นี่ คือ เรื่องราวของ “เดอะ ตุ๊ก” ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน กองหน้าเบอร์ 1 ตลอดกาลทีมชาติไทย...ความอัจฉริยะของเขาไร้เทียมทาน และไม่มีใครกล้าปฏิเสธ อาจพูดได้ว่าเขา คือ นักฟุตบอลที่มีพรสวรรค์สูงที่สุดเท่าที่ประเทศไทยเคยมีมา… แต่พรสวรรค์จากพระเจ้าที่มอบให้กับเท้าของเขาทั้งสองข้างกลับไม่ได้ช่วยให้เขาไปถึงจุดสูงสุดของวิถีนักฟุตบอล และมันกลายเป็นเรื่องที่เขายอมรับว่า… ตัดสินใจผิดพลาดมากที่สุดในชีวิต
ย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ. 2502…อัจฉริยะลูกหนังไทย ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน ลืมตาดูโลก ที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ภายใต้ครอบครัวทหารแสนอบอุ่น และฟุตบอล คือ เพื่อนสุดวิเศษของเขา
“เด็กบ้านนอก สมัยก่อนไม่ต่อยมวย ก็เตะฟุตบอล” ปิยะพงษ์ เริ่มเล่าเรื่องราวของเขาให้กับโฟร์โฟร์ทู
“แต่ฟุตบอล 1 ลูก มันเล่นได้ 22 คน ผมก็เลยชอบเล่นฟุตบอลมากกว่า เตะกับเพื่อนๆ ที่เป็นลูก-หลาน ทหารอากาศเหมือนกันในค่ายนั่นแหละ”
กระทั่งได้เข้าสู่ชั้นมัธยมศึกษา เด็กชาย ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน ได้เข้าศึกษาที่โรงเรียนสารสิทธิ์พิทยาลัย ที่อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี มันเป็นโรงเรียนประจำ และเขาเริ่มได้ติดตามฟุตบอลต่างประเทศจริงๆจังๆ ครั้งแรกที่นั่นเอง...
“ด้วยความที่เราเป็นนักเรียนประจำ มันจึงทำให้เราได้ดูโทรทัศน์บ้าง...เมื่อก่อนทีวีเป็นขาว-ดำ และเวลาว่างช่วงหัวค่ำ เราจะไม่เปิดข่าวดูกันหรอก เด็กๆยุคนั้นไม่มีใครสนใจข่าว (หัวเราะ) เราจะดูกันแต่ฟุตบอล เขาจะมีเทปฟุตบอลบุนเดสลีก้า เยอรมัน ให้ดู มีฟุตบอลอังกฤษให้ดู สมัยนั้นทีมอย่าง อิปสวิช, โคเวนทรี และลิเวอร์พูล ดังมาก และลิเวอร์พูล คือ ทีมที่เราชอบ เมื่อตอนเด็กๆ แต่บอกตามตรงว่า นั่งดูฟุตบอลเอามันอย่างเดียว รู้สึกแค่ว่าดูแล้วมันสนุก”
“ตอนนั้น… เรายังไม่มีวี่แววว่าจะเก่งด้วยซ้ำ บอลจังหวัดเรายังไม่ติดเลย อาจเป็นเพราะเราอยู่อำเภอที่ห่างไกลจากตัวเมืองด้วยมั้ง อย่าว่าจะเข้าเมืองไปเตะฟุตบอลเลย แค่หารถเข้าไปธรรมดายังลำบาก”
แต่เพราะด้วยความที่เป็นลูกชายของครอบครัวทหาร… ชีวิตของ ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน จึงถูกผลักดันให้รับราชการทหารเช่นกัน เขาเข้าคัดตัวเป็นทหารอากาศ ในโควต้านักฟุตบอลท่ามกลางผู้เข้าร่วม 20,000 คน และนั่นกลายเป็นจุดเปลี่ยนของเขาไปตลอดกาล
