ไว้คราวหน้า X
ไว้คราวหน้า X
ไม่ต้องแสดงข้อความนี้อีกเลย
ไปหน้าที่ 1
ไปที่หน้า
GO
ตั้งกระทู้ใหม่
ฝากรูป
ผู้ตั้ง
ข้อความ
ออฟไลน์
ผู้ช่วยแมวมอง
Status: Would you rather die a hero?
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 24 Jun 2019
ตอบ: 8343
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Sat Aug 13, 2022 17:15
การปฏิวัติโดยสันติวิธี
จริง ๆ ผมไม่ค่อยอยากพูดเรื่องนี้เชิงทฤษฎีมาก เพราะผมเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงมันไม่มีทฤษฎีแน่นอน การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองคือผลลัพธ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของพลวัตทางการเมืองที่ประกอบขึ้นจากแรงกดดันหลายส่วน มีแค่ใครจะช่วงชิงความได้เปรียบจากสถานการณ์ที่สุกงอมเมื่ออุบัติเหตุทางการเมืองมันมีผลนำไปสู่ภาวะโกลาหล

แต่ที่ต้องพูดเชิงทฤษฎีนิดหน่อย เพราะรำคาญคนที่คิดว่าตัวเองศึกษามาดีมาก จนสามารถคาดเดาความเปลี่ยนแปลงในอนาคตได้ว่าจะเกิดขึ้นเพราะอะไร ต้องทำอะไรบ้างเพื่อให้เกิดขั้นตอนเป็นลำดับที่จะนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลง ซึ่งพอคุยลงลึกจริง ๆ แล้ว คนกลุ่มนี้กลับมีข้อเสนอที่เลื่อนลอย ไม่มีหลักการอ้างอิงที่ดีพอ คาดเดาสถานการณ์จากอคติเพื่อหาเหตุผลมาสนับสนุนทฤษฎีของตัวเอง

ก่อนอื่นต้องเน้นย้ำก่อนว่าคำว่าสันติวิธีนี้ไม่ได้หมายถึงไม่มีความรุนแรงโดยสิ้นเชิง ไม่มีขบวนการเรียกร้องที่ไหนบนโลกนี้ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงได้ด้วยการนั้งพับเพียบรับตีนจากรัฐ ขอบเขตของความรุนแรงในสันติวิธีต้องคำนึงว่าความรุนแรงไม่ใช่คำตอบและลดทอนความชอบธรรมในการต่อสู้ ความรุนแรงที่ไม่มีความชอบธรรมจะนำไปสู่ความล้มเหลว

มีทฤษฎีเก่าแล้วละที่ใช้อธิบายพัฒนาของขบวนการเคลื่อนไหวด้วยสันติวิธี ใน Manifesto for Nonviolent Revolution ที่เขียนตั้งแต่ช่วงกลาง 1900s แบ่งลำดับขั้นของกระบวนการปฏิวัติโดยสันติวิธีไว้ 5 ขั้น
1. การปฏิวัติทางวัฒนธรรม
2. การสร้างเครือข่ายเคลื่อนไหว
3. การเผชิญหน้ากับรัฐ
4. การขยายตัวของการปะทะ
5. การสถาปนาอำนาจอธิปไตยใหม่

ที่นี้ลองเอาทฤษฎีนี้ไปจับกับสถานการณ์ ยกตัวอย่างเช่น ในพม่าสถานการณ์มันไปถึงระดับที่ 4-5 แล้ว อยู่ในช่วงที่เกิดการปฏิเสธอำนาจอธิปไตยเก่าในวงกว้างทั้งจากในและนอกประเทศ และมีการสถาปนาอำนาจอธิปไตยใหม่มารองรับ

หันกลับมามองในไทยปัจจุบันมันยังอยู่แถว ๆ ขั้นที่ 1-2 อยู่เลย และปัญหาที่มองเห็นได้คือเมื่อก้าวไปสู่ขั้นที่ 3 และ 4 ขบวนการสันติวิธีในไทยจะมีปัญหามากเพราะเรายังไม่มีพื้นฐานของเครือข่ายภาคประชาชนที่ดีมากพอที่จะก้าวไปสู่ขั้นที่ 4 ซึ่งอย่างที่บอกด้านบนว่าการเปลี่ยนแปลงมันไม่ใช่สิ่งที่ควบคุมได้ว่าจะให้เกิดเมื่อไหร่ หรือให้เกิดเมื่อพร้อม เมื่อมันถึงเวลาที่ต้องเกิดหากแนวทางสันติวิธีมันไปไม่ได้ มันย่อมนำไปสู่การปะทะรุนแรงและความสูญเสียที่ไม่ควรเกิดขึ้น

