ไก่-หงส์ “ดราม่า” เกินเบอร์เพราะ “ผู้ตัดสิน”
ความมันระดับ 5 ดาวของเกมบิ๊กแมทช์ระหว่าง สเปอร์ส และ ลิเวอร์พูล ที่จบลงด้วยผลเสมอ 2-2 ถูกแตกประเด็นไปยังการทำหน้าที่ของผู้ตัดสิน พอล เทียร์นี่ย์ ที่ได้สร้างเหตุการณ์ขัดแย้งและย้อนแย้งมากมาย
ใบแดงของ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน ถูกเอาไปเปรียบเทียบกับการสไลด์เปิดปุ่มของ แฮร์รี่ เคน ที่ผู้ตัดสินไม่แม้แต่จะเดินไปดู VAR
อย่างไรก็ตามผมมองว่า 2 เหตุการณ์นี้หาก “กลับด้าน” ให้จังหวะของ “เคน” ไปอยู่ช่วงท้ายเกมนาที 76 โอกาสเป็นใบแดงค่อนข้างสูง
กล่าวคือมันจะเป็นช่วงที่บอลกำลังมีได้มีเสียส่วนใหญ่ผู้ตัดสินจะเริ่มเป่าแบบเข้มข้นขึ้น (และแจกง่าย) กว่าต้นเกมอันเป็นเรื่องปกติ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นที่ปฏิเสธไม่ได้เลยคือ “สายควัน” โฉ่งฉ่างเข้าบอลน่าเกลียดจากด้านหลังและเมื่อผู้ตัดสินที่ไม่ได้ยึดโยงอะไรกับมาตรฐาน เราจึงต้องมาวัดดวงว่าดุลพินิจ ณ เวลานั้นหวยจะออกที่ฝั่งไหน
เจมี่ เร้ดแนปป์ วิเคราะห์ว่าการเป็นกัปตันทีมชาติ อังกฤษ “ช่วย” ทำให้ เคน รอดพ้นจากใบแดง อารมณ์ประมาณผู้ตัดสินอาติดลูกเกรงใจ
แต่ประเด็นนี้ผมเฉยๆ เพราะด้วยความที่ เจมี่ แกเป็นอดีตเด็ก “หงส์” การวิเคราะห์มันจึงมีกลิ่น “bias” หน่อยๆ ฟังแล้วจิบกาแฟกลั้วคอพอได้อยู่
นอกจากประเด็นที่ว่ามาการ “ผลัก” ผู้เล่นที่กำลังมีโอกาสทำประตูจากด้านหลังไม่ว่าจะเป็น ดิโอโก้ โชต้า หรือ เดเล่ อัลลี่ เป็นอีกหลักฐานที่ชี้ชัดให้เห็นว่า เทียร์นี่ย์ เป่าแบบขัดแย้งจนเพี้ยนเป็นลูกโซ่
ผมเชื่อว่าหากเป็นผู้ตัดสินคนอื่นทั้ง 2 เหตุการณ์ต้อง “จุดโทษ” แต่ในเมื่อ เทียร์นี่ย์ ตั้งธงเอาไว้ในลูกของ โชต้า แล้วแกจึงไม่มีทางเลือกในจังหวะของ อัลลี่ ที่ต้อง play on เช่นกัน
รวมไปถึงจังหวะแฮนด์บอลของ โม ซาลาห์ ที่ก่อนจะลงเอยด้วยประตู 2-1 ของ โรเบิร์ตสัน ก็ถูกพูดถึงค่อนข้างเยอะในโลกโซเชี่ยลจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครแน่ใจว่าหากเป็นเกมอื่นจะถูก VAR ริบหรือไม่
ครับหลุดจากประเด็นการทำหน้าที่แบบมึนๆของผู้ตัดสินมาเข้าสู่เนื้อหาหลักของรูปเกมและความมันที่ต่อให้ถูกขโมยซีน (เล็กๆ) ก็ไม่สามารถลบล้างความสาแก่ใจและคุ้มค่าของแฟนบอลทั้ง 2 ทีม