“นักฟุตบอลต่างจังหวัดส่วนใหญ่ที่เข้ามาเล่นฟุตบอลในกรุงเทพฯ ก็มีอยู่ไม่กี่แห่ง คือ ทหารอากาศ ธนาคารกรุงเทพฯ สโมสรราชวิถี และสโมสรฟุตบอลราชประชาฯ... ธนาคารกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่นักฟุตบอลมาจากภาคใต้, ราชประชาฯ ส่วนใหญ่มาจากอีสาน แต่ทหารอากาศมาจากทั่วประเทศ เพื่อมาหวังติดโควต้านักกีฬาช้างเผือก สมัยนั้นคนมาคัดเป็นเป็นหมื่นๆ ร่วม 20,000 คนได้ คัดมาเรื่อยๆ เหลือ 5,000 เหลือ 2,000 เหลือ 200 จนเหลือ 22 คน”
แน่นอน… ปิยะพงษ์ คือ 1 ใน 22 คนผู้อยู่รอดจากการคัดตัว แต่มัน คือ จุดเริ่มต้นของเส้นทางแห่งอัจฉริยะ ในวัยไม่ถึง 17 ปีเต็ม เขาสร้างความแตกต่างให้กับทีมเยาวชนของทหารอากาศ และได้ก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ของทหารอากาศ ลงเล่นฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน ประเภท ก ตั้งแต่วัย 18 ปี ท่ามกลางนักเตะทีมชาติไทยชุดใหญ่มากมาย แต่หนุ่มน้อยวัยกระเตาะเก่งเกินวัย เขาไร้ความประหม่า ลงไปซัดถึง 12 ประตู คว้าดาวซัลโว และพาทหารอากาศคว้าแชมป์ได้ทันที เมื่อปี พ.ศ. 2520
คำที่ผมท่องไว้อย่างเดียวในใจตอนนั้น คือ สามพัน, สามพัน, สามพัน เพราะเราซ้อมวันหนึ่งได้เบี้ยเลี้ยง 3,000 บาท...ตอนพระอาทิตย์ตกดินผมชอบ แต่พอพระอาทิตย์ขึ้นเท่านั้นแหละ โคตรเกลียดเลย
“ไอ้เด็กหนุ่มคนนี้ คือ ใคร?” นี่คืออารมณ์ของพาดหัวข่าวที่ถูกเขียนลงบนหนังสือพิมพ์ไทยรัฐในยุคนั้น เขาโด่งดังอย่างรวดเร็ว แต่ที่มากกว่านั้น คือ ผลงานในสนามของเขาที่ยิงได้เป็นกอบเป็นกำ จนกระทั่งก้าวไปติดทีมชาติไทย ชุดใหญ่ อย่างรวดเร็ว ท่ามกลางแข้งระดับซุเปอร์สตาร์เมืองไทยยุคนั้น ภายใต้การคุมทีมของ “กุนซือเทวดา” ประวิทย์ ไชยสาม ที่เรียกเขาไปติดทีมชาติไทยชุดเพรสซิเด้นท์ คัพ ที่เกาหลีใต้ เมื่อปี พ.ศ. 2524 และมันกลายเป็นจุดเริ่มต้นเรื่องราวมหากาพย์แห่งตำนาน “เดอะ ตุ๊ก”
“หลังจากติดทีมชาติ ผมก็ยิงประตูมากมาย พาทีมคว้าแชมป์ซีเกมส์ และคิงส์คัพ วันหนึ่งหลังเกมนัดชิงฟุตบอลคิงส์ คัพ ที่ไทยชนะเกาหลีใต้ อาจารย์ ปาร์ค ได้เข้ามาติดต่อผมว่า ลัคกี้ โกลด์ สตาร์ สโมสรของลีกเกาหลีใต้หรือ เอฟซี โซล ในปัจจุบัน ต้องการตัวผม โดยให้ไปทดสอบฝีเท้าก่อน ผมไม่ปฏิเสธเลย ทำไมน่ะเหรอ? ก็เขาให้เงินเดือนเดือนละ 200,000 บาท บวกโบนัสทำประตู แถมเบี้ยเลี้ยงซ้อมอีกวันละ 3,000 บาท ผมไม่ไปก็บ้าแล้ว (หัวเราะ) สมัยนั้นซ้อมกับสมาคมฟุตบอลฯ ได้เบี้ยเลี้ยงวันละ 150 บาท แถมมีหักค่าข้าวอีก”
