(Man utd) Full Season Review
Full Season Season Review
ปิดฉากอย่างเป็นทางการแล้วสำหรับฤดูกาล 2020/21 ผมขอเขียนบทสรุปฤดูกาลนี้ของยูไนเต็ด นับว่าเป็นฤดูกาลที่หนักหน่วง ยาวนาน ยังมีโปรแกรมแข่งอันผิดปกติ ทีมของเรามีทั้งช่วงเวลาที่ดี - ร้ายเข้ามาสลับกันไปซึ่งฤดูกาลนี้ผมตามดูทีมชุดใหญ่ครบทุกนาทีทั้ง 61 นัด รวมกับทีมชุด u18s + u23s รวมกันอีกกว่า 50 นัด เท่ากับได้ดูนักเตะของสโมสรอันเป็นที่รักไปเต็มอิ่ม 100 กว่านัด หลังจากนี้จะได้พักผ่อนกันอย่างเต็มที่สักที่ (ถึงแม้ยูโรยังมีภารกิจเชียร์ฝรั่งเศสคว้าแชมป์)
เริ่มกันด้วยรุ่นเล็กสุดเป็นฤดูกาลที่เราเสริมตัวมาเยอะเพื่อเตรียมรับ brexit ที่จะมีผลกระทบโดยตรงกับนักเตะอายุต่ำกว่า 18 ปี โดยเราเซ็นไปถึง 9 คนมาเสริมในชุดนี้ ถึงแม้จะมีบางคนที่ฟอร์มดีและปรับตัวได้เร็วจนขึ้นไปช่วย u23s เกือบทั้งฤดูกาลอย่างฮูกิล และ อัลวาโร่ แต่ส่วนใหญ่ที่ย้ายกันเข้ามาจะอยู่ในทีมชุด u18s ที่รวมพลังสู้จนเกือบจะคว้าแชมป์ลีกโซนภาคเหนือได้อยู่แล้วเบียดกับเยาวชนปีศาจของแมนซิตี้แพ้ไปแค่ 1 คะแนน (ทั้งฤดูกาลซีตี้แพ้นัดเดียว และ แพ้เรานั่นเอง) นักเตะที่ย้ายมาใหม่ส่วนใหญ่ก็ทำผลงานได้ดี 2 คนที่มีแววรุ่งสุดแน่นอนว่าก็คือ แฮนเซ่น และ แมคนีล ที่ฟอร์มร้อนแรงต่อเนื่องทั้งฤดูกาล โดยแมคนีลคว้าดาวซัลโวของลีกระดับ u18s ได้ด้วยจำนวน 24 ประตู
หลายคนของชุดนี้ที่มีแววว่าน่าจะได้โปรโมทไประดับชุด u23s ปีหน้ากันหลายคน ตามที่ผมประเมินพวกตัวหลักที่ฟอร์มสม่ำเสมอได้ลงต่อเนื่อง แฮนเซ่น แมคนีล ซิเดสกี้ อิกบัล ฮูเกเวิด เอเมเรน ซาเวจ วิเทค เวลเลน ฟอร์สัน ไพ ฮาร์ดลีย์ คงขึ้นไปเป็นขาประจำในชุดนั้นกัน ส่วน ฆูราโด้ การ์นาโช่ ยังรู้สึกว่าจะต้องพัฒนาตัวเองในระดับ u18s อีกสักปี รวมกับเด็กที่จะดันขึ้นมาจาก u15 และ น่าจะมีการดึงตัวพวกดาวรุ่งมีแววมาเสริมอีก 3-4 คน เพื่อมาช่วยทีมชุดนี้หลังจากได้ดึง Jamahl Jarrett แมวมองสายลอนดอนและโซนตอนใต้ของอังกฤษมาจากคริสตัลพาเลชน่าจะทำให้มีเครือข่ายนักเตะจากโซนนั้นมาเสริมบ้าง ฤดูกาลนี้ถือว่าเด็กๆ สู้กันได้ดีแล้วเสียดายนิดเดียวที่ไม่สามารถคว้าแชมป์ได้แต่ก็เป็นประสบการณ์ และ ทำผลงานได้ดีแล้ว ขอให้คะแนนทีมงาน และ นักเตะชุดนี้ 9.5/10 คะแนนเลย
