ไว้คราวหน้า X
ไว้คราวหน้า X
ไม่ต้องแสดงข้อความนี้อีกเลย
ไปหน้าที่ 1
ไปที่หน้า
GO
ตั้งกระทู้ใหม่
ฝากรูป
30 July 2021 13:24 by Narueta
รอต้อนรับแม่ทัพช้างศึกคนใหม่ “ไทย” หรือ “เทศ” ?




“ยามรัก น้ำต้มผักยังหวาน” ไม่ต่างจากการมาของ “อากิระ นิชิโนะ” ที่แฟนบอลชาวไทยวาดฝันหลังเห็นโปรไฟล์สวยหรูดูดีมีสไตล์

ประมุขลูกหนังไทย เอาใจถึงขนาดบินไปจรดปากกาเซ็นสัญญาเปิดตัวถึงเมืองปลาดิบ เพราะกลัวกุนซือชาวญี่ปุ่นจะหลุดมือ

การแต่งตั้งครั้งนั้น ยังถือเป็นครั้งแรกของ สมาคมฯ ที่ได้ โค้ชชาวเอเชีย ที่ไม่ใช่ คนไทย มาทำหน้าที่หัวหน้าผู้ฝึกสอน

ในวัย 64 ปี ณ วันเซ็นสัญญา (19 ก.ค.2019) อดีตเคยเป็นผู้เล่นตำแหน่งกองกลางให้กับสโมสร ฮิตาชิ (ซึ่งปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อเป็นสโมสร คาชิวา เรย์โซล) ตั้งแต่ปี 1978-1990 โดยตลอด 12 ปี ได้ลงสนามทั้งหมด 143 นัด ยิงไปทั้งสิ้น 29 ประตู

นอกจากนี้ ยังเคยมีชื่อติด ทีมชาติญี่ปุ่น ในช่วงปี 1977-1978 โดยได้โอกาสลงเล่นทั้งหมด 12 นัด ยิงไป 1 ประตู

หลังประกาศแขวนสตั๊ดปี 1990 ในวัย 35 ก็ได้ก้าวสู่เส้นทางสายโค้ชทันที โดยเริ่มคุมทีมชาติญี่ปุ่น รุ่นอายุไม่เกิน 20 ปี ต่อด้วย รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี และมีส่วนพา “ทัพซามูไร” ชุดดังกล่าวคว้าสิทธิ์ไปลุยโอลิมปิก ในปี 1996 ที่สหรัฐอเมริกา

โอลิมปิกครั้งดังกล่าว นิชิโนะ ได้สร้างเซอร์ไพรส์ด้วยการพลิกเอาชนะ ทีมชาติบราซิล ที่อุดมไปด้วยแข้งดังอย่าง โรนัลโด, โรแบร์โต คาร์ลอส, ริวัลโด, เบเบโต ไป 1-0 ในนัดเปิดสนาม ที่สังเวียนออเรนจ์ โบว์ล ไมอามี่ จนถูกกล่าวขานว่า “Miracle of Miami”

หลังจากคุมทีมชาติ นิชิโนะ ก็เริ่มหันมาคุมสโมสรในเจลีก โดยเริ่มจากทีมที่คุ้นเคยค้าแข้งอย่าง คาชิวา เรย์โซล ก่อนพาคว้าแชมป์บอลถ้วย เจลีก คัพ ในปี 1999 พร้อมรับรางวัลผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมเจลีก ในปี 2000 ไปครองเป็นครั้งแรก

จากนั้น ก็ได้โอกาสมาคุม กัมบะ โอซาก้า ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีผลงานโดดเด่นที่สุด หลังพาทีมกวาดแชมป์มากมายทั้ง เจลีก 2005, เจลีก คัพ 2007, เจแปนีส ซูเปอร์ คัพ 2007, เอมเพอร์เรอร์ส คัพ 2008 และ 2009

โดยเฉพาะในปี 2008 สามารถพา กัมบะ โอซาก้า คว้าแชมป์ เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก พร้อมต่อยอดไปถึงการคว้าอันดับ 3 ศึกชิงแชมป์สโมสรโลก จนได้รับรางวัล “โค้ชยอดเยี่ยมเอเชีย” หลังจากนั้นได้โยกย้ายไปคุมทีมอย่าง วิสเซิล โกเบ และ นาโกยา แกรมปัส