ปลายปี ค.ศ. 1984 ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน มุ่งหน้าสู่สาธารณรัฐเกาหลี ดินแดนที่กำลังมุ่งหน้าพัฒนาความเจริญทางวัตถุ และหัวใจคนให้แข็งแกร่งเทียบเท่าชาติตะวันตก ปีที่เขาไป คือ ปีที่ 2 แห่งการก่อตั้งลีกฟุตบอลอาชีพของเกาหลีใต้
“ตอนนั้นเราก็เริ่มเบื่อแล้ว… เราใช้ชีวิตเดิมๆ ที่เกาหลีใต้อยู่ 2 ปีกว่า และก็คิดถึงแต่เรื่องอยากจะกลับเมืองไทย เราเก็บเงินได้ 4-5 ล้านบาท สมัยก่อนโน้นเรารู้สึกว่าเรารวยเหลือเกิน”
“สมัยก่อนโน้นบ้านเมืองที่เกาหลีใต้ ยังไม่ได้ศิวิไลซ์เท่ากับสมัยนี้...แต่สิ่งที่ผมเจอ คือ ระเบียบวินัยของคนเกาหลีใต้ ที่เป๊ะจัด เรื่องการตรงต่อเวลานั้นสุดๆ และมีความหมายสำหรับพวกเขาจริงๆ” ปิยะพงษ์ เริ่มเล่า “มีวันหนึ่งผมเห็นรถชน เราก็ยืนมุ่งดูตามสไตล์ไทยมุง ก็เลยเดินไปที่รถบัสส่งนักฟุตบอลไปยังสนามซ้อมสายเพียงแค่ 1 นาที ปรากฏว่า รถออกไปแล้ว”
“ทัศนคติ, การซ้อม, ระเบียบวินัย คือ สิ่งที่ผมได้เรียนรู้ว่าเกาหลีนี่แตกต่างจากไทยจริงๆ โอเคล่ะ! เรื่องความสามารถเฉพาะตัวเราก็ต้องพูดกันตามตรงว่าเรานั้นเหนือกว่า แต่การเล่นเป็นทีม ระเบียบวินัย เป็นสิ่งที่เราสู้ไม่ได้ในยุคนั้น… ผมจำได้ว่าการฝึกซ้อมแต่ละวันจะมีรถบัสสโมสรไปยังสนาม 2 รอบ รอบแรก บ่ายโมงครึ่ง ซึ่งพวกสต๊าฟฟ์ต้องเดินทางไปก่อน และอีกรอบ คือ 3 โมงที่จะขนนักกีฬาไป แต่ คิม แต เฮือน ผู้รักษาประตู (ปัจจุบันเจ้าตัวเป็นหัวหน้าแมวมองของ เอฟซี โซล) จะไปรอบแรกพร้อมกับทีมสต๊าฟฟ์ เพื่อไปฝึกซ้อมพิเศษคนเดียว”
“ตอนผมเริ่มโด่งดังขึ้นมาที่เมืองไทย ผมซ้อมบ้างไม่ซ้อมบ้าง เมาบ้าง ยังไม่สร่าง ขาดซ้อมเช้าบ่อยๆ หลงไปกับแสงสีตามประสาวัยรุ่นที่ไม่มีใครคอยให้คำแนะนำ แต่พอลงสนามก็ยิงได้ แต่ไปเกาหลีใต้ ผมทำแบบนั้นไม่ได้ เขาเอาจริงเอาจังกับระเบียบวินัย”
“ช่วงปรีซีซั่น คือ ช่วงเวลาที่โหดร้ายที่สุด เราต้องไปเก็บตัวกันที่กองจู (Gongju) ซ้อมกันวันละ 3 เวลา เช้าเข้ายิม เที่ยงวิ่งรอบเขา...คิดว่ารอบเดียวใช่มั๊ย? เปล่าเลย 9 รอบ! แล้วตอนเย็นก็กลับมาซ้อมที่สนาม มีวันหนึ่งผมวิ่งจนน้ำตาแทบไหล ตอนเย็นมาซ้อมที่สนาม ขามันก้าวไม่ออก บอกโค้ช (พัค เซ ฮัค) ว่าเจ็บไม่ไหวแล้วขอพัก เขาก็ดีเหมือนกันให้เราพักด้วย (ฮา)”
