ปัจจุบันคนที่เราเรียกว่าสลิ่มก็คือคนที่มีความเชื่อต่างจากเราใช่ไหมครับว่ามี...แล้วจะดีกว่าเพราะมีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจหรือคุ้มครองเรา

แล้วถ้าคนรุ่นใหม่มีความเชื่อต่างจากเรามากๆบ้างละครับ เช่น ให้ยกเลิกศาสนาทุกแห่ง ทำลายวัด ยึดเงินวัดทั้งหมดไปทำอย่างอื่น หรืิอสร้างลัทธิใหม่ขึ้นมาแทน หรือแม้แต่เรื่องผู้นำที่เขาอาจจะมองว่าเผด็จการดีกว่า

เราก็ต้องอัพเดต patch อยู่บ่อยๆครับ

นิยาม สลิ่ม ของผมคือ คนที่เห็น ความอยุติธรรม เป็นเรื่อง ธรรมดา

ตัวอย่างง่ายๆ เช่นคนที่เห็นด้วยกับสว."สรรหา"250 คน

-ใครเป็นคนสรรหา สว.

-ทำไมสว.สรรหา ถึงมีสิทธิเลือกนายก

-ทำไมคนเลือกสว.สรรหาจึงมาลงชื่อเป็นนายกได้

-ทำไมคณะกรรมการเลือก จึงมาเป็นสว.ได้เสียเอง

-ทำไมเลือกกันเองถึงต้องใช้งบไปเป็นพันๆล้าน

ส่วนคนที่มี"ความเห็นต่าง"ทางการเมืองผมไม่เรียกเป็นสลิ่ม

คนเราความคิดเห็นต่างกันได้

แต่ถ้ามองไม่เห็นความอยุติธรรม อันนี้ไม่ขอเสวนาด้วย

อยู่ในบอร์ดบอลขอลองยกตัวอย่างฟุตบอล

-พวกเรา ทีมฟุตบอลธรรมดา ส่งผู้เล่นได้ 11 คน แต่อีกฝั่งส่งผู้เล่นได้ 15 คน

-ฝั่งนั้น ร่างกติกาเอง ตั้งกรรมการเอง เป็นFAเอง

-ถ้าเราเข้าสกัดแรงโดนใบแดง แต่ฝั่งนั้น เข้าสกัดจนขาหัก โดนแค่ใบเหลือง

-ฝั่งนั้น บอลเข้าประตูไม่เต็มใบ แต่กรรมการให้ประตู

-ฝั่งนั้น ล้ำหน้า แต่กรรมการไม่ว่า

ที่กล่าวมา คือความอยุติธรรม ถ้าใครยอมรับได้ ผมยกให้เป็นสลิ่ม

สำหรับผม ผมรับได้นะเรื่องต่างๆที่ท่านว่ามา

แต่มันจะมีพวกนักรณรงค์บางคน(ย้ำว่าบางคน)ที่ ตึง ไม่อ่อนข้อ สุดโต่ง ยังงั้นยังงี้ไม่ได้เลย ห้ามเด็ดขาด มันอ่อนไหว ต้องปรับตัวเดี๋ยวนี้ หักดิบทำให้ได้ไม่งั้นโดนด่าแน่

ไอ่ที่ผมว่ามาเชื่อว่าหลายคนเคยเจอ ซึ่งผมว่าเราไม่ผิดนะ มันไม่ใช่อะไรที่จะมาเรียนรู้คืนนี้พรุ่งนี้เช้าทำได้เลยไม่เผลอตัวอ่ะ แต่เราโดนรุมทึ้งโดนตราหน้าไปแล้ว

ตรงนี้ถ้าเข้าปรับความ aggressive ในการรณรงค์ได้คนทั่วไปน่าจะรับฟังมากขึ้น เพราะที่ผ่านมาสำหรับผมมันดูยัดเยียดให้ ต้องได้ ต้องรู้ ต้องเป็น เดี๋ยวนี้ด้วยไม่งั้นโดน

เรื่องไหนเห็นด้วยไม่เห็นด้วยก็ว่ากันไปตามเหตุผลอะครับ แต่สลิ่มไม่ได้มีเหตุผล

แล้วเราจะเป็นสลิ่มหรือถูกเรียกว่าสลิ่มได้ไงถ้าเราไม่ใช่อยู่แล้ว อันนี้ผมไม่เข้าใจ

ตราบใดที่คุณยังรับฟังคนเห็นต่าง(ที่คุยกันรู้เรื่องนะ)ด้วยเหตุและผล คุณไม่มีทางเป็นสลิ่มหรอกครับ

เรื่องกีฬา เท่าที่ดูคอมเมนต์ก็ยังแย้งกันอยู่ ซึ่งมันก็ปกติ มันเพิ่งเริ่ม มันต้องปรับต้องจูนกัน

เรื่องเข้าห้องน้ำนี่ ผมว่ามันอยู่ที่ความเชื่อใจแล้วล่ะ ถ้าคุณเชื่อใจแฟนลูกสาวคุณและลูกสาวคุณ และสังคมมีคุณภาพมากพอ มันก็แค่ไปเข้าห้องน้ำเฉยๆ