จนในปี 2018 นิชิโนะ ได้โอกาสกลับมาคุม ทีมชาติญี่ปุ่นชุดใหญ่ ลุยศึกฟุตบอลโลก 2018 รอบสุดท้าย ที่รัสเซีย แทน วาฮิด ฮาลิลฮอดซิช ที่ถูกไล่ออกก่อนทัวร์นาเมนท์จะเริ่มขึ้น

ในฟุตบอลโลกครั้งนั้น นิชิโนะ ก็ได้สร้างชื่อกระหึ่มด้วยการพาขุนพลซามูไรบลูส์เข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จ จากผลงานชนะ โคลอมเบีย 2-1, เสมอ เซเนกัล 2-2 และแพ้ โปแลนด์ 0-1 ก่อนจะแพ้ ทีมชาติเบลเยียม ไปแบบน่าเสียดายด้วยสกอร์ 2-3 ทั้งที่นำไปก่อนถึง 2-0

หลังจบฟุตบอลโลก นิชิโนะ ได้ประกาศยุติบทบาท และก้าวขึ้นไปเป็นประธานเทคนิคของสมาคมฟุตบอลญี่ปุ่น (JFA) ก่อนจะถูกสมาคมฟุตบอลไทยดึงมาคุมทัพ “ช้างศึก”

ภารกิจแรกของ “อากิระ นิชิโนะ” คือ ฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก รอบ 2 โซนเอเชีย เปิดบ้านเสมอกับคู่ปรับสกุลเหงียน เวียดนาม 0-0 เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2019 ก่อนจะบุกไปถล่ม อินโดนีเซีย 3-0 และกลับมาเฉือน ยูเออี ทีมระดับท็อปของเอเชีย ไป 2-1

ณ เวลานั้น อย่างที่เกริ่น “ยามรัก น้ำต้มผักยังหวาน” กุนซือซามูไร กลายเป็นขวัญใจคนใหม่ของแฟนบอลไทยไปเรียบร้อยแล้ว

ทว่าเส้นทางลูกหนังไม่ได้โรยด้วยยางมะตอยเสมอไป หลังจาก “นิชิโนะ” ต้องพุ่งชนความพ่ายแพ้นัดแรกในถิ่นเพื่อนบ้าน มาเลเซีย 0-1 ก่อนบุกเจ๊า เวียดนาม แบบโนสกอร์ เริ่มแสดงให้เห็นว่าถนนสายนี้เป็นลูกรังไม่ได้ราบเรียบอย่างที่คิด

ยิ่งมาเจอผลกระทบจาก โควิด-19 ทำให้ “ช้างศึก” ต้องทิ้งโอกาสเล่นในบ้าน 2 นัด ไปเตะสนามกลางที่ยูเออี 3 เกมสุดท้าย ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมา เสมอ อินโดนีเซีย 2-2, แพ้ ยูเออี 1-3 และถูก มาเลเซีย ย้ำแค้นส่งท้าย 0-1 จบเส้นทางคัดบอลโลกชนิดที่โลกโซเชียลลุกเป็นไฟ



น้ำต้มผักที่เคยหวาน กลายเป็นขมยิ่งกว่าฟ้าทะลายโจร โดยเฉพาะการชิ่งหนีกลับบ้าน ไม่ร่วมเดินทางกลับไทยพร้อมลูกทีม แม้จะมีเหตุผลยอมรับได้ แต่แฟนบอลส่วนหนึ่งไม่คิดเช่นกัน พร้อมกระแสกดดันให้สมาคมฯ “เปลี่ยนโค้ช” ดังขึ้นเรื่อยๆ

จนในที่สุด เมื่อ นิชิโนะ เดินทางกลับไทยและกำลังอยู่ในช่วงกักตัว สมาคมฯก็ตัดสินใจยกเลิกสัญญา ด้วยเหตุผลขั้นพื้นฐาน ไม่สามารถทำผลงานให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ได้

