บทสัมภาษน้องหงษ์ ผู้ป่วยโควิด วัย 19 ปี ที่ต้องดูแลน้องๆอีก4คนในห้องเช่า
“หนูน้อยใจนะ ทำไมชีวิตคนธรรมดาแบบเรามันไม่มีใครสนใจเลย มันเหมือนชีวิตเราไม่มีค่าอะไรเลยหรอ โทรไปเบอร์นั้นเบอร์นี้ ก็ถูกโยนไปมา คิดในใจเราก็คนนะ น้องสาวก็ร้องไห้แล้วตอนติดต่อใครไม่ได้ เพราะอาการแม่หนูไม่โอเคแล้ว เสียงหอบเหนื่อย ใจเราไม่ดีแล้ว เป็นห่วงแม่ อยากให้แม่ได้เตียงไวๆ
.
“ตอนที่รู้ว่าแม่ติดโควิด หนูก็พยายามค้นหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ท ทั้งโทรและส่งข้อความ เขาบอกว่าอยู่เขตนี้ต้องไปลงทะเบียนตรงโน้น พอโทรไปก็บอกว่าต้องไปอีกที่ เหมือนถูกโยนไปเรื่อยๆ แม่หนูทำงานเป็นแม่บ้านทำความสะอาด เราก็ไม่ค่อยมีเงิน เติมเงินค่าโทรศัพท์ทีละ 20 บาท 40 บาท หมดเงินค่าโทร ค่าเน็ทหลายร้อยบาท ใช้เวลาอยู่หนึ่งสัปดาห์เต็มกว่าแม่หนูจะได้เตียง
.
“ตอนนั้นหนูก็กังวลว่าจะติด เพราะใกล้ชิดแม่ แล้วหนูก็เริ่มมีอาการเป็นไข้ ไอ จาม จมูกไม่ค่อยได้กลิ่นเหมือนกันแล้ว หนูอายุ 19 ปี อยู่กับน้องสาวอายุ 14 ปี พอดีน้าชายครอบครัวเขาแยกทางกัน เลยเอาลูกอายุ 11 ขวบ , 9 ขวบ และ 3 ขวบมาฝากหนูเลี้ยง เท่ากับว่าหนูดูแลน้องอีก 4 คนอยู่ในห้องเช่าแคบๆ
.
“ตัดสินใจว่าหนูก็ต้องตรวจ เลยไปกับน้องชายที่อายุ 9 ขวบเพราะเขาเริ่มมีอาการเป็นไข้เป็นหวัด ปรากฏว่าเขาตรวจให้แต่หนู ส่วนน้องชายไม่ยอมตรวจให้ หนูก็ยืนยันว่าคนในครอบครัวติดและใกล้ชิดกัน เขาก็ยืนยันว่าไม่ตรวจให้เด็ก หนูก็งงว่าทำไมเป็นแบบนั้น ในเมื่อน้องก็เสี่ยงติดเชื้อ
.
“ระหว่างรอผลตรวจ หนูกับน้องอีก 4 คน ก็กักตัวกันอยู่ในห้องเช่า ใช้การสั่งของจากร้านสะดวกซื้อให้มาส่ง ซื้อพวกข้าวสาร ปลากระป๋อง ไข่ไก่ นมของน้องคนเล็ก ครั้งละ 300-400 บาท ขนมไม่ได้ซื้อให้น้อง เพราะต้องเซฟเงินเอาไว้ ก็ซื้อเป็นขนมปังกับนมข้น มันกินได้เยอะ หลายวัน พยายามจะซื้ออะไรที่มันกินแล้วหนักท้อง
“จนโรงพยาบาลโทรมาบอก แจ้งผลว่าหนูติดเชื้อ เขาให้เก็บกระเป๋ารอจะมีรถพยาบาลมารับ ตอนนั้นหนูกังวลว่าน้องๆจะอยู่กันยังไง น้องยังเด็กจะดูแลตัวเองยังไง โทรหาน้าชาย ซึ่งเป็นพ่อของน้องทั้ง 3 คน เขาก็ไม่มีเงินโอนเงินมาครั้งละร้อย ไม่สามารถรับลูกไปอยู่ด้วยได้ เขาก็ทำงานโรงงาน ถ้ารับลูกที่มีความเสี่ยงก็ต้องหยุดงาน ไม่มีรายได้ มันเหมือนเราไม่มีทางออกทางไหนได้เลย
.