“คำที่ผมท่องไว้อย่างเดียวในใจตอนนั้น คือ สามพัน, สามพัน, สามพัน เพราะเราซ้อมวันหนึ่งได้เบี้ยเลี้ยง 3,000 บาท...ตอนพระอาทิตย์ตกดินผมชอบ แต่พอพระอาทิตย์ขึ้นเท่านั้นแหละ โคตรเกลียดเลย”
เมื่อพรสวรรค์ ถูกตีกรอบให้อยู่ในกฎเกณฑ์… ปิยะพงษ์ กลายเป็นนักฟุตบอลในอุดมคติ เมื่อเริ่มฤดูกาล 1985 นักเตะจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คนนี้ ได้สร้างปรากฏการณ์ในการวงการลูกหนังแดนโสมขาว เขายิงกระจาย 12 ประตู แอสซิสต์อีกระเบิดเถิดเทิง จาก 21 นัดที่ลงเล่น พา ลัคกี้ โกลด์ สตาร์ ที่รั้งอันดับ 7 จาก 8 ทีม เมื่อฤดูกาล 1984 เถลิงบัลลังก์แชมป์เคลีก อย่างยิ่งใหญ่เป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์สโมสร… เขาคว้ารางวัลยิงสูงสุดเทียบเท่า คิม เซ ยอง จากยูกอง อีเลเฟนต์ส, แอสซิสต์สูงสุด, ติดทีมยอดเยี่ยม และคว้ารางวัลนักเตะทรงคุณค่าของเคลีกไปครอง ชื่อ ‘ปิยะพงษ์’ กึกก้องไปทั่วสาธารณรัฐเกาหลี
“ตอนนั้นเราได้รับการยอมรับ… มันเป็นสิ่งที่เราภาคภูมิใจมากที่สุด เพราะเราได้ทำให้คนเกาหลีทั้งชาติยอมรับคนไทยในฐานะที่สร้างความสำเร็จให้กับพวกเขา” ปิยะพงษ์ พูดถึงเกียรติยศ และชื่อเสียงครั้นอยู่เกาหลีใต้
“เราเริ่มปรับตัวกับที่นั่นได้ดี ได้เรียนภาษาเกาหลีใต้ เพราะมีนักเรียนแลกเปลี่ยนชาวเกาหลี ที่ต้องการเรียนรู้ภาษาไทย เขาก็มาสอนภาษาเราที่บ้าน เราได้ภาษาเขา เขาก็ได้ภาษาเรา ทีนี้พอจะออกไปตลาด ไปซ้อมกับข้าวก็สบาย”
แต่ชีวิตวนลูปแต่ละวันช่างน่าเบื่อ… ปิยะพงษ์ ซ้อมเสร็จกลับบ้านนอนด้วยความเหน็ดเหนื่อย ไม่มีแรง และไม่มีความรู้สึกอยากออกไปเที่ยวที่ไหน เพราะลำพังแค่คิดถึงการซ้อมสุดหฤโหดแบบฉบับเกาหลี ก็ทำให้เขาอยากจะหลับตานอนเสียแล้ว…
ปี ค.ศ. 1986 คือ ฤดูกาลที่ 3 ที่ปิยะพงษ์ โชว์เพลงแข้งในแดนโสม และมันเป็นปีเดียวกับที่เกาหลีใต้ ได้ไปเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลโลก 1986 ที่เม็กซิโก ซึ่งทัพนักเตะโสมขาว ได้สร้างชื่อระบือไกล แม้เก็บได้แค่ 1 แต้มจาก 3 นัด จากการเสมอบัลแกเรีย แต่การทำให้อิตาลี ต้องหืดขึ้นคอก่อนชนะ 3 - 2 กลายเป็นเหตุการณ์ที่ถูกกล่าวขานกันมายาวนาน และเบื้องหลังความจริงนั้น ปิยะพงษ์ เกือบมีโอกาสได้เป็นนักเตะทีมชาติเกาหลีใต้ชุดนั้นด้วย