ต่อกันด้วยทีมชุด u23s ที่เริ่มต้นฤดูกาลด้วยขุมกำลังที่ขาดความสมดุล มีปัญหาเยอะพอสมควร ทั้งการที่เมลเลอร์กองหน้าเป้าตัวหลักเจ็บ ACL ไปทั้งฤดูกาล รวมถึงทีมชุดนี้นโยบายทางเราเน้นที่การส่งเสริมพัฒนาให้นักเตะรุ่นนี้ได้มีพัฒนารายบุคคลเพื่อโอกาสในอนาคตจะได้ขึ้นไปเป็นนักเตะชุดใหญ่มากกว่าการเน้นสร้างขุมกำลังทีมที่แข็งแกร่ง เพราะช่วงอายุวัย 19-21 ปี นักเตะเหล่านี้จำเป็นที่ต้องได้ลงเล่นในเกมส์ระดับผู้ใหญ่อย่างต่อเนื่องทุกสัปดาห์มากกว่าการลงเล่นระดับ u23s เนื่องจากเป็นช่วงที่จะมีพัฒนาการ ปรับการเล่นให้ขึ้นสู่ระดับอาชีพได้อย่างแท้จริง ดังนั้นถึงแม้จะทำให้ขุมกำลังโดยรวมอ่อนลง แต่ทางทีมงานก็จะไม่ลังเลในการให้นักเตะตัวหลักของชุดนี้ที่มีแววในอนาคต แต่ระดับยังไม่พอที่จะเล่นชุดใหญ่ให้กับทีมอย่างยูไนเต็ดได้ ออกไปยืมตัวเป็นส่วนใหญ่ แล้วจึงมาประเมินระดับผลงาน การเติบโตของแต่ละคน โดยเราส่งแกนหลักของชุดนี้ไปยืมตัวหลายคนทั้ง การ์เนอร์ เลด เลวิท ชง โควา เมนกิ เบอนาร์ด ทำให้ขุมกำลังรวมยวบไปพอสมควร แต่ก็ยังมี 2 ท็อปสตาร์จาก u18s ปีก่อนขึ้นมาเป็นแกนหลักคีย์แมนคอยแบกทีมอย่าง ฮันนิบัล และ อีแลนกา ที่ทำผลงานโดดเด่นสม่ำเสมอทั้งซีซั่น ยังมีกำลังเสริมอย่าง โชล่า ที่มาช่วยได้ดีอีกคน กับคนที่ยังอยู่อย่าง กัลเบท ปิกมัล แมคแคน และ กลุ่มนักเตะอายุ 16-17 ปีที่ขึ้นมาช่วยเสริมอย่าง อัลวาโร่ ฮูกิล ฟิช ก็ทำให้ยังพอประคองตัวจบกลางตารางได้ ถึงแม้ผลงานภาพรวมของทีมไม่ได้ดีโดดเด่นอะไรนัก เนื่องจากเกมส์รุกยิงเยอะ เกมส์รับพร้อมแจก แต่ผลงานโดยส่วนตัว 3 ท็อปสตาร์ของรุ่นก็เพียงพอกับการที่จะได้รับโอกาสขึ้นไปซ้อมกับชุดใหญ่อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงกลางฤดูกาล และ ใกล้เคียงจะได้รับการโปรโมทปรับสถานะไปเป็นแบคอัพขุมกำลังชุดใหญ่ในปีหน้า ตรงกับวัตถุประสงค์ วัฒนธรรมอันยาวนานของสโมสร
