การค้าทาสข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกกว่า 10 ล้านคน
การค้าทาสข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก
“ทาส” ไม่มีสถานะเท่ากับมนุษย์ ทาสคือสินค้าที่มีชีวิต
จุดกำเนิดของทาสนั้นมีมาตั้งเเต่สมัยประวัติศาสตร์โบราณ จากการทำสงครามกันระหว่างชนเผ่า ฝ่ายแพ้จะต้องตกเป็นทาสของฝ่ายชนะ
ในสมัยอียิปต์ ก็มีเอาเชลยศึกจำนวนมหาศาลไปแบกหินสร้างพีระมิดที่คนธรรมดาที่ไม่ใช่ทาสสร้างไม่ได้
กองทัพโรมันรบชนะสิบทิศ นำเชลยศึกนับแสนไปสร้างตึกรามบ้านช่องใหญ่โตในกรุงโรม
การค้าทาสข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก มีการค้าขายขนส่งทาสจากแอฟริกันที่ถูกกดขี่ประมาณ 10 ล้านถึง 12 ล้านคน
ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกไปยังอเมริกาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 ถึงศตวรรษที่ 19
ซึ่งอาวุธสิ่งทอและไวน์จะถูกส่งจากยุโรปไปยังแอฟริกา จากนั้นทาสจากแอฟริกาจะถูกส่งไปที่อเมริกา เเละอเมริกาจะส่งน้ำตาลกับกาแฟไปยังยุโรป
ซึ่งจะถูกเรียกว่า สามเหลี่ยมการค้าทาสเเห่งเเอตเเลนติก
ในช่วงปี ค.ศ.1480 เรือของโปรตุเกสได้ขนส่งชาวแอฟริกันเพื่อนำไปใช้เป็นทาสในสวนน้ำตาลในหมู่เกาะเคปเวิร์ดและมาเดราในมหาสมุทรแอตแลนติกตะวันออก แเละต่อมาพ่อค้าชาวสเปนก็ได้พาทาสชาวแอฟริกันไปยังทะเลแคริบเบียน
แต่พ่อค้าชาวโปรตุเกสกฌยังคงมีอิทธิพลเหนือการค้าทาสข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกต่อไปอีกกว่าศตวรรษครึ่ง โดยเเหล่งค้าทาสของโปรตุเกสอยู่ในพื้นที่คองโก - แองโกลาตามชายฝั่งตะวันตกของแอฟริกา
ต่อมาชาวดัตช์กลายเป็นพ่อค้าทาสที่สำคัญที่สุดในช่วงศตวรรษที่ 16 และในศตวรรษต่อมาอังกฤษและพ่อค้าชาวฝรั่งเศสได้เอามาควบคุมการค้าทาสข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกกว่าครึ่งหนึ่งในเเอฟริกา
โดยได้ทาสส่วนใหญ่จากเเอฟริกาตะวันตกระหว่างแม่น้ำเซเนกัลและไนเจอร์ มีจำนานทาสแอฟริกันไม่กี่เเสนที่ถูกนำไปอเมริกาในช่วงก่อนศตวรรษที่ 16
เเต่ในศตวรรษที่ 17 ก็มีความต้องการใช้แรงงานทาสเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วกับการเติบโตของสวนตาลในแคริบเบียน และพื้นที่เพาะปลูกยาสูบในทวีปอเมริกาเหนือ
ทาสจำนวนมากที่สุดถูกพาไปยังทวีปอเมริกาในช่วงศตวรรษที่ 18 เมื่อตามการคาดการณ์ของนักประวัติศาสตร์พบว่าเป็นจำนวนเกือบสามในห้าของปริมาณการค้าทาสข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก
การค้าทาสส่งผลกระทบร้ายแรงในแอฟริกา
การเพิ่มของจำนวนประชากรในเเเเอฟริกาและความหวาดกลัวต่อการที่ถูกนำขาย ใช้งานในการพัฒนาทางเศรษฐกิจและการทำเกษตร ผู้คนส่วนใหญ่ที่ถูกจับเป็นทาสจะเป็นผู้หญิงในวัยสาว และชายหนุ่มที่โดยปกติจะเริ่มสร้างครอบครัว เเต่จะทิ้งคนที่เป็นผู้สูงอายุหรือคนพิการ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีส่วนช่วยในด้านเศรษฐกิจของสังคมได้น้อยที่สุด
ปัจจุบัน นักประวัติศาสตร์ได้ถกเถียงถึงลักษณะและขอบเขตของจำนวนทาสในแอฟริกาที่ถูกนำไปขาย ในช่วงปีแรก ๆ ของการค้าทาสข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก ชาวโปรตุเกสได้ซื้อชาวแอฟริกันที่ถูกจับไปเป็นทาสในช่วงสงครามชนเผ่า
เเต่เมื่อความต้องการทาสเพิ่มขึ้นพ่อค้าชาวโปรตุเกสก็เริ่มเข้ามาในแอฟริกาเพื่อกวาดต้อนทาสไปขาย ซึ่งในขณะนั้นพ่อค้าชาวยุโรปจากชาติอื่นๆ ได้เริ่มเข้ามาเกี่ยวข้องกับการค้าทาส เเต่พวกเขายังคงอยู่เรือเเละซื้อทาสจากเผ่าชาวเเอฟริกันที่ขนมาขายให้
ซึ่งเหล่าทาสที่จับกุมมาขายต้องเดินมาที่ชายฝั่งซึ่งเป็นการเดินทางที่ไกลถึง 300 ไมล์ (485 กม.) โดยปกติทาสจะถูกล่ามโซ่ไว้ที่ข้อเท้าและเสาของทาสถูกมัดด้วยเชือกรอบคอ ทาสประมาณ 10 ถึง 15 เปอร์เซ็นต์จะเสียชีวิตระหว่างเดินทางไปยังชายฝั่งเส้นทางแอตแลนติก (หรือ Middle Passage ) เป็นที่เลื่องลือในเรื่องความโหดเหี้ยมและสภาพที่แออัดและไม่ถูกสุขอนามัยบนเรือทาส
ซึ่งทาสแอฟริกันหลายร้อยคนต้องอยู่อัดกันแน่นในชั้นที่ต่ำกว่าชั้นดาดฟ้า สำหรับการเดินทางจะประมาณ 5,000 ไมล์ (8,000 กม.)