สเปอร์ส เสียตัวสำคัญในแดนกลางอย่าง ปิแอร์ ฮอยแบร์ก แต่คนที่ติด โควิด รายอื่นๆทยอยกลับมาทั้งตัวจริงและสำรองรวมถึงเป็นเกมแรกของ “คลับไก่” ในรอบ 14 วัน
ในขณะเดียวกันพูดได้เต็มปากว่าการหายไปของ 3 มิดฟิลด์ “ในฝัน” ของ ลิเวอร์พูล (ตามข่าว เฮนโด้ ป่วยไม่ใช่ โควิด) ส่งผลอย่างหนักจนทำให้เจ้าถิ่นใช้ปัญหาตรงนี้เล่นงานจนมีโอกาส “จะแจ้ง” เยอะกว่า
กลางสำรองทั้งเจ้าหนู ไทเลอร์ มอร์ตัน, เจมส์ มิลเนอร์ และ นาบิล เกอิต้า ไม่สามารถช่วย “สกรีน” หรือ “ชะลอ” บอลจากฝั่ง สเปอร์ส ได้เลย ทำให้การดันไลน์สูงของแบ็คโฟว์เป็นจุดอันตรายเมื่อถึงคราวต้องวิ่งแข่งกับ เคน และ ซน
ด้วยความที่ สเปอร์ส เล่นคุมโซนเป็นอาชีพเพื่อล่อให้ฝั่งตรงข้ามขึงเกมและหลังลอย เราจะเห็นว่าในระหว่างที่เพื่อนๆ “ไก่” งานชุกกับการรับมือเกมรุกของ ลิเวอร์พูล จะปล่อยให้ทั้ง 2 คนยืนรอสวนแบบจริงจัง
เจ้าหนู มอร์ตัน ชั่วโมงบินน้อยการเก็บบอลหรืออ่านจังหวะตัดไม่มีทางจะเก็บเรียบเหมือนรุ่นพี่ได้แน่นอนซึ่ง เดอะ ค็อป ก็ไม่ได้คาดหวังอะไรสูงในเกมใหญ่แบบนี้อยู่แล้ว
ผมเห็นเพจนึงพูดถึงการจัดตัวของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ว่าไว้ใจ มอร์ตัน มากกว่าคนอื่นๆถึงเลือกให้ลงเล่นก่อน อเล็กซ์ ออกซ์เลด เชมเบอร์เลน และ ทาคุมิ มินามิโนะ
แต่มันทำแบบนั้นไม่ได้สิครับเพราะเจ้าหนูวัย 19 ปีเป็นผู้เล่นในตำแหน่งเบอร์ 6 ซึ่งรุ่นพี่ 2 คนเป็นตัวรุก ส่งมายืนร่วมกับ เกอิต้า และ คนแก่ที่จะอายุเต็ม 36 ในวันที่ 4 มกราคมอย่าง เจมส์ มิลเนอร์ ฉิบหายแน่ๆ
ปัญหาคือวันนี้ “ท่านรอง“ หมดสภาพจริงๆครับ กลายเป็นภาระให้รุ่นน้อง โดยเฉพาะครึ่งแรกแกจ่ายบอลพร้อม “เฝือก” ให้เพื่อน 4-5 หน (1 ในนั้นก็เป็นจังหวะที่ โรเบิร์ตสัน ถูก เคน เปิดปุ่ม)
สังเกตได้ว่าเกมของ “หงส์แดง” เริ่มควบคุมสถานการณ์ได้ดีขึ้นหลัง JK แก้เกมพักครึ่งให้ลูกทีมเพรสไวและสูงขึ้นซึ่งเป็นอะไรที่ สเปอร์ส เกลียดมากเนื่องจากปกติจะเป็นทีมเล่นช้าในแดนตัวเองแล้วจะมาปรับสปีดเมื่อพ้นแดนกลางขึ้นมา
