+++10อันดับ ผู้นำโคตรโกง!!! โลกไม่ลืม!!!+++
10. โจเซฟ เอสตราด้า
อดีตประธานาธิบดีโจเซฟ เอสตราด้าของฟิลิปปินส์ ติดอันดับ 10 จำนวนเงินที่ยักยอกไป 70-80 ล้านดอลลาร์ หรือ คิดเป็น 0.04 % ของจีดีพีประเทศ ระหว่างปี 2541-2544 ซึ่งมีมูลค่าเฉลี่ยปีละ 7.76 หมื่นล้านดอลลาร์
9. อาร์นอลโด อะเลอมาน
อาร์นอลโด อะเลอมาน ยักยอกเงินนิคารากัวไประมาณ 100 ล้านดอลลาร์ หรือ 0.5 % ของจีดีพี ที่มีมูลค่าเฉลี่ยปีละ 3.4 พันล้านดอลลาร์
8. แพฟโล ลาซาเรนโก
ปาวิโอ ลาซาเลนโก แห่งยูเครน ปกครองประเทศ ระหว่างปี 2539-2540 ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าว จีดีพีของยูเครน มีมูลค่าเฉลี่ยต่อปี ประมาณ 4.67 หมื่นล้านดอลลาร์ เขาคอร์รัปชั่นเงินประเทศไปราว 114-200 ล้านดอลลาร์ หรือ คิดเป็น 0.2-0.4 % ของจีดีพี
7. อัลเบอร์โต ฟูจิโมริ
อัลเบอร์โต ฟูจิโมริ ผู้นำเปรู ทำสถิติคอร์รัปชั่นเงินประเทศไปทั้งสิ้น 600 ล้านดอลลาร์ คิดเป็น 0.1 % ของจีดีพี ซึ่งมีมูลค่าเฉลี่ย ระหว่างปี 2533 2543 ราว 4.45 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อปี
6. ฌอง-โคลด ดูวาลิเยร์
ฌอง-โคลด ดูวาลิเยร์ ของเฮติ ประเมินกันว่า เขายักยอกเงินเฮติไประหว่างปี 2514-2529 ประมาณ 300-800 ล้านดอลลาร์ หรือ คิดเป็น 1.7-4.5 % ต่อปี ซึ่งจีดีพีขณะนั้น มีมูลค่าเฉลี่ยเพียง 1.7 พันล้านดอลลาร์เท่านั้น
5. สโลโบดาน มิโลเซวิค
อดีตผู้นำของยูโกสลาเวียเดิม ล้วนแล้วแต่ถูกกล่าวหาว่า ยักยอกเงินไปไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งนั้น
4. ซานิ อาบาซา
ซานิ อาบาซา จากไนจีเรีย ยักยอดเงินไปมากถึง 2-5 พันล้านดอลลาร์ ระหว่างปี 2536-2541
3. โมบูตู เซเซ เซโก
ประธานาธิบดีโมบูตู เซเซ เซโก ของซาอีร์ ยักยอกเงินไปทั้งสิ้น 5 พันล้านดอลลาร์ ระหว่างปี 2508-2540
2. เฟอร์ดินัน มาร์กอส
อดีตประธานาธิบดีเฟอร์ดินัน มาร์กอส ของฟิลิปปินส์ ยักยอกเงินหลวงไปมากถึง 5,000-10,000 ล้านดอลลาร์เงินที่มาร์กอสยักยอกไปคิดเป็นสัดส่วน 1.5-4.5 % ของจีดีพีฟิลิปปินส์ระหว่างปี 2515-2529 ซึ่งมีมูลค่าเฉลี่ย 2.39 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อปี มาร์กอสเป็นประธานาธิบดีคนที่ 10 ของฟิลิปปินส์ ชนะเลือกตั้งประธานาธิบดีอีกครั้งเมื่อ 2512 กลายเป็นประธานาธิบดี 2 สมัยซ้อนคนแรกของชาวฟิลิปปินส์ครองอำนาจตั้งแต่ 30 ธันวาคม 2508 25 กุมภาพันธ์ 2529 