“น้าชายก็พยายามหาทางออก เขาทักไปหลายเพจ ว่าครอบครัวเจอเหตุการณ์แบบนี้ ที่เด็กๆ จะไม่มีผู้ใหญ่ดูแล เพราะต้องไปรักษาตัว เพจราชการหลายเพจไม่มีคนตอบและไม่มีคนอ่าน จนทักมาที่เพจมูลนิธิกระจกเงา แล้วมีเจ้าหน้าที่โทรกลับมาหาหนู แล้วลงพื้นที่เอาอาหารมาให้ หนูดีใจที่มีคนรู้เรื่องของหนูแล้ว น้องๆ จะมีอาหารกินแล้ว ถ้าหนูต้องไปโรงพยาบาลจะมีคนรู้เรื่องน้อง แล้วน้องๆ จะไม่ถูกทิ้งอยู่ในห้อง
.
“หนูคิดไว้ก่อนแล้วว่า ถ้าเรื่องของหนูและน้องๆ ยังไม่มีหน่วยงานไหนรู้ ว่าน้องๆ จะต้องอยู่กันเองตามลำพัง หนูก็จะไม่ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล แต่ลึกๆ ในใจหนูก็กลัวว่าเราจะเป็นอะไรหนักมั้ย จะหายจากโควิดมั้ย มันสับสนไปหมด ในหัวมันตีกันไปหมด มันไม่มีทางให้เลือกเลย จนพี่ๆ มูลนิธิกระจกเงา มาหาหนู หนูรู้เลยว่าหนูไม่ถูกทิ้งแน่ๆ
.
“ตอนเก็บกระเป๋าออกจากห้อง น้องๆ ซึม บอกว่าให้รีบไปรักษา รีบหายไวๆ จะได้กลับมาอยู่บ้านด้วยกัน ตอนนั้นโรงพยาบาลบอกว่าให้หาทางมาโรงพยาบาลเองให้ทันภายในสองชั่วโมง หนูมีเงินทั้งตัวอยู่สามร้อยบาท ก็เรียกแท็กซี่ผ่านแอพ พิมพ์บอกเขาว่าหนูติดโควิดจะไปโรงพยาบาล เขาก็มารับและต่างฝ่ายต่างป้องกันตัวเอง ระหว่างนั้นก็โทรหาน้องตลอดเพราะเป็นห่วงเขา
.
“มันยากมากเลยนะ การเป็นคนธรรมดาไม่มีชื่อเสียงแบบเรา มันไม่มีใครมาสนใจ คนที่เขามีชื่อเสียง มีแต่คนยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ เราไม่มีอะไรเลย แต่เราก็เป็นคนเหมือนกันนะ สุดท้ายคนธรรมดาแบบเราก็ต้องอดทนและต่อสู้เอง”
————————————————— ———————
น้องหงษ์ ผู้ป่วยโควิด วัย 19 ปี
ที่ต้องดูแลน้องๆอีก4คนในห้องเช่าใจกลางเมืองหลวง
————————————————————————
#คืบหน้าล่าสุด มูลนิธิกระจกเงา ประสานไปยังกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ (พม.) เพื่อช่วยเหลือเด็กทั้ง 4 รายแล้ว โดยวันนี้ พม. ประสานนำเด็กทั้ง 4 คนไปตรวจโรค ผลตรวจไม่พบเชื้อโควิด และจะพาเด็กๆไปคุ้มครองดูแลที่ state quarantine ต่อไป
.