แพทย์จุฬาฯ ชี้ แผนจัดซื้อวัคซีนของไทยแย่ที่สุดในโลก
แพทย์จุฬาฯ ชี้ แผนจัดซื้อวัคซีนของไทยแย่ที่สุดในโลก หลังรัฐบาลเตรียมซื้อ Sinovac เพิ่มอีก 28 ล้านโดสขณะสายพันธุ์ใหม่ระบาดหนัก
.
วันนี้ (22 มิถุนายน) รศ.นพ.นภชาญ เอื้อประเสริฐ อาจารย์ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กโดยระบุว่า แผนการจัดซื้อวัคซีนของไทยที่มีการเผยแพร่สู่สาธารณะที่จะจัดหา Sinovac เพิ่มอีก 28 ล้านโดสจาก 50 ล้านโดสในปีหน้า เป็นแผนการจัดซื้อวัคซีนที่แย่ที่สุดในโลก และสวนทางกับทุกประเทศทั่วโลก เป็นแผนการที่ไม่ได้อ้างอิงความรู้ใดๆ ในโลกปัจจุบันที่กำลังเผชิญกับปัญหา Variant of Concern ของ SARS-CoV-2 ซึ่งก่อให้เกิดโควิด-19 พร้อมชี้เหตุผลดังนี้
.
1. เชื้อที่กำลังเป็นปัญหาใหญ่ตอนนี้คือสายพันธุ์เดลตาซึ่งมาจากอินเดีย เป็นเชื้อที่ติดง่ายและแพร่กระจายเร็ว ในประเทศไทยเข้ามาแล้ว และในอีก 2-3 เดือนข้างหน้าอาจเป็นเชื้อหลักที่ระบาดในประเทศไทย
จากการศึกษาใน Real World Study ของสหราชอาณาจักร โดยเป็นข้อมูลจากอังกฤษและสกอตแลนด์ซึ่งมีวัคซีนหลัก 2 ชนิด คือ AstraZeneca และ Pfizer พบว่า การฉีดวัคซีนเพียงเข็มเดียวสามารถป้องกันการติดเชื้อแบบมีอาการได้เพียง 31% ต้องฉีด AstraZeneca หรือ Pfizer ครบ 2 เข็มจึงจะป้องกันการติดเชื้อแบบมีอาการได้ 80%
.
ตัวเลขตามข่าวที่บอกว่า ฉีดวัคซีนของ Pfizer หรือ AstraZeneca ป้องกันการนอนโรงพยาบาลได้ 96 และ 92% ตามลำดับไม่มีประโยชน์สำหรับนโยบายสาธารณสุขของไทย เพราะตอนนี้เราให้ทุกคนที่มีอาการไม่ว่ามากหรือน้อย หรือแม้แต่ตรวจพบเชื้อแต่ไม่มีอาการ นอนโรงพยาบาลทุกคน ซึ่งต่างจากในอังกฤษหรือสกอตแลนด์ที่นอนโรงพยาบาลเฉพาะคนที่เริ่มมีอาการมาก
.
2. ถึงแม้วัคซีนของ AstraZeneca จะยังมีประสิทธิภาพป้องกันสายพันธุ์เดลตาได้ดี แต่พบว่าสายพันธุ์เบตา (แอฟริกาใต้) พบว่าถึงแม้จะฉีด AstraZeneca ครบ 2 เข็มแล้วไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อแบบมีอาการได้ ถึงแม้จะยังอาจป้องกันการติดเชื้อรุนแรงหรือลดอัตราตายได้ก็ตาม
.
ดังนั้นถ้าสายพันธุ์เบตาระบาดหนัก ซึ่งตอนนี้เริ่มมีการระบาดในภาคใต้แล้ว และอาจจะกระจายไปภาคอื่นต่อไป จะเกิดปัญหาหนักขึ้นมาทันที เพราะวัคซีนที่ฉีดตอนนี้ไม่ว่า 1 เข็ม หรือครบ 2 เข็มแล้วอย่าง Sinovac หรือ AstraZeneca จะป้องกันการติดเชื้อแบบมีอาการไม่ได้อีกต่อไป
.
3. ดังนั้นแผนการจัดหาวัคซีนปีนี้ที่จะมี AstraZeneca เป็นวัคซีนหลัก ถ้าได้มาฉีดครบตามแผน 30 ล้านคน และมีวัคซีน Pfizer เสริมสำหรับ 10 ล้านคน Johnson & Johnson อีก 5 ล้านคน และมี Moderna อีกสัก 1 ล้านคน ผมคิดว่าถึงปลายปีน่าจะควบคุมสถานการณ์ได้ เพราะสุดท้ายผมเชื่อว่าสายพันธุ์ที่แพร่ง่ายกว่าอย่างสายพันธุ์อินเดียจะชนะ และเป็นสายพันธุ์หลักที่ระบาด
.
ถ้าเราได้ AstraZeneca มาทันตามแผนที่ประชาสัมพันธ์ไว้จริง น่าจะไม่แย่ไปกว่านี้มากนัก และน่าจะดีขึ้นหลังเดือนตุลาคม
.
