อเล็กซานเดอร์ ที่ 3 แห่งมาซิโดเนีย

มหาราชผู้พิชิต



ประสูติ 356 ปีก่อนคริสตกาล
สิ้นพระชนม์ 323 ปีก่อนคริสตกาล

ระยะเวลาที่ครองบัลลังก์ 336-323 ก.ค.ศ

''โชคย่อมเข้าข้างผู้กล้าเสมอ'' คำพูดอมตะที่พระองค์ตรัสไว้


ชีวิตวัยเยาว์
พระองค์ประสูติที่เมือง เพลลา เป็นโอรสของพระเจ้าฟิลิปที่ 2และพระนางโอลิมปิแอส ในวัยเยาว์นั้นพระองค์ได้รับการสั่งสอนจากพระบิดาอย่างหนัก เพื่อที่จะได้เป็นกษัตริย์นักรบเหมือนพระบิดาในภายภาคหน้า ทรงเรียนวิชารบต่างๆ และกลศึกมากมายจากพระบิดา และยังศึกษาปวงปรัชญาเมธีจาก นักปรัชญาที่เทพที่สุดแห่งยุคนั้น คือ อริสโตเติ้ล พระองค์ยังได้รับอิทธิพลมากจากพระมารดาคือการศิลปะ และศาสนา จึงทำให้พระองค์เชื่อเกี่ยวกับเรื่องของตำนาน และคำพยากรณ์โบราณอีกด้วย
กล่าวกันว่า อเล็กซานเดอร์นั้นทรงมีรูปโฉมงดงามมาก ทำให้สาวๆนั้นยุคนั้นปลื้มพระองค์เป็นแถว (ถ้าเปรียบยุคนี้ก็พี่โดมดีๆนี่เอง)
ในสมัยนั้นกองทัพม้าของมาซิโดเนีย ของพระบิดาพระองค์ถือเป็นอันดับ 1 ซึ่งพระองค์ก็ได้รับการฝึกทางด้านนี้มาเยอะจากพระบิดา
ครั้งหนึ่งมีผู้มาเสนอขายม้า ซึ่งฟิลิปเป็นคนรักม้าอยู่แล้ว แต่ฟิลิปจะไม่ซื้อม้าตัวนั้นเพราะ นิสัยดุร้าย และไม่เชื่อง แม้ว่าม้าตัวนั้นจะเป็นม้าซึ่งมีลักษณะดีทุกประการ นักขี่ม้าเก่งๆขี่หลังมันไม่นานก็ต้องตกลงมาหลังหักไปทุกราย ฟิลิปทรงตรัสว่า ''ม้าแบบนี้ใครจะไปขี่มันได้ ข้าไม่ซื้อหรอก'' ทันใดนั้นอเล็กซานเดอร์ ผู้มีพระชนม์ 14 พรรษา ทูลขอพระบิดาจะลองขี่ม้านี้ดูสักครั้ง และพระองค์ก็ได้ขึ้นไปแต่ไม่ได้บังคับม้าแต่อย่างใด แต่ดึงบังเหียนม้าให้มันหันหน้าสู่แสงอาทิตย์ เพื่อให้เงาของมันทอดยาว และมันมองเห็นเงาของมันถนัดตา(ให้ม้ากลัวเงาตัวเอง) เท่านั้นแหละม้าก็เชื่องโดยทันที หลังจากอเล็กซานเดอร์ขี่ม้าไปสักพักแล้วก็กลับมา ฟิลิปเสด็จออกไปรับพร้อมด้วยน้ำเนตรแห่งความปลื้มปีติ แล้วตรัสว่า ''ลูกรัก เจ้าจงมองหาอาณาจักรอันกว้างไกลที่มีค่าควรแก่เจ้าเถิด มาซิโดเนียนี้เล็กเกินไปสำหรับเจ้าแล้ว'' ชีวิตวัยรุ่นของพระองค์ก็ไม่เหมือนกับคนทั่วไป คือพระองค์จะติดตามพระบิดาไปทุกที่ในการรบ บางครั้งขอเป็นแม่ทัพหน้าซะเอง ซึ่งพระบิดาก็สามารถยึดนครต่างๆในกรีกได้เกือบหมด จนอเล็กซานเดอร์ถึงกับตรัสว่า ''นี่พระบิดาจะไม่เหลืออะไรให้ข้าพิชิตเลยหรือนี่''