มันแปลกที่ผมไม่เคยมีความคิดอยากไปเล่นยุโรป ความใฝ่มันน้อย อย่างที่บอก ดูบอลต่างประเทศตอนเด็กๆ เราก็ไม่ได้รู้สึกอินอะไรเลย
“หลังจาก ลัคกี้ โกลด์ สตาร์ ได้แชมป์ เมื่อปี 1985 นักเตะชุดนั้นก็ติดทีมชาติกันเยอะเลย… ทางสมาคมฟุตบอลเกาหลีใต้ (เคเอฟเอ) ได้ให้ อาจารย์ ปาร์ค มาติดต่อบอกกับผมว่าสนใจจะโอนสัญชาติ เพื่อไปแข่งขันฟุตบอลโลกรึเปล่า… แต่เรื่องนี้ผมยอมรับไม่ได้นะ ต่อให้เราอยากเล่นฟุตบอลโลก แต่ให้เราโอนสัญชาติ เราทำไม่ได้ ผมตอบปฏิเสธอย่างไวเลย ‘โนเวย์’ แบบเด็ดขาด”
“ตอนนั้นเราก็เริ่มเบื่อแล้ว… เราใช้ชีวิตเดิมๆ ที่เกาหลีใต้อยู่ 2 ปีกว่า และก็คิดถึงแต่เรื่องอยากจะกลับเมืองไทย เราเก็บเงินได้ 4-5 ล้านบาท สมัยก่อนโน้นเรารู้สึกว่าเรารวยเหลือเกิน” ปิยะพงษ์ เริ่มเล่าถึงจุดเริ่มต้นครั้งทำผิดพลาดมหันต์...
ก่อนจบฤดูกาล 1986 มี 2 - 3 สโมสรในเกาหลีใต้ ยื่นข้อเสนอให้เงิน ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน มากขึ้น แต่ในหัวของเขามีแค่คำว่า “ไทยแลนด์” เท่านั้น
“ยูกอง ยื่นข้อเสนอจากที่ผมได้รับ 200,000 บาท เป็น 300,000 บาท บวกโบนัสพิเศษ ขณะทีเดียวกับท่าประธานสโมสรลัคกี้ โกลด์ สตาร์ (คู คยอง ชา) ก็เรียกผมเข้าไปในออฟฟิศ พร้อมกับบอกว่าจะเพิ่มเงินให้ แต่ตอนนั้นผมต้องการจะกลับบ้านท่าเดียว ผมพูดแค่ว่า ไทยแลนด์ๆ”
มัน คือ ความโง่เขลาที่เขายอมรับว่าผิดพลาดไป… ปิยะพงษ์ มุ่งหน้ากลับไทย โดยไร้จุดมุ่งหมาย เขาคิดแค่ว่าเงินเก็บที่ได้จากการเตะฟุตบอลที่เกาหลีใต้ 2 ปีครึ่ง คงจะทำให้ชีวิตของเขาสุขสบาย แต่มันไม่ใช่เลย… และมันไม่ใช่ความโง่เขลาแค่ครั้งเดียวของเขา
“ผมไม่ได้วางแผนชีวิตอะไรเลย รู้สึกแค่ว่าอยากกลับบ้าน อยากกลับมาเจอเพื่อน เพราะเดิมทีเราเป็นคนติดเพื่อน ไม่ได้คิดว่ากลับมาแล้วจะกลับไปเล่นที่ไหนต่อด้วย เพราะเรามีอาชีพทหารรองรับอยู่แล้ว ก็คิดแค่ว่ากลับมาก่อน”
“แต่หลังจากกลับมาได้แค่เดือนเดียว (ประมาณต้นปี ค.ศ. 1987)…กลุ่มพี่นักข่าวไทยรัฐ ได้เข้ามาบอกว่าทีมงานของสโมสรฟุตบอลอันเดอร์เลชท์จากเบลเยี่ยม ติดต่อเข้ามา… เราไม่รู้หรอกว่า ‘อันเดอร์เลชท์’ คือ ทีมระดับไหน รู้แค่ว่าอยู่ในยุโรป และเราก็ไม่คิดจะศึกษาหาข้อมูลอะไรทั้งนั้นด้วย สมัยนั้นโลกทัศน์เราแคบมาก เขาเชิญเราไปคุย และเซ็นสัญญาไปเบลเยี่ยมกันที่โรงแรมราชา ย่านนานา”
