม่ได้กินข้าวเย็นเป็นกิจจะลักษณะ แม่จะซื้อข้าวปั้นสามเหลี่ยม ไม่ก็แซนด์วิช หรือข้าวกล่องแช่เย็นจากร้านสะดวกซื้อให้กินตอนหลังเลิกเรียน ที่ก็ต้องนั่งรถติดอยู่ในรถ
กว่าจะถึงบ้านก็ราวสามทุ่ม และต้องทำการบ้านรายงานจากโรงเรียนให้เสร็จราวๆ ห้าทุ่ม บางครั้งก็เกือบเที่ยงคืน และต้องตื่นเช้าเพื่อไปโรงเรียน นับเวลานอนราวๆ 6 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งน้อยเกินไปกับเด็กวัยอย่างพริม
นอกจากวันธรรมดาที่ต้องเรียนพิเศษ เสาร์อาทิตย์ พริมก็ต้องเรียนเช่นกัน
.
“เด็กคนอื่นเขาก็เรียนกันนะหมอ ไม่เห็นมีปัญหา ลูกก็บ่นว่าเหนื่อย แต่เราก็กลัวว่าเขาจะตามเพื่อนไม่ทัน แล้วม.4 ลูกต้องไปสอบเข้าโรงเรียนใหม่ด้วย”
พ่อแม่พยายามอธิบายเหตุผลที่ให้ลูกเรียนพิเศษเยอะมาก
.
หลังจากที่สอบเข้าในโรงเรียนใหม่ ซึ่งเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียง พริมอยู่ม.4 ต้องเรียนออนไลน์
พิมพ์ต้องปรับตัวใหม่ กับคุณครูใหม่ เพื่อนใหม่ วิชาใหม่ๆ เธอต้องอยู่หน้าจอทั้งวัน
หลังเรียนเสร็จต้องทำการบ้าน ซึ่งเยอะอยู่แล้ว และเรียนพิเศษออนไลน์ต่อ
.
พริมก็เริ่มมีอาการเหม่อ ไม่มีสมาธิ จดงานไม่ทัน บางครั้งก็ขี้ลืมมากขึ้น และอารมณ์หงุดหงิดง่าย คะแนนสอบตกลง
พ่อแม่สงสัยว่าพริมอาจจะมีปัญหาการเรียนที่ต้องรักษาเลยพามาตรวจ
“เราอยากให้ลูกเรียนเก่งๆ จะได้มีอนาคตที่ดี มีงานการดีๆ ทำ”
.
พ่อแม่คาดหวังว่าพริมต้องเรียนหมอ แต่จริงๆ พริมอยากเรียนคณะอื่นมากกว่า
แต่เมื่อบอกพ่อแม่ก็กลายเป็นว่า “ถ้าเรียนเก่งๆแบบนี้ ไม่ได้เรียนหมอก็น่าเสียดาย คนเก่งๆ เขาเรียนหมอทั้งนั้น”
พริมคิดว่าที่เรียนตกลง คงเป็นเพราะเธอพยายามน้อยเกินไป และเริ่มคิดโทษตัวเอง พริมบอกว่าเธอก็พยายามทำอย่างที่พ่อแม่บอกทุกอย่าง แต่ตอนนี้ยอมรับว่าเหนื่อยมาก
.
เด็กหลายคนที่หมอคุยด้วยก็คล้ายๆ พริม จะอย่างไรก็ตามความรู้สึกของพ่อแม่มีอิทธิพลกับเขาเสมอ ลูกทุกคนอยากเป็นลูกที่พ่อแม่ชื่นชมและภูมิใจ
“เพราะรักลูกนะหมอถึงต้องให้เขาเรียนหนัก เราไปรับไปส่งเขาที่โรงเรียน พาไปเรียนพิเศษ นั่งรอเขาทุกวัน เราก็เหนื่อยเหมือนกัน”
หมอไม่ได้สงสัยในความรักที่พ่อแม่มีให้กับพริมหรอก หมอเชื่อว่าพ่อแม่รักพริมมาก
.
จริงๆ แล้ว พริมกำลังอยู่ในภาวะเครียดจากการเรียนที่มากไปและปรับตัวไม่ได้ นอกจากนั้นก็นอนหลับพักผ่อนน้อยเกินไป (Sleep deprivation)
เด็กที่มี Sleep deprivation จะมีอาการไม่มีสมาธิเวลาเรียน ส่งผลให้เกิดปัญหาการเรียนได้ ทางแก้ไขคงไม่ใช่เริ่มแก้ไขจัดการที่ตัวเด็ก หากแต่ต้องอาศัยความช่วยเหลือและความเข้าใจจากพ่อแม่ ให้ลูกได้พักผ่อนนอน( National sleep association แนะนำให้เด็กวัย 6-13 ปี นอนหลับประมาณ9-11 ชม.) และมีเวลาพักผ่อนเป็นส่วนตัวบ้าง คือจะเรียนพิเศษก็ได้ แต่ไม่ใช่ว่าเรียนหนักแบบที่เป็นอยู่ มิฉะนั้น เด็กที่มีความสามารถทางการเรียนเช่นพริม อาจจะกลายเป็นเด็กที่ต่อต้านการเรียนไปเลย หมอก็เคยเห็นอยู่บ่อยๆ
.
สถานการณ์ของพริมตอนนี้เหมือนกับเส้นเชือกที่ถูกขึงให้ตึงจนเกือบจะขาด ทุกอย่างในชีวิตไม่ควรจะตึงหรือหย่อนเกินไป ความสมดุลมีความสำคัญยิ่ง
ในความเป็นจริงการเรียนพิเศษเยอะๆ ก็ไม่ได้กำหนดว่าจะทำให้เด็กเรียนเก่งขึ้นเสมอไป ถ้าเรียนเยอะไปเด็กก็ยิ่งเครียดอีกต่างหาก กลายเป็นเบื่อการเรียนไปเลยก็มี บางคนมีปัญหาทางจิตใจ ซึมเศร้า วิตกกังวล
.
สุดท้ายหมออยากบอกว่า คนเราจะเรียนเก่งหรือไม่เก่งนั้นไม่ได้จะเป็นปัจจัยเดียวที่กำหนดว่าชีวิตจะมีความสุขหรือไม่ หากแต่สุขภาพจิตและสุขภาพกายที่ดีต่างหากที่มีความสำคัญยิ่งในเรื่องของมุมมองต่อสถานการณ์ในชีวิต การมีสุขหรือทุกข์ของคนๆหนึ่ง
ที่น่าเป็นห่วงก็คือ หมอในฐานะจิตแพทย์เด็ก เริ่มพบเด็กที่กำลัง ‘สำลักการเรียน’ แบบพริมมากขึ้นเรื่อยๆ และอายุน้อยลงๆ ด้วย
โดยเฉพาะในช่วงที่ต้องเรียนออนไลน์เด็กขาดการทำกิจกรรมตามปกติ ทำให้ต้องอยู่หน้าจอมากขึ้น ซึ่งเด็กบางคนก็มีปัญหาสุขภาพจิตมากขึ้นตามไปด้วย
.
หมายเหตุ: เรื่องของพริมเป็นเรื่องที่หมอดัดแปลงมา เพื่อไม่ให้มีผลกระทบกับบุคคลที่สาม)
https://www.facebook.com/kendekthai/photos/a.605804576125399/4606578472714636/