สุวรรณ วลัยเสถียร เกิดเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2488 สมรสกับ ดวงใจ วลัยเสถียร นับถือศาสนาคริสต์คาทอลิก มีบุตรชาย 2 คน

พ.ศ. 2504 สำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยได้เกียรตินิยม จากโรงเรียนอัสสัมชัญ
พ.ศ. 2507 สอบได้ที่ 1 ของ โรงเรียนอัสสัมชัญพาณิชย์
พ.ศ. 2512 สำเร็จการศึกษาเป็นนิติศาสตร์บัณฑิต เกียรตินิยม จาก คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยสอบได้ที่ 1
พ.ศ. 2513 สอบได้เนติบัณฑิตไทย
พ.ศ. 2514 สำเร็จการศึกษาเป็นนิติศาสตร์มหาบัณฑิต จาก มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด โดยสอบชิงทุนได้ที่ 1
พ.ศ. 2521 สำเร็จการศึกษาเป็นนิติศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต จาก มหาวิทยาลัยจอร์จวอชิงตัน อีกทั้งยังได้รับทุนอุดหนุนจากธนาคารโลกที่ WASHINGTON, D.C.



ดร.สุวรรณ เป็นนักกฎหมายและนักการเงินคนสำคัญของประเทศ เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งพรรคไทยรักไทย และเป็นกรรมการบริหารพรรคชุดแรก เคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในปี พ.ศ. 2544 เป็นอดีตที่ปรึกษากฎหมายของธนาคารโลกประจำกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. มีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายเกี่ยวกับการเงินและภาษี ระดับแนวหน้าของประเทศ เคยเป็นที่ปรึกษากฎหมายให้หลายบริษัทในช่วงก่อนวิกฤตเศรษฐกิจ เช่น บริษัทเอกธนกิจ (ฟินวัน - FIN1) หลังจากสิ้นสุดการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยฯ


โดยในช่วงปี 2549 ดร.สุวรรณ มีบทบาทสำคัญในการทำหน้าที่เป็นโฆษกคนในตระกูลชินวัตร ตอบคำถามสื่อมวลชนเรื่องการขายหุ้นกลุ่มบริษัทชินคอร์ปให้กับกลุ่มเทมาเส็กจากประเทศสิงคโปร์ด้วย และเป็นคนยืนยันว่าการขายหุ้นชินจากแอมเพิล ริช ของนายพานทองแท้ ในราคา 1 บาท เป็นการขายในราคาทุนไม่มีกำไร จึงไม่ต้องเสียภาษี เพราะไม่มีกำไรจึงไม่เสียภาษี แล้วนำหุ้นดังกล่าวไปขายผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ

ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร ยังเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะผู้ก่อตั้งและเป็นประธานชมรมคนออมเงิน เป็นนักเขียนประเภทฮาวทู สอนเทคนิคการออมและการบริหารภาษี การอบรมลูกในเรื่องการออม และเป็นตัวอย่างหนึ่งของพ่อรวยสอนลูก บริหารเงินเก่งจนตัวเลขทรัพย์สินติดเพดาน 700 ล้านบาท


ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร ผู้เชียวชาญด้านการเงิน และกฎหมายภาษี ได้เสียชีวิตอย่างสงบ เมื่อ 29 มี.ค.2563 หลังจากเมื่อวันที่ 3 มกราคม 2563 ทีผ่านมา ดร.สุวรรณ ได้เข้ารับการรักษาตัว ที่ห้องผู้ป่วยฉุกเฉิน(ไอซียู) โรงพยาบาลบำรุงราษฏร์ หลังเกิดอาการเส้นเลือดแตกในสมอง ร่วมกับการมีเลือดไม่แข็งตัวเนื่องจากทานแอสไพรินเป็นเวลานาน ทำให้เลือดไหลลงไปทับก้านสมอง จนสมองไม่สามารถทำงาน

พ่อสร้าง ลูกทำลาย?

ถ้าเมื่อวาน แฟนคลับ ในss จะเยอะกว่านี้

ชาวเวปเขียว อยากเดินตามรอย ทนายธาตรีหรือ

พ่อรวยสอนลูก ข้อแรกพ่อต้องรวย

อันนี้ถามผู้รู้หน่อยฮะ..ถ้าไม่ได้พิมพ์ผิด ถือว่าเป็นประวัติการศึกษาที่ผมงงพอสมควร

พ.ศ. 2504 สำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยได้เกียรตินิยม จากโรงเรียนอัสสัมชัญ

พ.ศ. 2507 สอบได้ที่ 1 ของ โรงเรียนอัสสัมชัญพาณิชย์

พ.ศ. 2512 สำเร็จการศึกษาเป็นนิติศาสตร์บัณฑิต เกียรตินิยม จาก คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

โรงเรียนอัสสัมชัญพาณิชย์ ชื่อย่อ ACC อยู่ติดกับโรงเรียนอัสสัมชัญ(แผนกประถม) คือโรงเรียนสายอาชีวะ (วุฒิ ปวช. ปวส.) อ่ะ

เอาจริงๆคนเรียนอัสสัมชัญ ไม่ค่อยมีคนไปเรียนต่อ ACC เท่าไหร่ (ลูกคนพอมีฐานะแหละ ส่วนใหญ่อยากให้ต่อมหาลัยมากกว่า)

ก็อาจจะพอมีบ้างที่ไปเรียน แต่!! ก็คือย้ายไปเรียนหลังจบ ม.3 อ่ะประมาณตั้งใจเรียนสายวิชาชีพ ไม่ใช่จบ ม.6 เหมือนท่านนี้..

เลยงงๆว่าแกตั้งใจเรียนซ้ำซ้อนหรอ เพราะไม่ต้องรอถึงจบ ม.6 ก็เลือกไปเรียนอาชีวะได้ หรือถ้าจะเข้ามหาลัย จบม.6 ก็เข้าได้ละ

เอาง่ายๆของคนทั่วไป ม.3 => อาชีวะ => มหาลัย(ถ้าอยากจะเรียนต่อ) หรือ ม.6 => มหาลัย

แต่ของแกคือ ม.6 => อาชีวะ => มหาลัย ก็เลยงงๆ หรือว่าหลักสูตรสมัยก่อนไม่เหมือนสมัยผมนะ


ปล. ACC เพิ่งปิดกิจการไปเมื่อปีก่อน น่าใจหายเหมือนกัน

เคยเป็นที่ปรึกษากฎหมายของธนาคารโลกประจำกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.​ อะเก่งจริง​ ดิวนี่ไม่ได้ครึ่งพ่ออะ​ มีคนเก่งติวให้ขนาดนี้​ ผมยังเฉยๆกับแกเวลาพูดเรื่องลงทุนเลย​ ธรรมดามากๆ

โครงสร้างชั้นเรียนของไทยตามแผนการศึกษา ๒๔๘๙
ประถม ๑ - ๔
มัธยมต้น ม.๑ - ๓
มัธยมกลาง ม.๔ - ๖
เตรียมอุดมศึกษา ๑ - ๒ (โรงเรียนชาย สอนแผนกวิทย์ โรงเรียนสตรี สอนแผนกอักษรศาสตร์)

เดาว่า แกเป็นคนรุ่นท้ายๆ ที่ใช้โครงสร้างแบบนี้

อ่อ นักวางแผนภาษีในตำนานหนิ