ยังน่าลุ้นสำหรับ 2 นักเตะรุ่นก่อนหน้าอย่าง การ์เนอร์ และ เลด ที่ทำผลงานได้ดีเยี่ยมในการยืมตัวจะกลับมาสมทบในการเตรียมทีมปรีซีซั่นฤดูกาลหน้า ถ้าสามารถพิสูจน์ให้ทีมสตาฟประเมินว่าพร้อมสำหรับชุดใหญ่ก็จะได้รับโอกาสเข้าเป็นขุมกำลังกันต่อไป ถ้าในแง่ผลงานทีมผมให้คะแนนที่ 6.5/10 คะแนน แต่ถ้าในแง่การพัฒนาปั้นนักเตะเพื่อส่งขึ้นชุดใหญ่ให้ไป 9/10 คะแนน เพราะมีโอกาสเป็นไปได้ว่าอาจจะโปรโมทเข้าขุมกำลัง 4-5 คนเลยซึ่งถือเป็นอัตราส่วนที่สูงมากเกินระดับปกติต่อรุ่นด้วย (รุ่นนึงขึ้นได้สัก 2-3 คนถือว่าประสบความสำเร็จมากแล้ว)
สุดท้ายมาว่ากันยาวๆ กับทีมชุดใหญ่ที่ผ่านเรื่องราวมากมายเหลือเกินในฤดูกาลนี้ โดยก่อนเริ่มต้นฤดูกาล ผมตั้งเป้าผลงานของทีมในใจไว้เมื่อประเมินจากขุมกำลังที่มีจากการเสริมทัพ คะแนนที่คิดไว้คือ 75 คะแนน เป็นคะแนนที่เหมาะสมกับขุมกำลัง ถ้าใครอยู่ในบอร์ด SS น่าจะจำได้เพราะผมได้คุยกันเรื่องนี้หลายครั้ง - ผมเชื่อมาตลอดว่าปัจจัยสำคัญของการต่อสู้ฤดูกาลอันแสนยาวนานคือขุมกำลังที่ใหญ่ และ พร้อมทดแทนกัน ทีมที่ได้เปรียบคือ แมนซิตี้ กับ เชลซี (ในแง่ของการมีนักเตะระดับฝีเท้าใกล้เคียงกัน 18-21 คน ซึ่งของเราตอนนี้อยู่ประมาณ 13-15 คนเท่านั้น) โดยเป้าหมายในฤดูกาลนี้คือ ลดความห่างระหว่าง 2 ทีมเต็งอย่างแมนซิตี้ และ ลิเวอร์พูด ทำคะแนนให้ได้มากกว่าฤดูกาลที่แล้ว และ การันตี UCL ให้เร็วที่สุด ใครที่บอกว่าเราต้องไปให้ถึงแชมป์ตัวผมเองเชียร์ทีมสุดใจเกินร้อย แต่ส่วนตัวผมประเมินตามความเป็นจริงคือไม่เคยเชื่อว่าปีนี้เราจะได้แชมป์
เราออกสตาร์ทฤดูกาลนี้อย่างยากลำบาก ทั้งเอฟเฟคจาการเข้ารอบลึกในยูโรป้าฤดูกาลที่แล้วด้วยรูปแบบจัดการแข่งผิดปกติ กว่าจะจบฤดูกาลล่อไปเกือบปลายเดือนสิงหาคม ทำนักเตะไม่ได้ต้องเก็บความล้าสะสมไว้ แถมมีเพียงทีมเรากับแมนซิตี้ที่ไม่มีแคมป์ปรีซีซั่นที่ใช้เตรียมทีมทั้งความฟิต แทคติค การปรับตัวของนักเตะใหม่ให้เข้ากับทีม มีนัดอุ่นเครื่องเพียง 1 นัดก่อนเปิดฤดูกาล ด้วยสภาพที่ไม่พร้อมลงเล่นนัดแรกในขณะที่ทีมอื่นลงเล่นเป็นนัดที่ 2 และ ทีมส่วนใหญ่ได้อุ่นเครื่อง 3-4 นัด เท่ากับความพร้อมตามหลังทีมอื่นอยู่ประมาณ 4-5 นัด
