[RE: การปฏิวัติโดยสันติวิธี]
フライドチキン พิมพ์ว่า:
ความเห็นส่วนตัวนะครับ (ถ้าเข้าใจผิดแย้งได้เพราะจะได้เข้าใจถูกครับ) - เค้าได้ล็อกเงื่อนไขให้วนอยู่แค่ 1-2 ไว้แล้วเพราะพวกเค้ารู้ถึงเงื่อนไขพลังที่สำคัญของฝั่งตรงข้ามคือการรวมตัวของประชาชนครับ พวกเค้าจึงใช้วิธีอุปโลกน์คนกลุ่มนึงเป็นเทพและใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือสร้างความเชื่อหล่อหลอมสมมติเทพขึ้นมาเพื่อสร้างกลุ่มที่ใช้ความเชื่อนำหน้าคือสลิ่มไว้เป็นเครื่องมือในระดับแรงงานไว้ฟาดฟันคนที่ความเชื่อต่างออกไป (เป็นวิธีเดียวกับที่ยุคกลางใช้) ในขณะเดียวกันก็สร้างเครือข่ายสลิ่มชั้นสูง (Elitist) ผ่านเครือข่ายเศรษฐกิจขึ้นมาเพื่อไว้เป็นอำนาจในการควบคุมกลุ่มชนชั้นสูงเพื่อให้คุมชนชั้นกลางอีกที และก็จะมีสลิ่มชั้นบนสุดไปอีก (กลุ่มที่ได้จ่ายตรง) เป็นฐานเสริมไปอีก ฝั่งนึงเอาผลประโยชน์ของประเทศและคนหมู่มากแลกกับประโยชน์ตน อีกฝ่ายจ่ายตรงเพื่อผลประโยชน์ตระกูลตัวเองในการผูกขาดกับคนหมู่มาก ทั้งหมดทั้งปวงคือระบบชนชั้นสูงหรือ Oligarch คล้ายแบบที่รัสเซียเป็นแต่ต่างที่ของไทยมีตระกูลนึงเป็นหัวโขนครอบอีกที
ด้วยเหตุนี้เงื่อนไขในการเกิดเหตุการณ์แบบพม่าจึงยากครับเพราะพม่าคนส่วนใหญ่ลุกขึ้นสู้แบบรวมตัวกันจริง ๆ ในขณะที่ของเรายังวนอยู่แค่สลิ่ม - แดง - ส้มหรือระดับมวลชนอยู่เลยครับ เค้าก็กวนไม่ให้รวมตัวกันติดง่าย ๆ เพื่อจะได้ทำอะไรได้สะดวก ระหว่างนี้ก็กดหัวอีกฝั่งด้วยเงิน อำนาจ อาวุธและทรัพยากรให้อีกฝั่งทั้งกลัว หิวและสิ้นหวัง ถึงแม้คนฝั่งเค้าจะน้อยลงเรื่อย ๆ ตายเรื่อย ๆ แต่คนที่เหลือส่วนใหญ่ยังมีอำนาจและทรัพยากรในมือที่จะประคองสถานการณ์ได้อีกนาน กว่าที่คนระดับแรงงานฝั่งเค้าจะลดเหลือจำนวนน้อยจนไม่เป็นประโยชน์น่าจะนานหลัก 10-15 ปีครับ ตัวเค้าเองก็มองออกว่าสุดท้ายเค้าต้านความเปลี่ยนแปลงไม่ได้แต่เค้าประคองให้นานที่สุดได้ครับ
สิ่งที่ผมต้องการสื่อคือวิธีการสันติวิธีที่ว่ามาใช้เวลานาน ใช้ทรัพยากรและความอดทนมากและไม่รับประกันผลสำเร็จในปลายทาง แต่ถ้ามันสำเร็จจะเป็นวิธีเปลี่ยนผ่านที่ดีสุดเท่าที่เป็นไปได้ครับ
จริง ๆ พม่าก็ไม่ได้เดินตาม step ที่ผมยกมาอ้างอิงหรอกครับ จริง ๆ เครือข่ายประชาชนของพม่าเองก็ไม่ได้แข็งแรงมากหรอกครับ กำลังอยู่ในช่วงพัฒนาเหมือนกัน แต่เขามีปัจจัยเสริมตรงที่ประเทศเขามันมีกองกำลังชนกลุ่มน้อยที่เป็นปฏิปักษ์กับรัฐอยู่แล้ว พอมันเกิดภาวะ failed state มันเลยมีทางไปต่อได้
สถานการณ์ในพม่ามันยากเพราะเผด็จการทหารมันผูกขาดอำนาจเด็ดขาดฝ่ายเดียวมาหลายสิบปี สถานการณ์ในไทยไม่ได้ยากขนาดนั้น การเมืองไทยเป็นการหาฉันทามติของหลายฝ่ายอำนาจ มันวางอยู่บนกรอบความร่วมมือที่เปราะบาง แค่มีแรงสะเทือนมากพอเสถียรภาพพวกนี้ก็พร้อมพังอยู่แล้ว
ขั้นตอนอย่างที่ผมอ้างอิงมันคือขั้นตอนการเปลี่ยนผ่านแบบสันติครับ อย่างที่ผมบอกว่าความเปลี่ยนแปลงมันไม่ได้รอพร้อมแล้วค่อยเกิด มันถึงจุดที่จะเกิดมันก็เกิด ถึงตอนนั้นถ้าสันติวิธีมันไม่มีทางไปต่อ มันจะจบด้วยการนองเลือด ตามประวัติศาสตร์มันมีแค่นี้แหละครับ
อย่างที่ท่านพิมพ์ไว้ถูกแล้วครับ ชนชั้นนำศักดินาพยายามสกัดปัจจัยที่เราจะก้าวไปสู่ขั้น 3 และ 4 ได้ หลายคนในขบวนการเคลื่อนไหว นักรัฐศาสตร์ นักนิติศาสตร์ ถึงได้กังวลว่าปลายทางของความเปลี่ยนแปลงมันจะจบด้วยการนองเลือดเพราะผู้มีอำนาจไม่เหลือทางเลือกอื่นไว้ให้สังคมได้ช่วยกันหาทางออก
แต่ก็อย่างที่ผมบอกในข้างต้นกระทู้ครับ ผมไม่เชื่อว่าความเปลี่ยนแปลงมันมีทฤษฎีตายตัว ทฤษฎีที่ผมยกมาผมก็ไม่คิดว่ามันเอามาใช้วางกรอบได้เช่นกัน ผมแค่ยกมาให้อ่านกันว่ามันมีทฤษฎีอะไรบ้างที่ใช้อธิบายเรื่องการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง
ส่วนตัวผมคิดว่าการเตรียมตัวและปรับตัวให้พร้อมช่วงชิงความได้เปรียบในสถานการณ์ที่สุกงอมคือปัจจัยที่สำคัญที่สุด