คำถามตามมาคือ ทำไม? สมาคมฯไม่ประเทศแยกทางตั้งแต่จบภารกิจคัดบอลโลก แต่กลับรอให้ นิชิโนะ บินมาโดนเชือด

อีกคำถามตามมาคือ หลังจากนี้ สมาคมฯ จะยังคงเลือกลงทุนกับ “โค้ชนอก” หรือจะกลับมาใช้บริการ “โค้ชไทย” ?? เพื่อรันภารกิจที่จ่อคิวทั้ง AFC U-23 รอบคัดเลือก ที่มองโกเลีย และเอเชี่ยน คัพ 2023 รอบคัดเลือก

ย้อนอดีตกลับไป ทีมชาติไทยเคยใช้กุนซือต่างชาติมาแล้ว 14 คน แต่ อากิระ นิชิโนะ คือกุนซือเอเชียคนแรกในประวัติศาสตร์ของทัพ “ช้างศึก”

ก่อนหน้านี้ 13 คน ประกอบไปด้วย กุนเธอร์ กลอมป์ (เยอรมัน 2511-2518), เพเทอร์ ชนิทเกอร์ (เยอรมัน 2519-2521), แวร์เนอร์ บิคเคลเฮาพท์ (เยอรมัน 2522-2524), บัวร์กฮาร์ด ซีเซอ (เยอรมัน 2528-2529), คาร์ลอส โรแบร์โต คาร์วัลโญ (บราซิล ครั้งแรก 2532-2534, ครั้งที่สอง 2546-2547), ปีเตอร์ สตัปป์ (เยอรมัน 2535-2537), เดทท์มาร์ คราเมอร์ (เยอรมัน 2540), ปีเตอร์ วิธ (อังกฤษ 2541-2545), ซิกกี้ เฮลด์ (เยอรมัน 2547-2548), ปีเตอร์ รีด (อังกฤษ 2551-2552), ไบรอัน ร็อบสัน (อังกฤษ 2552-2554), วินฟรีด เชเฟอร์ (เยอรมัน 2554-2556) และ มิโลวาน ราเยวัช (เซอร์เบีย 2560-2562)

เท่าที่เปิดแฟ้มดูประวัติ น่าจะมีเพียง 2 คนเท่านั้นที่ทำผลงานโดดเด่น คือ “คาร์ลอส โรแบร์โต คาร์วัลโญ่” กุนซือแซมบ้าหนึ่งเดียวที่ไทยเคยมี สามารถพา “ช้างศึก” คว้าอันดับ 4 เอเชียนเกมส์ 1990 รวมทั้งแชมป์คิงส์ คัพ 2 สมัย ในปี 1989 และ 1990

อีกรายคือ ปีเตอร์ วิธ กุนซือชาวอังกฤษคนแรกในประวัติศาสตร์ของไทย ที่พาทีมผ่านเข้ารอบ 10 ทีมสุดท้ายเอเชีย ในฟุตบอลโลก 2002 รอบคัดเลือก ได้เป็นครั้งแรก รวมถึงอันดับ 4 เอเชียนเกมส์ 1998 ที่ไทย, แชมป์ซีเกมส์ 1999 ที่มาเลเซีย และแชมป์อาเซียน คัพ 2 สมัย ในปี 2000 กับปี 2002

ที่เหลือนอกนั้นไม่ เจ๊า หรือ เจ๊ง!!!

แต่ในฐานะแฟนบอลคนหนึ่ง คงได้แค่รอดูการเปิดตัว “กุนซือคนใหม่” เพราะไม่ว่า สมาคมฯ จะจิ้ม “โค้ชไทย” หรือ “เทศ” ก็คงต้องให้กำลังใจ ส่วนผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร? ค่อยว่ากัน...


1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
โหวตเป็นกระทู้แนะนำ
ไปหน้าที่ 1
ไปที่หน้า
GO
ตั้งกระทู้ใหม่
กรุณาระบุเหตุผลที่จะแจ้งความ
ผู้ต้องหา:
ข้อความ:
Submit
Cancel
กรุณาเลือก Forum และ ประเภทกระทู้
Forum:

ประเภท:
Submit
Cancel