ผมยกตัวอย่างที่ผมบอกว่าจริง ๆ แล้วความเปลี่ยนแปลงเป็นผลลัพธ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของพลวัตทางการเมือง และการช่วงชิงความได้เปรียบจากภาวะโกลาหล

14 ตุลาคม 2516 คิดว่าหลายคนน่าจะรู้จัก แต่บางคนไม่รู้รายละเอียด เรื่องเริ่มจากการจับกุมกลุ่มนักศึกษาและอาจารย์ที่ออกมาเรียกร้องรัฐธรรมนูญ จนนำไปสู่การชุมนุมประท้วงที่ธรรมศาสตร์ เริ่มจากหลักพันเป็นหลักหมื่นคน รัฐบาลเปิดเจรจา นักศึกษาขอแก้ ม.17 รัฐบาลไม่ยอม การชุมนุมขยายตัวจนถึงหลักแสน รัฐบาลต่อรองยอมปล่อยตัวคนที่ถูกจับแลกกับยุติการชุมนุม แกนนำประกาศยุติ นักศึกษาเดินทางกลับผ่านทางสวนจิต ตำรวจไม่ให้ผ่าน เกิดการปะทะ หลังจากนั้นก็ชุลมุน ทหารเข้าสลาย มีคนตาย นักศึกษาแบกศพไปปลุกระดมกับชาวบ้านว่าทหารล้อมฆ่าประชาชน คนออกมามากขึ้น การปะทะลุกลามมากขึ้น จนมีพระราชดำรัสจากรัชกาลที่ 9 อย่างที่รู้กัน

ไม่มีใครรู้ว่าการเปลี่ยนแปลงจะมาถึง จนกระทั่งมันมาถึง

อีกอย่างที่อยากจะชี้ให้เห็นคือ ปัจจัยสำคัญของการปฏิวัติโดยสันติวิธีคือขบวนการนักศึกษา จากงานวิจัยของ อ.ประจักษ์ ในการศึกษาขบวนการนักศึกษาในต่างประเทศ ขบวนการนักศึกษาจะเข้มแข็งเมื่อประเทศเป็นเผด็จการ และจะอ่อนแอเมื่อประเทศเป็นประชาธิปไตย

สิ่งที่ทำให้ขบวนการนักศึกษาเป็นปัจจัยสำคัญ ทั้งที่แม้จะมีความด้อยทั้งด้านจำนวนและวัยวุฒิ เพราะนักศึกษาคือกลุ่มคนที่มีความชอบธรรมมากที่สุดในสังคม เป็นกลุ่มคนที่เป็นเยาวชน มีการศึกษา และมีสถานะที่บริสุทธิ์ในสังคม มีปฏิสัมพันธ์กับหลายชนชั้น เพราะฉะนั้นเผด็จการสมัยใหม่จึงมุ่งทำลายความชอบธรรมของขบวนการนักศึกษา
โพสต์บนแอป Soccersuck บน Android
แก้ไขล่าสุดโดย Wolvesgangster เมื่อ Sat Aug 13, 2022 17:30, ทั้งหมด 5 ครั้ง
4
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
โหวตเป็นกระทู้แนะนำ
ออฟไลน์
ผู้เยี่ยมชม
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 01 Mar 2021
ตอบ: 2923
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Sat Aug 13, 2022 17:19
ถูกแบนแล้ว
[RE: การปฏิวัติโดยสันติวิธี]
ยังไม่ได้อ่าน เห็นชื่อยูสแล้วแผลบก่อน ผมไข่ยูสนี้ครับ
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
(ทัณฑ์บนครั้งที่ 1)