ผลงานช่วงต้นเห็นได้ชัดว่าการเคลื่อนที่ร่างกายของนักเตะช้ากว่าคู่แข่งอยู่ถึง 2-3 จังหวะเลยไม่ใช่ช้ากว่าแค่จังหวะเดียว ปอกบาคีย์แมนของแผนชุดนี้ก็มาติดโควิทจนสภาพร่างกายย่ำแย่ไปอีก ทำให้แพ้อย่างหมดสภาพทั้งพาเลช ท็อตแน่ม ซึ่งในช่วงแรกแมนซิตี้เองสภาพ และ ผลงานก็แทบจะไม่ต่างจากเราเลย ก่อนที่ตลาดซื้อขายจะปิดลงไปในช่วงที่เรากำลังย่ำแย่ แบบทำให้แฟนบอลขาดความเชื่อมั่นกันเพราะพลาดเป้าหมายหลักไป ได้เพียงนักเตะที่มาเป็น Squad Rotation 3 คน และ ดาวรุ่ง 2 คน
หลังจากนั้นทีมถึงค่อยๆ ทำงานหนักเรียกฟอร์มและความแข็งแกร่งกลับมาได้ทีละนิด แต่ยังห่างจากกลุ่มนำฟอร์มแรงอย่างหงส์แดง และ พี่ไก่ท็อตแน่มที่สตาร์ทได้อย่างฟอร์มแรงผลัดกันเป็นจ่าฝูง ส่วนใน UCL ผลงานช่วงเปิดตัวได้อย่างสวยงามทั้งการชนะปารีส และ ไลป์ซิก แต่ไปพลาดในการโรเตชั่นที่ไปเยือนตุรกีที่เล่นกันได้ฟอร์มหลุดทำให้ในช่วงเลกหลัง 3 นัดต้องพบกับความกดดันและในที่สุดก็แพ้ภัยตัวเองที่ 2 นัดสุดท้าย ต้องการเพียงไม่แพ้ ผลเสมอ 1 นัดก็เข้ารอบ แต่ไม่รอดแพ้ไปทั้ง 2 นัด อกหักตกรอบแบ่งกลุ่ม จนต้องหล่นมารายการยูโรป้าที่ปีที่แล้วเราไปถึงรอบเซมิไฟนอลอีกปีนึง
หลังจากนั้นทีมก็รวมพลังกันใหม่อีกครั้งจากอันดับกลางตารางในพรีเมียร์ลีกก็ก็หน้าก้มตาเก็บผลงานกันได้อย่างสม่ำเสมอเหนือความคาดหมาย ทำอันดับไต่ขึ้นมาเรื่อยจนมาเป็นจ่าฝูงได้ในช่วงปีใหม่ และ ยืนระยะได้ถึงประมาณกลางเดือนมกราคม ก่อนที่จะโดนซิตี้ที่ปีนี้ปรับจูนเกมส์รับจนเข้าฟอร์มเสียประตูยากสุดๆ แซงขึ้นเป็นจ่าฝูงแทน ในช่วงที่เราไปสะดุดจากการโรเตชั่นนัดเชฟยู ต่อมาก็เสียนักเตะสำคัญอย่างปอล ปอกบาเจ็บยาวในนัดที่เป็นจุดเปลี่ยนของฤดูกาลนี้ที่พบกับเอฟเวอร์ตัน (ครึ่งแรกฟอร์มเทพมาก แต่มาเสียปอกบา ท้ายเกมส์โดนยิงตีเสมอทดเจ็บทำลายความมั่นใจของทีมซะเป๋)
ในช่วงนั้นฟอร์มของเราก็ค่อนข้างฝืดมีหลุดเสมอไปหลายนัดทำให้คะแนนซิตี้ทิ้งห่างออกไป จนรู้แล้วว่าไกลเกินเอื้อมตั้งแต่เดือนมีนาคม ซึ่งงานในพรีเมียร์ลีกของเราแทบจะปิดจ็อบตั้งแต่นัดสำคัญที่บุกไปชนะวิลล่าทำให้การันตีพื้นที่ UCL ในนัดที่ 34 แล้ว 4 นัดสุดท้ายจึงเป็นการผ่อนคันเร่ง ประคองตัว ให้โอกาสนักเตะอะคาเดมี่ได้ลิ้มรสประสบการณ์ระดับชุดใหญ่ของพรีเมียร์ลีก