ใช่ครับ จะมีคนส่วนนึงเป็นแบบสลิ่มแน่นอน เพราะ ปสก หรือเหตุการณ์ต่างๆที่เข้ามากระทบชีวิต
มีผลต่อระบบความคิดแน่นอนครับ

หลายอย่างผมก็เห็นด้วยครับ Liberal เป็นส่วนใหญ่ บางอย่างก็อาจจะไม่ได้จริงๆ ถ้ามันแปลกมากๆ

ผมว่าผมไม่เป็นอะจริงๆ คนเราถ้าสมองสามารถประมวล เหตุผล ได้แบบสากลโลกหรือตรรกะพื้นฐาน
ไม่ได้สูญเสียไป แน่นอนว่าเราไม่มีทางเห็นด้วยกับคนรุ่นต่อไปทุกอย่าง แต่ไม่มีวันที่จะมีสภาพแบบสลิ่มตอนนี้แน่ๆครับ

คือ สลิ่มทุกวันนี้ มันไม่ได้พังแค่เรื่องเล็กน้อยนะ มันพังไปยังสารบบความคิดเลย
หยั่งรากลึกเข้าไปจนเป็นจิตวิญญาน เพราะโดนหลอนด้วยอะไรสักอย่างมาครึ่งชีวิต

1. กีฬา : อันนี้คงอยู่ที่องค์ประกอบต่างๆมั๊งครับ ถ้ามันไม่ทำให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบมากนัก มันก็ไม่ได้แปลกที่จะแข่งกัน ถ้าเอาจริงๆผมมองว่า ที่แยกเพศปัจจุบัน เพื่อลดความได้เปรียบเสียเปรียบมากกว่า ซึ่งถ้านักกีฬาฝึกฝนจนสามารถแข่งกันได้ ไม่แตกต่างกัน ผมเฉยๆนะ

2. ห้องน้ำ : ผมไม่แน่ใจนะ ว่าระดับไหน แต่ถ้าแค่ห้องเดียวกันเพื่อมีห้องย่อยแล้วต่างคนต่างเข้า มันก็เฉยๆนี่ ออฟฟิศเก่าผม มีทั้งห้องน้ำแยกเพศชาย/หญิง และห้องน้ำรวมให้เลือกเข้ามาไม่ต่ำกว่า 15 ปีแล้วครับ ไม่เคยมีปัญหาอะไร ทุกคนมีความคิด มีมารยาทพอที่จะอยู่/ใช้งานร่วมกัน อยู่ที่เราเรียนรู้ที่จะให้เกียรติซึ่งกันและกัน เรียนรู้ที่จะมีมารยาทหรือเปล่า

ปัญหา/ประเด็นของเรื่องทั้งหมดนี้ ผมมองว่าไม่ใช่"วัย"นะ แต่เป็น"พื้นฐานความคิด"มากกว่า
คนสูงอายุ แต่มีพื้นฐานความคิดที่พร้อมจะเรียนรู้ ปรับเปลี่ยนตามกาลเวลา...ก็เยอะ
เด็กวัยรุ่น ที่มีความคิดไดโนเสาร์กว่าคนแก่...ก็แยะครับ

สมัยเนเน่ เนติวิทย์ โผล่มาใหม่ๆ เรื่องเคารพธงชาติเอย ตัดผมเอย ใน SS นี้ก็เห็นต่างเยอะอยู่นา ความคิดอะห้ามกันยากนะ ว่าแก่ไปเราจะเป็นคนหัวโบราณไม่ทันยุครึป่าว

เอาง่ายๆ ผมเชื่อว่าใน SS ไม่น้อย ก็ยังให้คุณค่ากับคำว่าซิงไม่ซิงของ ผญ

ถ้าให้ผู้ชายแข่งกีฬากับผู้หญิงละครับ หรือให้เพศชายเข้าห้องน้ำร่วมกับผู้หญิง ยอมรับได้ไหมครับ

เหตุผลของเรากับของเขาไม่เหมือนกันไงครับ ตอนนี้เรายังเป็นคนส่วนใหญ่อยู่ แต่วันนึงเราอาจจะกลายเป็นคนส่วนน้อยที่เห็นต่าง

ผมว่าคนในสังคมไทยเราก็ทำ 3 ข้อนี้กันเยอะนะครับ
แต่พอโน้มน้าวกันไม่ได้ เห็นต่างกันไปเสียทุกเรื่อง
ความเชื่อแตกต่างกันจนยืนอยู่คนละฝั่ง
ไหนจะพวกมากลากไป
ไม่ค่อยจะยอมคิดถึงทางเลือกที่3
.
ผลที่เกิดคือสังคมแตกแยก
แม้ไม่เป็นผู้ใหญ่แบบที่ตัวเองเกลียด แต่ก็เป็นผู้ใหญ่แบบที่มีเด็กเกลียดอยู่ดี

ผมว่าก็ไม่มีข้อไหนสุดโต่งนะ ห้องน้ำรวมที่ทำงานผมก็มีมานานแล้ว ก็ไม่มีปัญหาอะไร