คุณเข้าใจเรื่องวัคซีน จริงๆแล้วหรือยัง??
ตอนนี้ใครกำลังเข้าใจว่า… วัคซีนโควิดที่มี “ประสิทธิภาพ 50%” ถ้าฉีดกับคน 100 คน แปลว่าจะมีคนติดเชื้อครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งไม่ติด …? ถ้าคุณเข้าใจแบบนี้อยู่ ลองอ่านบทความนี้ดูนะครับ
#หมายเหตุ บทความนี้ไม่ได้ชี้นำให้ฉีดวัคซีนยี่ห้อใดเป็นพิเศษ… แต่แนะนำให้ฉีดวัคซีน (และควรได้ฉีดตั้งนานแล้ว)
1- เชื่อว่าหลายคนเวลาเห็นตัวเลขเปรียบเทียบประสิทธิภาพของวัคซีนหลากหลายชนิด ก็น่าจะเข้าใจว่ายิ่ง % เยอะ ยิ่งหมายความว่ามีประสิทธิภาพมากกว่า และหากตัวเลขน้อยหมายความว่าวัคซีนอาจไม่ปลอดภัยรึเปล่า? ซึ่งก็ถูกครับ… แต่ถูกไม่หมด
.
.
2- ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจก่อนว่าตัวเลขประสิทธิภาพของวัคซีนที่แต่ละยี่ห้อประกาศออกมานั้นเป็นผลมาจาก “การทดลอง (Clinical Trial)” ของ “แต่ละบริษัท” ใน “แต่ละช่วงเวลา” และ “แต่ละสถานที่” ซึ่งหลายครั้งเป็น "แต่ละสายพันธุ์ของโรค" อีกด้วย
.
.
3- ยกตัวอย่าง… วัคซีนที่ตัวเลขประสิทธิภาพสูงที่สุดในโลกอย่าง Pfizer (95%) ทดลองในอเมริกาช่วงเดือน
สิงหาคม – พฤศจิกายน ปี 2020 ในขณะนั้นอเมริกามีจำนวนผู้ติดเชื้อต่อวันเฉลี่ยๆ ที่ประมาณ 50,000 คน จำตัวเลข “50,000 คนต่อวัน” นี้ไว้ก่อนนะครับ…
.
.
4- ในขณะที่วัคซีนของ
ฝั่ง Johnson & Johnson (66%) ก็ทดลองในอเมริกาเหมือนกัน แต่คนช่วงเวลา… โดย J&J ทดลองช่วงเดือนตุลาคม – กุมภาพันธ์ ปี 2021 ในขณะนั้นผู้ติดเชื้อต่อวันในบางเดือนพุ่งสูงสุดถึง 250,000 คน นั่นหมายความว่าขณะที่ทำการทดลอง กลุ่มตัวอย่างนั้นต้องเผชิญความเสี่ยงติดเชื้อสูงกว่าสูงสุดเกือบ 5 เท่า
.
.
5- ถ้าให้เปรียบเทียบง่ายๆ ก็คงเหมือนการที่เราใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงเทพมหานคร ที่มีผู้ติดเชื้อวันละเกือบ 1,000 คน กับเพื่อนเราอีกคนใช้ชีวิตอยู่ที่อุทัยธานี ซึ่งตั้งแต่ระบาดมาปีครึ่ง… มีคนติดเชื้อทั้งจังหวัดแค่ 18 คน โอกาสในการติดเชื้อของคนที่อยู่ กทม. ก็คงมีมากกว่าถูกไหมครับ?
.
.
6- ทีนี้… ย้อนกลับไปที่ตัว
“การทดลองประสิทธิภาพวัคซีน” หลักการของมันก็คือ การทดลองวัคซีนนั้นจะทำจากกลุ่มตัวอย่าง สมมติคือ 10,000 คน สิ่งที่เกิดขึ้นคือบริษัทยาจะไม่ได้ฉีดวัคซีนให้ทั้ง 10,000 คนนะครับ แต่เค้าจะฉีด “ยาจริง” ให้ครึ่งนึง (5,000 คน) และอีกครึ่งนึง (5,000 คน) ฉีด “ยาหลอก” หรือที่เรียกว่า Placebo ซึ่งอาจจะเป็นน้ำเกลือธรรมดาๆ นี่แหละ แต่คนที่ได้รับการฉีดจะไม่มีใครรู้ว่าตัวเองได้ยาจริงหรือยาหลอก
.
พอฉีดยาจริงและยาหลอกให้ครบทั้ง 10,000 คนแล้วก็จะปล่อยกลุ่มตัวอย่างนี้ไปใช้ชีวิตในสังคมตามปกติ แล้วคอยดูผลว่าใครจะติดเชื้อเท่าไหร่บ้าง… ซึ่ง “วิธีคำนวน” นี่แหละคือจุดสำคัญ….
.
.
7- ถ้าอ่านถึงตรงนี้… ลองเดาดูเล่นๆ ดูนะครับว่าถ้าเกิดเหตุการณ์ต่อไปนี้ขึ้นแปลว่าประสิทธิภาพจะเป็นเท่าไหร่… สมมติว่าทดลองเสร็จ ปรากฏว่ากลุ่มยาจริงติดเชื้อ 500 คน (จาก 5,000 คน) และกลุ่มยาหลอกติดเชื้อ 500 คน (จาก 5,000 คนเช่นเดียวกัน) แปลว่า ฉีดยาจริง 5,000 ติด 500 เท่ากับติดเชื้อแค่ 10% ดังนั้นวัคซีนมีประสิทธิภาพ 90% ใช่ไหมครับ? ….. ผิด! คำตอบคือ “0%”ครับ วัคซีนนี้มีประสิทธิภาพ 0% ถ้วน!
.
.