ภาพที่ออกมาจึงเป็นนักเตะเจ้าถิ่นทำบอลเสียและทำเกมไม่ขึ้นอยู่พักนึงแต่อย่างที่บอกแท็คติกส์นี้ใช้ได้ไม่นานเพราะแดนกลางสำรองของ ลิเวอร์พูล วันนี้ไม่สามารถเติมเต็มระบบของ คล็อปป์ ได้เลย
เกมนี้ “หงส์แดง” เข้าทำและมีโอกาสมากกว่าก็จริง (18 ต่อ 9) แต่โอกาสจะแจ้งของ “คลับไก่” เยอะกว่าแบบเห็นๆ
ตั้งแต่ครึ่งแรกไม่ว่าจะเป็น ซน (แท็บอินหลุดเสา) หรือ อัลลี่ (แปโล่งๆ) รวมถึง เคน 2 หน (หลุดเดี่ยวและโหม่งเผาขน)
เป็น อลิสซอน คนเดียวล้วนๆที่ยื้อชีวิตช่วยชีวิตทีมเยือนไม่ให้แพ้ตั้งแต่ 45 นาทีแรก เสียอย่างเดียวที่แกตัดบอลพลาดจนทีมได้เปรียบจากการขึ้นนำตดยังไม่ทันหายเหม็นแค่ 4 นาทีเท่านั้น
แต่การเสียผู้เล่นแดนกลางและเหลือ 10 ตัวอีก 14+6 นาทีที่เหลือ “ผลเสมอ” จึงเป็นอะไรที่เสียงหายใจโล่งใจเฮือกใหญ่ของ ลิเวอร์พูล และน่าจะเป็นฝั่ง อันโตนิโอ คอนเต้ มากกว่าที่รู้สึก 3 แต้ม (ในวันที่หงส์ไม่ฟูล) หายไปต่อหน้าต่อตา
นี่แว่วมาว่าวันจันทร์นี้เหล่าสโมสรใน พรีเมียร์ลีก เตรียมถก “ฉุกเฉิน” เพื่อเลื่อนโปรแกรมการแข่งขัน “ยกสัปดาห์” เพื่อความยุติธรรมและคาดว่า macth day 20 (ที่เป็นช่วงถี่วันที่ 28/29/30 ธันวาคม) มีความเป็นไปได้มากที่สุด
ผมว่าการ “เบรก” พักไปเลยเป็นทางออกที่ดีที่สุดและแฟร์ที่สุดเพราะอย่างในเคสล่าสุดที่เกิดขึ้นกับ เชลซี มีผู้เล่นติดโควิด 7 คนในเกมเยือน วูลฟ์ ก่อนทำได้แค่เสมอ 0-0
ส่งผลทำให้ โธมัส ทูเคิ่ล ผู้จัดการทีมจำใจต้องส่งรายชื่อสำรองแค่ 6 คนและ 2 ในนั้นเป็นผู้รักษาประตู
ที่น่าเจ็บช้ำไปกว่านั้นคือ “สิงห์บลู” เห็นหลายทีมได้เลื่อนเพราะหลายคนติดโควิดแต่พอถึงคิวยื่นเรื่องกลับถูก พรีเมียร์ ปฏิเสธ
ในขณะที่หลายๆทีมเจอผลกระทบจาก โควิด จนอ่วมอรทัยแต่ไม่รู้ แมนฯซิตี้ ของ เป๊ป กวาดิโอล่า ไปทำอีท่าไหนสภาพทีมยัง “Full” เต็มสูบโดยแมทช์ล่าสุดบุกไปสอนบอล นิวคาสเซิ่ล 4-0
ตอนนี้นอกจากนำจ่าฝูงด้วยการทิ้งห่าง 3 แต้มที่เสมือนการันตีว่าพลาดได้ 1 เกมแล้วยังอัดรัวๆจนประตูได้เสีย +35 เท่า ลิเวอร์พูล และมีแนวโน้มว่าจะเร่งเครื่องทำเควสหลักและย่อยต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ศักยภาพของ “เรือใบ” ตอนนี้ห่างชั้นจนแช่งให้แพ้พลิกล็อกยากถึงยากมากจริงๆครับ...