ขึ้นครองราชย์
ก.ค.ศ 336 พระบิดาของพระองค์ถูกปลงพระชนม์ เจ้าชายอเล็กซานเดอร์จึงได้ขึ้นครองราชย์ และหลังจากนั้นพระองค์ก็ได้ปราบหัวเมืองต่างๆที่แข็งเมืองจากการสิ้นพระชนม์ของ กษัตริย์ฟิลิป และยังตีเมืองเพิ่มได้อีกโดยทางตอนใต้นั้นไปจนถึงเมืองธีบบิส และเหนือจรดแม่น้ำดานูบเลยทีเดียวโดยขณะนั้นพระองค์มีอายุแค่ 20 ชันษาเท่านั้น !!! หลังจากที่พระองค์ยึดเมืองต่างๆทั้งกรีกและมาซิโดเนียหมดแล้ว พระองค์ก็ทรงมองไปถึงแผ่นดินที่กว้างใหญ่ไพศาล ซึ่งแน่นอนนั่นคือ เอเชีย ซึ่งขณะนั้นมีมหาอำนาจคือเปอร์เซียที่สืบเชื้อสายมาจากไซรัสมหาราช โดยขณะนั้นเปอร์เซียครองแผ่นดินเกือบทั้งหมดในตะวันออกกลาง ไปจนถึงเอเชียเลยทีเดียว

เคลื่อนทัพสู่ตะวันออกกลางและเอเชีย
พระองค์เคลื่อนทัพด้วยทหารราบ 48,100 คน ทหารม้า 6,100 โดยเรือ 120 ลำ โดยมาทางช่องแคบเฮลลิสปอนต์ ซึ่งทัพเปอร์เซียก็ตั้งทัพรออยู่เหมือนกัน ที่ริมฝั่งแม่น้ำกรานิคุส ซึ่งก่อนจะไปรบนั้นพระองค์ได้ขึ้นเรือไปที่กรุงทรอย เพื่อเคารพวิหารอคิลิส ซึ่งเมื่อไปถึงพระองค์ก็ได้พบกับโล่ของอคิลลิสและได้ทำตามความตั้งใจคือ แลกเกราะของพระองค์กับโล่ของอคิลลิส และที่กรานิคุสนี่เองพระองค์ได้รับชัยชนะอย่างงดงาม จนมีหลายเมืองในเปอร์เซียยอมจำนนต่อพระองค์ (ซึ่งพระองค์ก็ยินดีนะครับ ปกติพระองค์ยึดเมืองต่างๆได้นี่ แม้แต่ทรัพย์สินของราษฎรยังไม่ยึดด้วยซ้ำ) จนถึงเมืองกอดิอุม ของพระเจ้าไมดาส ซึ่งเล่ากันว่าพระเจ้าไมดาสผูกเชือกเป็นเงื่อนปมเอาไว้ โดยกล่าวว่า คนที่จะแก้เงื่อนปมนี้ได้จะต้องเป็นมหาบุรุษเท่านั้น คนธรรมดาแก้ไม่ได้ ซึ่งก็ไม่เคยไม่ใครก็ได้จริงๆ อเล็กซานเดอร์ก็ทรงทราบถึงเงื่อนปมนั่นเช่นกัน จึงเสด็จไปทอดพระเนตรแล้วบอกว่าจะแก้ปมนั้นให้ดู แล้วก็ทรงใช้ดาบของพระองค์ฟันเชือกปมนั้นขาดไป นั่นแสดงให้เห็นการแก้ปัญหาอย่างเฉียบขาดนั่นเอง ตอนนี้เมืองต่างๆของเปอร์เซียนั้นเป็นของพวกกรีกสะส่วนใหญ่ แต่กองทัพใหญ่ของกษัตริย์เปอร์เซียนั้นยังอยู่ และรอคอยพระองค์อยู่ที่เมืองอีสซุส