ซุปตาร์ยูโร
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 22 Oct 2012
ตอบ: 7633
ที่อยู่: Stamford Bridge
โพสเมื่อ: Sat Aug 13, 2022 17:38
[RE: การปฏิวัติโดยสันติวิธี]
เก่งครับเก่ง
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
นักเตะอบจ.
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 27 Mar 2020
ตอบ: 1341
ที่อยู่: ฝากเอาไว้ในกายเธอ
โพสเมื่อ: Sat Aug 13, 2022 20:03
[RE]การปฏิวัติโดยสันติวิธี
ผมคิดว่ากลุ่มชาวเราสามกีบต้องเข้าใจก่อนว่า 1 2 3 4 คืออะไร ต้องทำขั้นตอนอะไรบ้างและจะต้องก้าวไปเจออะไร แบบที่ จขกท อธิบายมานั้นถูกต้องแล้วมันคือการ educate กลุ่มคนที่เข้าร่วมตอนนี้ ของไทยมันวนอยู่แค่ 1 2 แค่นั้นละ เพราะคนส่วนใหญ่ยังไม่รู้ว่า 3 4 essentials ไม่แพ้กัน พอคนมันขาดความรู้ว่าต้องยังไงต่อมันก็เลยเป็นแบบนี้ละ สู้ในสภา ใช้กฎหมาย แลนด์สไลด์ และสุดท้าย ชัยชนะก็ไม่มีวันเกิด สิ่งที่เผด็จการกลัวที่สุดคือ ปชช มีสมอง การศึกษาไทยมันเลยจมดิ่งแบบนี้ วันนี้เขาถึงไม่กลัวอะไรเลยเพราะเขารู้ว่า ฐานสามกีบเรามันยังไม่มีทางเดินไปถึง 3 4 แน่นวล
โพสต์บนแอป Soccersuck บน iOS
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
นักบอลถ้วย ก.
Status: Freedom is something you take.
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 22 Apr 2022
ตอบ: 953
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Sat Aug 13, 2022 20:18
[RE: การปฏิวัติโดยสันติวิธี]
ความเห็นส่วนตัวนะครับ (ถ้าเข้าใจผิดแย้งได้เพราะจะได้เข้าใจถูกครับ) - เค้าได้ล็อกเงื่อนไขให้วนอยู่แค่ 1-2 ไว้แล้วเพราะพวกเค้ารู้ถึงเงื่อนไขพลังที่สำคัญของฝั่งตรงข้ามคือการรวมตัวของประชาชนครับ พวกเค้าจึงใช้วิธีอุปโลกน์คนกลุ่มนึงเป็นเทพและใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือสร้างความเชื่อหล่อหลอมสมมติเทพขึ้นมาเพื่อสร้างกลุ่มที่ใช้ความเชื่อนำหน้าคือสลิ่มไว้เป็นเครื่องมือในระดับแรงงานไว้ฟาดฟันคนที่ความเชื่อต่างออกไป (เป็นวิธีเดียวกับที่ยุคกลางใช้) ในขณะเดียวกันก็สร้างเครือข่ายสลิ่มชั้นสูง (Elitist) ผ่านเครือข่ายเศรษฐกิจขึ้นมาเพื่อไว้เป็นอำนาจในการควบคุมกลุ่มชนชั้นสูงเพื่อให้คุมชนชั้นกลางอีกที และก็จะมีสลิ่มชั้นบนสุดไปอีก (กลุ่มที่ได้จ่ายตรง) เป็นฐานเสริมไปอีก ฝั่งนึงเอาผลประโยชน์ของประเทศและคนหมู่มากแลกกับประโยชน์ตน อีกฝ่ายจ่ายตรงเพื่อผลประโยชน์ตระกูลตัวเองในการผูกขาดกับคนหมู่มาก ทั้งหมดทั้งปวงคือระบบชนชั้นสูงหรือ Oligarch คล้ายแบบที่รัสเซียเป็นแต่ต่างที่ของไทยมีตระกูลนึงเป็นหัวโขนครอบอีกที

ด้วยเหตุนี้เงื่อนไขในการเกิดเหตุการณ์แบบพม่าจึงยากครับเพราะพม่าคนส่วนใหญ่ลุกขึ้นสู้แบบรวมตัวกันจริง ๆ ในขณะที่ของเรายังวนอยู่แค่สลิ่ม - แดง - ส้มหรือระดับมวลชนอยู่เลยครับ เค้าก็กวนไม่ให้รวมตัวกันติดง่าย ๆ เพื่อจะได้ทำอะไรได้สะดวก ระหว่างนี้ก็กดหัวอีกฝั่งด้วยเงิน อำนาจ อาวุธและทรัพยากรให้อีกฝั่งทั้งกลัว หิวและสิ้นหวัง ถึงแม้คนฝั่งเค้าจะน้อยลงเรื่อย ๆ ตายเรื่อย ๆ แต่คนที่เหลือส่วนใหญ่ยังมีอำนาจและทรัพยากรในมือที่จะประคองสถานการณ์ได้อีกนาน กว่าที่คนระดับแรงงานฝั่งเค้าจะลดเหลือจำนวนน้อยจนไม่เป็นประโยชน์น่าจะนานหลัก 10-15 ปีครับ ตัวเค้าเองก็มองออกว่าสุดท้ายเค้าต้านความเปลี่ยนแปลงไม่ได้แต่เค้าประคองให้นานที่สุดได้ครับ