ซึ่งถ้าให้สรุปเป็นภาพรวมสำหรับชุดใหญ่ในลีกที่ทำได้ 74 คะแนน ใกล้เคียงกับที่ผมตั้งเป้าไว้ 75 คะแนน (และความจริงน่าจะเกินถ้าไม่ไปเจอเหตุการณ์ประท้วงจนเลื่อนโปรแกรมซะป่วนไปหมด) สำหรับผมก็ถือว่าทำได้ตามเป้า จบอันดับ 2 คะแนนในระดับเดียวกับที่คำนวนไว้ ลดความห่างจาก 2 ทีมเต็ง อย่างแมนซิตี้ และ ลิเวอร์พูล ซึ่งเกินคาดตรงคะแนนสูงกว่าลิเวอร์พูลด้วย สำหรับผลงานถ้าให้ย้อนกลับไปก่อนเปิดฤดูกาลต้องบอกว่าไม่คิดว่าจะมาได้ขนาดนี้ด้วยซ้ำ ดังนั้นสำหรับพรีเมียร์ลีกผมให้ 8/10 คะแนนครับ
โฟกัสหลักของเราจริงๆ ไปอยู่ในรายการยูโรป้าลีกตั้งแต่เดือนมีนาคม เพราะเหลือเป็นรายการใหญ่ที่สุดที่ยังมีลุ้น เราทำสำเร็จ กับการจับเจอทีมจาก สเปน และ อิตาลี ทั้งโซเชียดาด มิลานมา กรานาด้า โรม่า ที่สามารถผ่านมาได้หมด เข้ามาตัดสินรอบชิงกับสเปนทีมที่ 3 ที่ต้องเจอในฤดูกาลนี้ (รวมกับ UCL คือเราเจองานหินจาก Top 5 ลีก ครบเลย ทีมจากเยอรมัน ฝรั่งเศส สเปน อีตาลี) คราวนี้เป็นบียาเรอัลของ เจ้าพ่อยูโรป้าจอมแทคติคอย่างอูไน เอเมรี่ ซึ่งรอบชิงตลอด 120 นาที ทีมเราก็ไม่สามารถเร่งฟอร์มให้ดีพอที่จะเอาชนะแทคติคของอูไนได้ทำให้ต้องยื้อไปจนถึงช่วงดวลจุดโทษซึ่งเมื่อถึงตรงนั้นก็แทบจะเป็นการวัดดวงแล้ว และ ก็ต้องอกหักพลาดแชมป์ไปอย่างน่าเสียดาย ซึ่งภาพรวมในรายการยุโรปก็ทำได้ใกล้เคียงแต่ยังไม่ดีพอ เมื่อรวมถึงการพลาดท่าตกรอบแบ่งกลุ่มจากแชมเปี้ยนลีกด้วยดังนั้นสำหรับเวทียุโรปผมให้ 6.5/10 คะแนน ซึ่งปีหน้าเราจะได้กลับไปแชมเปี้ยนลีกอีกครั้ง หวังว่าทีมจะเติบโต แข็งแกร่งขึ้น ทีมเราจะอยู่ในโถ 2 ขอดวงเข้าทางบ้างไม่จับเจอกลุ่มหินมากแบบปีนี้อีกนะ
ฤดูกาลหน้าเรามาเชียร์ไปด้วยกัน สนุกไปด้วยกันอีกนะครับ ส่วนยูโร2020 เชียร์ฝรั่งเศสคว้าแชมป์ และ ลุ้นตลาดซื้อขายเพื่อเสริมความแข็งแกร่งของทีมให้พัฒนาขึ้นไปอีกระดับในช่วง 2 เดือนนี้กันครับ