ดาวเตะพรีเมียร์ลีก
Status: "SS ไม่ใช่สถานที่แต่มันคือผู้คน"
: 0 ใบ
: 0 ใบ
เข้าร่วม: 24 Mar 2009
ตอบ: 11112
ที่อยู่: บอร์ดวาไรตี้
โพสเมื่อ: Thu Sep 12, 2013 12:03
ชีวิตพนักงานกินเงินเดือนเป็นแบบนี้ครับ รายได้ช่วงแรกต่ำ ช่วงกลางไปถึงปลายจะสูง
และไม่มีรายได้ในช่วงเกษียณ
การผ่อนต่างๆ คือการนำรายได้ในอนาคตมาใช้ก่อน ถ้าผ่อน เป็นการผ่อนสิ่งที่จำเป็นตามปัจจัย 4 เช่น
บ้าน หรือผมแถมให้ว่า รถ ด้วยก็ได้
นั่นคือ เราจะมีรายจ่ายในช่วงนี้ มาก เงินเก็บก็จะลดลงเป็นธรรมดา
แต่เงินผ่อนทั้งหลายจะมีสัดส่วนลดลง เมื่อเทียบกับรายได้ที่เพิ่มในอนาคต
การออม ให้เป็นนิสัย จึง ไม่ได้ซีเรียส ว่าออมน้อย เพราะเราจะค่อยๆ เพิ่มขึ้น
ตามสัดส่วนของรายได้
เช่น คิดว่า จะเก็บเงินทุกเดือนเป็นสัดส่วน 10-20% ของเงินเดือน
ถ้าเงินเดือน 10,000 ก็เก็บได้เดือนละ 1,000 - 2,000 บาท
ถ้าเงินเดือน 50,000 ก็เก็บได้เดือนละ 5,000 - 10,000 บาท
ต่อไปก็อยู่ที่การบริหารเงินออม เช่น ฝากไว้เผื่อฉุกเฉิน
ลงทุนตามลักษณะการยอมรับความเสี่ยง เป็นต้น
นอกจากนี้ ก็เป็นการออมเพื่อบริหารความเสี่ยง เช่น ประกันชีวิต
คนเราควรมีประกันชีวิตซัก 1-2 กรมธรรม์
นอกเหนือไปจากนี้อีก ก็คือ การบริหารความเสี่ยงด้านสุขภาพ
ด้วยการทำประกันสุขภาพ (จ่ายทิ้ง) ต่อปี ทำให้ช่วยป้องกันเหตุฉุกเฉิน
ทางการเงินได้ แต่มีต้นทุน
พนักงานเอกชน
เมื่อเราเกษียณ เงินที่เราจะได้ โดยทั่วไป ก็เป็นเงินก้อนจาก
กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (ของบริษัท) ซึ่งเป็นก้อนใหญ่ที่สุด
เงินชดเชยเลิกจ้าง ประมาณ 6-10 เท่าของเงินเดือน
เงินกองทุนประกันสังคม ซึ่ง อายุอย่างเราๆ ท่านๆ จะไม่ได้รับเป็นก้อนแล้ว
แต่จะรับเป็นเดือน ราวๆ เดือนละ 3,000 บาท (น้อยมาก)
เงินที่มาจากการออม และการลงทุนของเราเอง เช่น
เงินฝากประเภทต่างๆ กองทุนต่างๆ ดอกผลจากหุ้น ตราสารหนี้ต่างๆ
เงินก้อนที่ได้จากการทำประกันชีวิต
ซึ่งเมื่อรวมๆ แล้ว จะเป็นเงินก้อนใหญ่ ที่เราสามารถนำไปหาดอกผลเพิ่มได้
อีก นอกเหนือไปจาก ใช้ให้มันร่อยหรอไปเรื่อยๆ
แต่มีข้อแม้ว่า ต้องไม่เสี่ยงจนเกินไป เพราะถ้ามันสูญไป เราหาใหม่ไม่ได้แล้ว
กรณีของ คนที่ทำงานเก่ง และ เกษียณด้วยโปรไฟล์ดีๆ หรือมีเส้นสาย มีแบ็คดี
จะมีโบนัสเพิ่มคือ การถูกเชิญไปนั่งเป็นกรรมการในองค์กรต่างๆ
ก็จะได้เบี้ยประชุม เดือนนึงก็หลักหลายพัน ไปจนถึงหลายหมื่น
รวมไปถึง การไปนั่งเป็นที่ปรึกษา รับเงินเป็นรายวัน ก็มี
โหวตเป็นกระทู้แนะนำ
My Locker