สิ่งที่ผมต้องการสื่อคือวิธีการสันติวิธีที่ว่ามาใช้เวลานาน ใช้ทรัพยากรและความอดทนมากและไม่รับประกันผลสำเร็จในปลายทาง แต่ถ้ามันสำเร็จจะเป็นวิธีเปลี่ยนผ่านที่ดีสุดเท่าที่เป็นไปได้ครับ
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน





ออฟไลน์
นักบอลถ้วย ข.
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 24 Oct 2020
ตอบ: 1429
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Sat Aug 13, 2022 20:35
[RE]การปฏิวัติโดยสันติวิธี
ฝั่งนั้นมันเก่งตรงที่มันครอบงำและสูบทรัพยากรในระดับที่ตัวเองพอใจ

แต่ก็ไม่มากพอให้ประชาชนส่วนใหญ่เดือนร้อนแบบสุดๆ

ค่อยๆ เพิ่มดีกรีความปรสิตไปเรื่อยๆ

อันไหนทำแล้วพอไปต่อได้หรือแอบทำได้ก็ทำต่อ

อันไหนคนต้านมากๆก็ชะลอไปก่อน กระแสซาๆ ค่อยเอาใหม่

ถ้าใครไม่ไปแตะอำนาจรัฐ (ignorance) ก็จะพออยู่ได้

เลยทำให้มวลชลฝั่งซ้ายมันไม่เยอะพอสักที

กลายเป็นเกมส์ยาวที่ต้องรอการเพิ่มจำนวนคนรุ่นใหม่อย่างเดียว

เพราะคนที่เดือดร้อนในระยะยาวที่สุดก็คือคนรุ่นใหม่

โพสต์บนแอป Soccersuck บน iOS
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
ผู้ช่วยแมวมอง
Status: Would you rather die a hero?
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 24 Jun 2019
ตอบ: 8343
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Sat Aug 13, 2022 21:12
[RE: การปฏิวัติโดยสันติวิธี]
フライドチキン พิมพ์ว่า:
ความเห็นส่วนตัวนะครับ (ถ้าเข้าใจผิดแย้งได้เพราะจะได้เข้าใจถูกครับ) - เค้าได้ล็อกเงื่อนไขให้วนอยู่แค่ 1-2 ไว้แล้วเพราะพวกเค้ารู้ถึงเงื่อนไขพลังที่สำคัญของฝั่งตรงข้ามคือการรวมตัวของประชาชนครับ พวกเค้าจึงใช้วิธีอุปโลกน์คนกลุ่มนึงเป็นเทพและใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือสร้างความเชื่อหล่อหลอมสมมติเทพขึ้นมาเพื่อสร้างกลุ่มที่ใช้ความเชื่อนำหน้าคือสลิ่มไว้เป็นเครื่องมือในระดับแรงงานไว้ฟาดฟันคนที่ความเชื่อต่างออกไป (เป็นวิธีเดียวกับที่ยุคกลางใช้) ในขณะเดียวกันก็สร้างเครือข่ายสลิ่มชั้นสูง (Elitist) ผ่านเครือข่ายเศรษฐกิจขึ้นมาเพื่อไว้เป็นอำนาจในการควบคุมกลุ่มชนชั้นสูงเพื่อให้คุมชนชั้นกลางอีกที และก็จะมีสลิ่มชั้นบนสุดไปอีก (กลุ่มที่ได้จ่ายตรง) เป็นฐานเสริมไปอีก ฝั่งนึงเอาผลประโยชน์ของประเทศและคนหมู่มากแลกกับประโยชน์ตน อีกฝ่ายจ่ายตรงเพื่อผลประโยชน์ตระกูลตัวเองในการผูกขาดกับคนหมู่มาก ทั้งหมดทั้งปวงคือระบบชนชั้นสูงหรือ Oligarch คล้ายแบบที่รัสเซียเป็นแต่ต่างที่ของไทยมีตระกูลนึงเป็นหัวโขนครอบอีกที

ด้วยเหตุนี้เงื่อนไขในการเกิดเหตุการณ์แบบพม่าจึงยากครับเพราะพม่าคนส่วนใหญ่ลุกขึ้นสู้แบบรวมตัวกันจริง ๆ ในขณะที่ของเรายังวนอยู่แค่สลิ่ม - แดง - ส้มหรือระดับมวลชนอยู่เลยครับ เค้าก็กวนไม่ให้รวมตัวกันติดง่าย ๆ เพื่อจะได้ทำอะไรได้สะดวก ระหว่างนี้ก็กดหัวอีกฝั่งด้วยเงิน อำนาจ อาวุธและทรัพยากรให้อีกฝั่งทั้งกลัว หิวและสิ้นหวัง ถึงแม้คนฝั่งเค้าจะน้อยลงเรื่อย ๆ ตายเรื่อย ๆ แต่คนที่เหลือส่วนใหญ่ยังมีอำนาจและทรัพยากรในมือที่จะประคองสถานการณ์ได้อีกนาน กว่าที่คนระดับแรงงานฝั่งเค้าจะลดเหลือจำนวนน้อยจนไม่เป็นประโยชน์น่าจะนานหลัก 10-15 ปีครับ ตัวเค้าเองก็มองออกว่าสุดท้ายเค้าต้านความเปลี่ยนแปลงไม่ได้แต่เค้าประคองให้นานที่สุดได้ครับ