8- เหตุผลที่วัคซีนนี้มีประสิทธิภาพ 0% ก็เพราะไม่ว่ากลุ่มตัวอย่างจะ “ฉีดยาจริง” หรือ “ฉีดยาหลอก” สุดท้ายแล้วทั้ง 2 กลุ่มก็มีอัตราการติดเชื้ออยู่ที่ 500 คนเท่ากัน… แปลว่า จะฉีดหรือไม่ฉีดก็ “ไม่ได้มีประโยชน์อะไร” นั่นเอง
.
ทีนี้… 95% ของ Pfizer หรือ 66% ของ Johnson & Johnson ที่ยกตัวอย่างมาตอนแรกเขาคำนวนยังไงล่ะ?
.
.
9- หลักการคำนวณประสิทธิภาพวัคซีน คือการนำผู้ติดเชื้อของกลุ่มที่ได้รับยาจริงมา “เปรียบเทียบ” กับกลุ่มที่ได้รับยาหลอกนั่นเอง!
.
โดยตัวเลขจริงของ Pfizer ตอนทดสอบก็คือ จากกลุ่มตัวอย่าง 43,000 คน (ยาจริงครึ่งยาหลอกครึ่ง)
มีผู้ติดเชื้อหลังจากถูกฉีดยาหลอกทั้งหมด 162 คน
มีผู้ติดเชื้อหลังจากถูกฉีดยาจริงทั้งหมด 8 คน
.
ดังนั้นผู้ติดเชื้อ 8 คนจาก 162 คน ก็คือประมาณ 5% นั่นหมายความว่า… วัคซีนของ Pfizer เมื่อถูกฉีดแล้วจะมีโอกาสไม่ติดเชื้อ 95% นั่นเอง! ซึ่งในส่วนของ Johnson & Johnson ก็ทำการทดลองในลักษณะเดียวกัน แต่ได้ผลออกมาอยู่ที่ 66%
.
แต่…อย่าลืมว่าขณะที่ J&J เขาทดลอง ช่วงเวลานั้นมีอัตราผู้ติดเชื้อต่อวันที่ “เยอะกว่า” ช่วงเวลาที่ Pfizer ทดลอง… ดังนั้นตัวเลขประสิทธิภาพที่ประกาศออกมาของแต่ละยี่ห้อนั้นจึง “ไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้ตรงๆ” เพราะมันมีปัจจัยหลายอย่างที่ต่างกัน ซึ่งในกรณีของวัคซีนยี่ห้ออื่น ก็มีเรื่องของ “สถานที่” มาเกี่ยวข้องด้วยนั่นเอง
.
.
10- แต่… ตัวเลขประสิทธิภาพอาจจะไม่ได้มีประโยชน์หรือสำคัญขนาดนั้น… เพราะประสิทธิภาพของวัคซีนที่ประกาศกันออกมาคือประสิทธิภาพของการป้องกันไม่ให้ผู้ฉีด “ติดเชื้อ”
แต่ประโยชน์จริงๆ ของวัคซีนคือการ “ลดการเจ็บป่วยหรือสูญเสีย” มากกว่า…
.
.
11- หากเรามองการเจ็บป่วยเป็นระดับ 5 ระดับ…
ระดับ 1 : ติดเชื้อแต่ไม่มีอาการป่วยใดๆ
ระดับ 2 : ติดเชื้อและมีอาการป่วยปานกลาง
ระดับ 3 : ติดเชื้อและมีอาการป่วยมาก
ระดับ 4 : ติดเชื้อและป่วยจนต้องเข้าโรงพยาบาล
ระดับ 5 : เสียชีวิต
.
เราจะพบว่าวัคซีนทุกยี่ห้อที่ได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลก (WHO) เมื่อถูกฉีดเข้าไปที่กลุ่มตัวอย่างแล้ว ถึงแม้จะติดเชื้อโควิด… แต่
“ไม่มีผู้ป่วยคนไหนที่มีความเจ็บป่วยถึงระดับ 4 เลย” นั่นหมายความว่าวัคซีนทุกยี่ห้อ ณ ขณะนี้มีประสิทธิภาพเพียงพอในการ “รักษาชีวิต” ของผู้ที่ฉีดและติดเชื้อโควิดนั่นเอง
.
.
12- อ่านถึงตรงนี้แล้ว… งั้นก็แปลว่าวัคซีนทุกตัวปลอดภัยสิ? ก็ใช่… แต่ไม่ทั้งหมดอีกเช่นเดิม… เพราะวัคซีนบางตัว “ไม่ได้ทดสอบกับทุกกลุ่มอายุ” เช่น กลุ่มเด็ก หรือกลุ่มผู้สูงอายุ เพียงแต่ทดสอบกับกลุ่มวัยรุ่นหรือวัยกลางคนที่ปกติมักจะแข็งแรงมากกว่า… รวมถึงไม่ได้พูดถึง “ผลข้างเคียง” “การแพ้” “อาการไม่พึงประสงค์” ที่อาจเกิดขึ้นได้…
.
.
#สรุปแล้ว ประสิทธิภาพการป้องกันการติดเชื้อของวัคซีนที่ประกาศๆ กันออกมา ไม่ว่าจะ 50% / 66% / หรือ 95% ก็ดี
อาจไม่ได้สำคัญ “มาก” เท่าไหร่นัก… เพราะสิ่งที่ควรโฟกัสก็คือประสิทธิภาพในการทำให้ “ไม่ป่วยหนักหรือเสียชีวิต” มากกว่า เพราะนั่นเป็นสิ่งเดียวที่สำคัญในการหยุดวิกฤตครั้งนี้
.
Credit : เดี๋ยวสรุปให้ฟัง
https://www.facebook.com/photo/?fbid=308052240922465&set=a.185615309832826