4. แต่แผนการจัดหาวัคซีนปีหน้าอีก 50 ล้านโดส ที่ประกาศไว้วันที่ 18 มิถุนายน ว่าจะซื้อ Sinovac อีก 28 ล้านโดส และวัคซีนอื่นๆ อีก 22 ล้านโดส คือแผนการที่แย่ที่สุดในโลก เพราะเป็นแผนการที่ไม่ได้ใช้ความรู้และสติปัญญาในการคิดอย่างรอบคอบตามหลักวิชาการเลย ถ้าบอกว่าทั้งนี้ขึ้นกับประสิทธิภาพของวัคซีนและสถานการณ์ของเชื้อกลายพันธุ์ ตอนนี้ต้องยกเลิกแผนได้แล้วครับ ปีหน้าอีก 50 ล้านโดสต้องเป็น mRNA Based Vaccine อย่าง Pfizer หรือ Moderna ร่วมกับ AstraZeneca อีก 100 ล้านโดส ไม่ใช่ 50 ล้านโดส และถ้าจะต้องฉีดเพิ่มในเด็กอายุ 2-17 ปี ต้องจัดหาเพิ่มอีกเป็น 130 ล้านโดส คือแย่ทั้งชนิดของวัคซีนที่เลือก และปริมาณวัคซีนที่ต้องจัดหาเพิ่ม
.
5. สุดท้ายแผนที่แย่พอกันคือ การเปิดประเทศหลังฉีดวัคซีนโดสแรกให้ประชาชน 50 ล้านคน ครบ 120 วัน ถ้าเป็นแผนการฉีดวัคซีนโดสแรกให้ประชาชน 50 ล้านคนภายใน 120 วัน อันนี้ถือเป็นเป้าหมายที่ถูกต้องและต้องผลักดันให้สำเร็จ แต่การเปิดประเทศภายใน 120 วันหลังฉีดวัคซีนโดสแรก 50 ล้านคน ไม่ว่าวัคซีนนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม ในสถานการณ์ที่สายพันธุ์เดลตากำลังระบาดเพิ่มขึ้น และมีแนวโน้มจะเป็นสายพันธุ์หลักในอนาคต และกำลังเริ่มมีการระบาดของสายพันธุ์เบตาในภาคใต้
.
อย่าลืมว่า AstraZeneca หรือ Pfizer เข็มแรกป้องกันการติดเชื้อแบบมีอาการของสายพันธุ์เดลตาได้เพียง 30% ต้องรอเข็มที่ 2 ถึงจะเพิ่มเป็น 80% ซึ่ง AstraZeneca ภูมิคุ้มกันจะขึ้นหลังเข็มแรกต้องรอประมาณ 4 สัปดาห์ (อย่างน้อย 2 สัปดาห์) และต้องฉีด 2 เข็มห่างกัน 12 สัปดาห์ ถ้าเปิดประเทศจริง การระบาดอาจเพิ่มสูงกว่านี้หลายเท่า
.
6. แผนการจัดหาวัคซีนมีความสำคัญมากโดยเฉพาะปีหน้า หากอเมริกาและยุโรปควบคุมการระบาดได้แล้ว เขาย่อมสนใจติดต่อกับประเทศที่ควบคุมการระบาดได้ ประเทศอื่นๆ เริ่มกลับลำแผนการจัดหาวัคซีนแล้ว มีแต่ประเทศไทยนี่แหละที่ประกาศแผนการจัดหาวัคซีนสวนทางคนทั้งโลก
.
“ผมใช้คำว่าแผนการจัดหาวัคซีนที่แย่ที่สุด เพราะไม่รู้ว่าที่มันแย่แบบนี้เพราะเหตุผลอะไร ปัญญา สามัญสำนึก ความรับผิดชอบ หรือคุณธรรม ถ้าไม่อยากได้วัคซีนตามแผนนี้ของรัฐบาล รบกวนช่วยกันออกมาโวยวาย อย่าปล่อยให้มันเงียบแล้วก็รับกรรมกันต่อไปอีกปีครับ” รศ.นพ.นภชาญ ระบุทิ้งท้าย
.
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 18 มิถุนายนที่ผ่านมา นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) เปิดเผยว่า ที่ประชุม ศบค. เห็นชอบแผนการจัดหาวัคซีนจาก 100 ล้านโดสภายในปี 2564 เพิ่มเติมเป็น 150 ล้านโดสภายในปี 2565 โดยขณะนี้ประเทศไทยมีการจัดหาดำเนินการเจรจาจองวัคซีนแล้ว 105.5 ล้านโดส ประกอบด้วย AstraZeneca 61 ล้านโดส, Sinovac 19.5 ล้านโดส, Pfizer 20 ล้านโดส, Johnson & Johnson 5 ล้านโดส
.
ดังนั้นประเทศไทยต้องเตรียมงบประมาณจัดหาจัดซื้อวัคซีนเพิ่มเติมให้ครบ 150 ล้านโดส โดยให้ภาครัฐจัดหาวัคซีนดังต่อไปนี้ วัคซีน Sinovac ประมาณ 28 ล้านโดส วัคซีนโควิด-19 อื่นๆ ประมาณ 22 ล้านโดส แต่ทั้งนี้ขึ้นกับผลการศึกษาประสิทธิภาพของวัคซีนและสถานการณ์ของเชื้อกลายพันธุ์
Credit : The Standard