สิ่งที่ผมต้องการสื่อคือวิธีการสันติวิธีที่ว่ามาใช้เวลานาน ใช้ทรัพยากรและความอดทนมากและไม่รับประกันผลสำเร็จในปลายทาง แต่ถ้ามันสำเร็จจะเป็นวิธีเปลี่ยนผ่านที่ดีสุดเท่าที่เป็นไปได้ครับ  


จริง ๆ พม่าก็ไม่ได้เดินตาม step ที่ผมยกมาอ้างอิงหรอกครับ จริง ๆ เครือข่ายประชาชนของพม่าเองก็ไม่ได้แข็งแรงมากหรอกครับ กำลังอยู่ในช่วงพัฒนาเหมือนกัน แต่เขามีปัจจัยเสริมตรงที่ประเทศเขามันมีกองกำลังชนกลุ่มน้อยที่เป็นปฏิปักษ์กับรัฐอยู่แล้ว พอมันเกิดภาวะ failed state มันเลยมีทางไปต่อได้

สถานการณ์ในพม่ามันยากเพราะเผด็จการทหารมันผูกขาดอำนาจเด็ดขาดฝ่ายเดียวมาหลายสิบปี สถานการณ์ในไทยไม่ได้ยากขนาดนั้น การเมืองไทยเป็นการหาฉันทามติของหลายฝ่ายอำนาจ มันวางอยู่บนกรอบความร่วมมือที่เปราะบาง แค่มีแรงสะเทือนมากพอเสถียรภาพพวกนี้ก็พร้อมพังอยู่แล้ว

ขั้นตอนอย่างที่ผมอ้างอิงมันคือขั้นตอนการเปลี่ยนผ่านแบบสันติครับ อย่างที่ผมบอกว่าความเปลี่ยนแปลงมันไม่ได้รอพร้อมแล้วค่อยเกิด มันถึงจุดที่จะเกิดมันก็เกิด ถึงตอนนั้นถ้าสันติวิธีมันไม่มีทางไปต่อ มันจะจบด้วยการนองเลือด ตามประวัติศาสตร์มันมีแค่นี้แหละครับ

อย่างที่ท่านพิมพ์ไว้ถูกแล้วครับ ชนชั้นนำศักดินาพยายามสกัดปัจจัยที่เราจะก้าวไปสู่ขั้น 3 และ 4 ได้ หลายคนในขบวนการเคลื่อนไหว นักรัฐศาสตร์ นักนิติศาสตร์ ถึงได้กังวลว่าปลายทางของความเปลี่ยนแปลงมันจะจบด้วยการนองเลือดเพราะผู้มีอำนาจไม่เหลือทางเลือกอื่นไว้ให้สังคมได้ช่วยกันหาทางออก

แต่ก็อย่างที่ผมบอกในข้างต้นกระทู้ครับ ผมไม่เชื่อว่าความเปลี่ยนแปลงมันมีทฤษฎีตายตัว ทฤษฎีที่ผมยกมาผมก็ไม่คิดว่ามันเอามาใช้วางกรอบได้เช่นกัน ผมแค่ยกมาให้อ่านกันว่ามันมีทฤษฎีอะไรบ้างที่ใช้อธิบายเรื่องการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง

ส่วนตัวผมคิดว่าการเตรียมตัวและปรับตัวให้พร้อมช่วงชิงความได้เปรียบในสถานการณ์ที่สุกงอมคือปัจจัยที่สำคัญที่สุด
แก้ไขล่าสุดโดย Wolvesgangster เมื่อ Sat Aug 13, 2022 21:17, ทั้งหมด 2 ครั้ง
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ไปหน้าที่ 1
ไปที่หน้า
GO
ตั้งกระทู้ใหม่
กรุณาระบุเหตุผลที่จะแจ้งความ
ผู้ต้องหา:
ข้อความ:
Submit
Cancel
กรุณาเลือก Forum และ ประเภทกระทู้
Forum:

ประเภท:
Submit
Cancel