“บนโต๊ะที่เราคุยกันก็ทำให้ผมรู้ว่า อันเดอร์เลชท์ ติดตามดูฟอร์มเรามาร่วมปีแล้วที่เกาหลีใต้ ยุคสมัยนั้น เกาหลีเป็นชาติแรกๆ ในเอเชียที่มีลีกอาชีพ มีก่อนญี่ปุ่นด้วยซ้ำ (เจลีก เริ่มก่อตั้งปี 1993) และเขาก็ต้องการให้เราไปเล่น โดยจะให้ทดสอบฝีเท้า 1 เดือน พร้อมระบุในสัญญาว่า หากผ่านการทดสอบจะได้เงินสัปดาห์ละ 200,000 บาท เดือนนึงก็ประมาณ 800,000 บาท หักภาษี และค่าใช้จ่ายต่างๆ ก็น่าจะเหลือประมาณเดือนละ 500,000 บาท ผมตอบตกลงทันที แน่นอนว่า เงินขนาดนั้นไม่เอาก็บ้าแล้ว...เงิน คือ เหตุผลที่ผมจะไปเบลเยี่ยม เหมือนกับที่ไปเกาหลีใต้นั่นแหละ” “เดอะ ตุ๊ก” เล่าให้ฟังถึงความคิดหลังจรดปากกาเซ็นสัญญากับตัวแทนอันเดอร์เลชท์…
ทว่าทุกอย่างกลับตาลปัตร… ความคิดที่โง่เขลาหวนคืนกลับสู่สมองของ ปิยะพงษ์ อีกครั้ง ครั้งนี้มันร้ายแรงกว่าตอนตัดสินใจปฏิเสธโอกาส และเงินก้อนโตจากสโมสรฟุตบอลในเกาหลีใต้เป็นเท่าตัว… ณ วันกำหนดขึ้นเครื่องที่ท่าอากาศยานดอนเมืองจากกรุงเทพมหานครมุ่งหน้าไปยังประเทศเบลเยี่ยม ปิยะพงษ์ ตัดสินใจหายตัวไป
“คิดไปคิดมา เราชั่งใจอยู่สักพัก เราก็คิดว่าเรากลัว ไม่อยากไปแล้ว…” ปิยะพงษ์ เล่าถึงความคิดในวินาทีนั้น ที่เขายอมรับว่าผิดพลาดมากที่สุดในชีวิตฟุตบอล
“มันแปลกที่ผมไม่เคยมีความคิดอยากไปเล่นยุโรป ความใฝ่มันน้อย อย่างที่บอก ดูบอลต่างประเทศตอนเด็กๆ เราก็ไม่ได้รู้สึกอินอะไรเลย แค่คิดว่า เออ! สนุกดีนะ อีกอย่างตอนนั้นเราคิดเอง ทำเองทุกอย่างคนเดียว ไม่มีที่ปรึกษาชีวิต ไม่มีใครบอกว่าอะไรดีไม่ดี คำว่าผู้จัดการส่วนตัว หรือ เอเย่นต์ มันยังไม่มีใครรู้จักคำๆนี้ที่เมืองไทยสมัยนั้น”
“เรื่องของผมมันเป็นตัวอย่างที่ดีของเด็กๆนักฟุตบอลยุคใหม่ ความจริงการไปเล่นต่างประเทศ มันจะยิ่งช่วยยกระดับฟุตบอลไทย ทั้งการใช้ชีวิตในและนอกสนาม ตอนนั้น เราไม่มีผู้จัดการ ไม่มีเอเย่นต์ ไม่มีตัวอย่างว่าถ้าได้ไปเล่นต่างประเทศแล้วมันจะดีแค่ไหน แต่ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ไปแล้วไม่กลับแน่นอน...และถ้าถามว่าที่ผมหายตัวไปวันนั้นไปไหนงั้นเหรอ?”
“คืนนั้นผมก็ออกไปกินเหล้ากับเพื่อนไง! (ฮา)”
Cr:
https://www.fourfourtwo.com/th/features/cchamfangaicch-eda-chiiriis-kaartadsinaicchkhrangnankhng-piyaphngs-phiwn
[/img]