โดยปกติแล้วทาสจะถูกล่ามโซ่ไว้ด้วยกันและจะไม่อนุญาตให้นั่งตัวตรง ทั้งความร้อนที่เเออัดกันและระดับออกซิเจนที่ต่ำ ทาสแอฟริกันได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอก ที่ชั้นบนได้เพียงไม่กี่ชั่วโมงในแต่ละวัน
นักประวัติศาสตร์คาดการณ์ว่าระหว่าง 15 ถึง 25 เปอร์เซ็นต์ของทาสชาวแอฟริกันที่ผูกมัดเสียชีวิตบนเรือทาสระหว่างมายังอเมริกา
บัญชีอัตชีวประวัติของแอฟริกาตะวันตก Olaudah Equiano ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1789 ที่ได้บรรยายถึงภาพของความทุกข์ทรมานที่ต้องทนทุกข์ทรมานจากการเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก การทารุณกรรมและการล่วงละเมิดทางเพศของทาสที่ถูกกดขี่เป็นที่แพร่หลาย
ในปี ค.ศ.1781 ได้มีเหตุการณ์ที่น่าอับอายของเรือทาสซง เมื่อทั้งชาวแอฟริกันและลูกเรือเสียชีวิตด้วยโรคติดเชื้อ
ร.อ.ลุคคอล ลิงวูด หวังที่จะหยุดยั้งโรคนี้สั่งให้ชาวแอฟริกันมากกว่า 130 คนถูกโยนลงน้ำ จากนั้นเขาก็ยื่นเรื่องประกันมูลค่าทาสที่ถูกสังหาร
เเละเหตุการณ์ที่โด่งดังที่เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1839 เมื่อมีทาสเเอฟริกันชื่อ Joseph Cinqué เป็นผู้นำการกบฏกับทาสอีก 53 คนที่ซื้อมาอย่างผิดกฎหมายบนเรือทาสของสเปน พวกเขาได้ทำการสังหารกัปตันและสมาชิกสองคนของลูกเรือ ในที่สุดศาลสูงสุดของสหรัฐก็มีคำสั่งให้ปล่อยทาสแอฟริกันเหล่านั้นกลับบ้านไป
ในช่วงเวลาของ การปฏิวัติอเมริกา ประมาณปี ค.ศ. 1775–1783 ได้มีการสนับสนุนอย่างกว้างขวางในอาณานิคมทางตอนเหนือของอเมริกา เพื่อห้ามไม่ให้มีการนำเข้าทาสมากขึ้น หลังจากการปฏิวัติด้วยการยืนกรานของรัฐทางใต้สภาคองเกรสรอนานกว่าสองทศวรรษก่อนที่จะทำให้การนำเข้าทาสเป็นสิ่งผิดกฎหมาย
จากนั้นบริเตนใหญ่ได้มีสั่งเลิกทาส ซึ่งเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายทั่วทั้งอาณาจักรในปี ค.ศ.1833 กองทัพเรืออังกฤษได้ต่อต้านการค้าทาสในมหาสมุทรแอตแลนติกและใช้เรือของตนเพื่อพยายามขัดขวางการดำเนินการค้าทาส
ซึ่งทำให้บราซิลได้ยกเลิกการค้าทาสในปี ค.ศ.1850 แต่ก็ยังมีการลักลอบนำทาสใหม่เข้ามาในบราซิลอยู่บ่อยครั้ง
จนในที่สุดบราซิลก็ประกาศปลดปล่อยทาสทั้งหมดในปี ค.ศ.1888