พิชิตเปอร์เซีย
333 ก.ค.ศ พระองค์ได้เดินทัพผ่านซิซิเลี่ยนเกท ไปถึงอีสซุสและทำการรบครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด ครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์โลกกับกษัตริย์ดาไรอัสแห่งเปอร์เซีย โดยพระองค์มีทหาร 4 หมื่นคน ส่วนกองทัพเปอร์เซียนั้นมีถึง 1 แสนคน แต่พระองค์ก็สามารถมีชัยไปได้อย่างงดงามจากความกล้าหาญของพระองค์ ที่นำกองทัพม้าบุกตะลุยไปทุกที่ จนถึงกลางทัพของดาไรอัส พระองค์ปาหอกไปหวังว่าจะให้โดนดาไรอัส แต่ดันไปโดนคนขับรถม้าแทน แต่กระนั้นก็ทำให้ดาไรอัสแห่งเปอร์เซียหวาดกลัว จนสั่งถอยทัพไปเลยทีเดียว
โดยครั้งนั้นคาดกันว่า ทหารมาซิโดเนีย ตายไป 7 พันคน ส่วนของเปอร์เซีย ตายไปถึง 2 หมื่น
และหลังจากนั้นไม่นาน ดาไรอัสก็ถูกแม่ทัพของตัวเองปลงพระชนม์ ทำให้อเล็กซานเดอร์ซึ่ง ตอนนั้นยึดได้แทบจะทั้งตะวันออกกลาง รวมถึงเอเชียบางส่วน มีอำนาจมากที่สุดและอณาจักรเปอร์เซียก็ล่มสลายไปโดยปริยาย และในอียิปต์พระองค์ได้สร้างเมืองท่า สำคัญขึ้นเมืองหนึ่ง นั่นก็คือเมืองอเล็กซานเดรียนั่นเอง

ยาตราทัพสู่อินเดีย
หลังจากที่มีอำนาจแทบจะที่สุดในโลกแล้ว แต่มหาราชผู้พิชิตผู้นี้ก็ยังไม่ยอมหยุดง่ายๆ โดยพระองค์ก็เคลื่อนทัพเข้าสู่อินเดีย และได้รบกับเผ่าต่างๆในอินเดียหลายต่อหลายครั้ง รวมถึงการรบครั้งสำคัญกับกษัตริย์โปรุสแห่งแคว้นปันจาบ ซึ่งประทับใจในอเล็กซานเดอร์จนยอมเป็นพันธมิตรกับพระองค์ต่อมา

กลับบ้าน
หลังจากที่พระองค์พิชิตอินเดียได้แล้ว พระองค์มีแผนที่จะเดินทางต่อไป แต่บรรดาแม่ทัพ รวมถึงทหารของพระองค์ไม่ยอมซึ่งทำให้พระองค์ทรงกริ้วมาก และในขณะนั้นพระองค์ก็ป่วยด้วยจึงตัดสินใจกลับเปอร์เซียในที่สุด

วาระสุดท้ายของมหาราชผู้พิชิต
หลังจากกลับจากทำศึกนานนับ 10 ปี พระองค์ได้กลับมาพำนักในราชวังในกรุงบาบิลอน และที่บาบิลอนนั่นเอง พระองค์ได้สิ้นพระชนม์ลงด้วยอาการป่วย (คาดว่าจากการโดนวางยาพิษจากบรรดาแม่ทัพของพระองค์เอง) ในวันที่ 11 มิถุนายน 323 ก.ค.ศ ด้วยวัยเพียง 32 ชันษาเท่านั้น โดยคาดกันว่าที่โดนวางยานั้นเพราะบรรดาแม่ทัพทั้งหลาย ต่างเบื่อหน่ายในการรบเต็มทน โดยกลัวว่าพระองค์อาจจะยกทัพไปพิชิตแคว้นต่างๆ อีก

หลังสิ้นพระชนม์
หลังสิ้นพระชนม์ อณาจักรของพระองค์ก็มีการแบ่งแย่งโดยการทำสงครามกันของบรรดาแม่ทัพของพระองค์(จะไม่เล่าในส่วนนี้นะครับ)
ส่วนศพของพระองค์นั้นก็มีการแย่งกันอีก แต่สุดท้ายปโตเลมี (แม่ทัพของพระองค์ซึ่งได้ไปครองอียิปต์) ได้ไปและฝังไว้ทีสุสานในอเล็กซานเดรีย
ซึ่งต่อมาหลายร้อยปี จูเลียส ซีซ่า , จักพรรดิ์ออกุสตุส ก็ได้ไปเคารพศพพระอง์อีกด้วย

ขอบคุณที่อ่านจนจบครับ