สถิติ สถิติ สถิติ
แอนดี้ โรเบิร์ตสัน เป็นนักเตะคนแรกที่ “ยิง”, “จ่าย” และ “ถูกไล่ออก” ในเกมเดียวกัน (พรีเมียร์ลีก) นับตั้งแต่ อเล็กซานดาร์ มิโตรวิช เคยทำไว้ในเดือน พฤษภาคม 2016
ลิเวอร์พูล ยิง 50 ประตูใน 18 เกม พรีเมียร์ลีก ในซีซั่นนี้ นับเป็นการยิงครบครึ่ง 100 ในลีกไวที่สุดของสโมสรเลยทีเดียว
นับตั้งแต่ซีซั่น 2017-18 เมื่อ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน ย้ายมาร่วมทีมผนึกกำลังกับ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ ทั้งคู่แอสซิสต์ใน พรีเมียร์ลีก ไปแล้วคนละ 40 ลูกโดยมีแค่ 2 คนเท่านั้นที่ทำได้มากกว่าพวกเขาคือ โม ซาลาห์ (42) และ เควิด เดอ บรอยน์ (50)
ดิโอโก้ โชต้า ยิง 10 ประตูใน พรีเมียร์ลีก ในซีซั่นเดียวเป็นหนแรกของอาชีพการค้าแข้งและนับตั้งแต่ซีซั่น 2020-21 มีเพียง โดมินิค คัลเวิร์ต เลวิน (8) และ คริสเตียน เบนเทเก้ (7) ที่ทำประตูจากลูกโหม่งมากกว่าแข้งทีมชาติ โปรตุกีส (6)
แฮร์รี่ เคน ยิงประตูแรกใน พรีเมียร์ลีก ตลอดการลงสนาม 788 นาที ยุติเป้าสะอาด 8 เกมไร้ประตูต่อหน้าแฟนบอลตัวเองเรียบร้อย
แมนฯซิตี้ สร้างสถิติใหม่เป็นทีมแรกที่ชนะในลีกเกมที่ 34 ในปี 2021 หรือในปฏิทินเดียว
“เรือใบ” ยังยิงไปแล้ว 105 ประตูใน พรีเมียร์ลีก ในปี 2021 เป็นตัวเลขสูงสุดที่ทำได้ในปฏิทินเดียวโดยสถิติเดิมที่อยู่ยงคงกระพันคือ 104 ประตูในปี 1929 ถูกทำลายลงเรียบร้อยแล้ว
เจา คานเซโล่ มีส่วนโดยตรงกับ 10 ประตูให้ ซิตี้ ในทุกรายการซีซั่นนี้ (3 ประตู 7 แอสซิสต์) เป็นหนแรกที่กองหลังทำตัวเลข 2 หลักในซีซั่นเดียวภายใต้การทำทีมของ เป๊ป กวาดิโอล่า นับตั้งแต่ ดาวิด อลาบ้า เคยทำไว้ให้ บาเยิร์น มิวนิค ปี 2013-14
นิวคาสเซิ่ล เสียประตูใน พรีเมียร์ลีก ปี 2021 ไปแล้วถึง 79 ลูก นับเป็นตัวเลขสูงสุดในปฏิทินเดียวร่วมกับ อิปสวิช ทาว์น (ปี 1994)
เอ็ดดี้ ฮาว แพ้ใน พรีเมียร์ลีก 10 เกมรวดในการเผชิญหน้ากับ แมนฯซิตี้ เป็นสถิติที่ย่ำแย่ที่สุดของผู้จัดการทีมทุกคนในการเจอฝั่งตรงข้ามเลยทีเดียว
สถิติ 6 นัดหลังสุดของ วูลฟ์แฮมป์ตัน ยิงได้แค่ 4 ลูก (1-0 2 นัด,แพ้ 1-0 2 นัดและเสมอ 0-0 2 นัด) เป็นสถิติทำประตูน้อยที่สุดใน 6 เกมนับตั้งแต่ วีแกน เคยทำไว้ในเดือนมกราคม/กุมภาพันธ์ 2009 (4 ประตูเท่ากัน)
แก้ไขล่าสุดโดย เบน ฟรีคิก เมื่อ Mon Dec 20, 2021 04:26, ทั้งหมด 1 ครั้ง
โหวตเป็นกระทู้แนะนำ