หลังจากไม่สามารถต่ออายุให้ตัวเองได้นั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีเป็นสมัยที่ 3 มาร์กอสตัดสินใจประกาศกฎอัยการศึกในเดือนกันยายน 2515 โดยอ้างเหตุเรื่องความเคลื่อนไหวของขบวนการคอมมิวนิสต์ เขาจำคุกนักการเมืองฝ่ายตรงข้าม สั่งปิดสื่ออิสระที่มีอยู่ทั้งหมดและปกครองประเทศภายใต้ประกาศกฎษฎีกาของประธานาธิบดี แม้ในเวลาต่อมา มาร์กอสจะเปิดทางให้จัดตั้งรัฐสภาได้ แต่อำนาจที่แท้จริงยังคงอยู่ใต้เงื้อมมือของเขาและพวกพ้อง ซึ่งรวมถึงภรรยาผู้ทะเยอทะยานที่หลงใหลความเป็นผู้นำแฟชั่น ตลอดจนสมาชิกคนอื่นๆ ในครอบครัวและเพื่อนคนสำคัญของครอบครัว ซึ่งเป็นที่มาของคำศัพท์ใหม่ที่อธิบายการตักตวงผลประโยชน์ภายในกลุ่มของมาร์กอสและบุคคลใกล้ชิดว่า Cronyism หรือ ทุนนิยมพวกพ้อง
1. โมฮัมหมัด ซูฮาร์โต
อดีตประธานาธิบดีของอินโดนีเซีย ด้วยสถิติการยักยอกเงินประเทศไปมากถึง 1.5-3.5 หมื่นล้านดอลลาร์หรือคิดเป็น 0.6-1.3 % ของจีดีพีในช่วงเวลาที่เขาปกครองประเทศ ในยุคของซูอาร์โต มูลค่าจีดีพีของอินโดนีเซีย โดยเฉลี่ย อยู่ที่ 8.66 หมื่นล้านดอลลาร์ ซูฮาร์โตก้าวขึ้นสู่อำนาจในฐานะประธานาธิบดี หลังจากก่อรัฐประหารยึดอำนาจในปี 2509 และได้ปกครองอินโดนีเซียมาอย่างยาวนานถึง 32 ปีก่อนที่จะถูกพลังประชาชนโค่นอำนาจลงในปี 2541 หลังจากนั้น ซูฮาร์โตได้เก็บตัวเงียบอยู่ที่คฤหาสน์ชานกรุงจาการ์ตามาโดยตลอดและเข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาลเพื่อรักษาอาการเส้นเลือดในสมองอุดตัน ซูฮาร์โตปรากฏตัวครั้งสุดท้ายในงานวันเกิดครบรอบ 86 ปีของตัวเขาเอง ในยุคที่ซูฮาร์โตเรืองอำนาจนั้น มีนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามถูกฆ่าตายร่วมล้านคน แต่ปรากฏว่าทั้งตัวซูฮาร์โตเอง และลูกน้องไม่เคยถูกนำตัวมาดำเนินคดีด้วยเรื่องนี้เลย รวมถึงเรื่องที่ถูกกล่าวหาว่ายักยอกเงินของแผ่นดินไปเป็นมูลค่ามหาศาล แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนตัวประธานาธิบดีใหม่มาบริหารอินโดนีเซียถึง 4 คนแล้วก็ตาม เนื่องจากทนายความของซูฮาร์โตได้ใช้อาการป่วยหนักเป็นข้ออ้างช่วยให้ซูฮาร์โตไม่ต้องมาให้การในชั้นศาลได้ ที่สำคัญ ในช่วงที่ซูฮาร์โตถูกนำตัวเข้าโรงพยาบาลครั้งหลังสุด ก็ได้ก่อให้เกิดการถกเถียงกันอย่างหนักในเรื่องที่ว่าสมควรจะยกฟ้องซูฮาร์โตทุกข้อกล่าวหาหรือไม่ ซึ่งมีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ทำให้ยังตกลงกันไม่ได้จนกระทั่งซูฮาร์โตเสียชีวิตไปในที่สุด
ขอบคุณ toptenthailand