กาลเวลาผ่านไปสั้น ๆ เพียงไม่ถึงครึ่งปีปฏิทินดี หากประเมินกันแบบเป็นกลาง ก็ต้องยอมรับครับว่า ผลงานของโธมัส ทูเคิ่ล นายใหญ่เมืองเบียร์คนปัจจุบันของเชลซีนั้น นับได้ว่า "สอบผ่าน" และชนะใจแฟนบอลเชลซีได้ในระดับนึงเลยล่ะ ประสบการณ์ในการคุมทีมของทูเคิ่ล ช่วยพลิกโฉมสิงโตตัวนี้ให้กลับมามีชีวิต ชีวาขึ้นมาก ๆ หากเทียบกับช่วงต้นมาจนถึงกลางฤดูกาล นั่นทำให้มีแฟน ๆ บางส่วนครับ พากันเปรียบเทียบไทม์ไลน์ของเชลซีย้อนกลับไปยังช่วงฤดูกาล 2011-12 ที่ในเวลานั้นเอง ก็มีการเปลี่ยนแปลงกุนซือระหว่างทางเฉกเช่นในปีนี้ และก็เป็นอันรู้กันดีว่าปลายทางนั้น สิงโตน้ำเงินครามแห่งลอนดอน จบฤดูกาลด้วยการคว้าถึง 2 ถ้วยสำคัญอย่างเอฟเอ คัพ และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก
.
ระยะหลังมานั้น ผมแทบไม่คล้อยตามอะไรกับทฤษฎีสมคบคิดแบบนี้เท่าไหร่นัก เพราะหลาย ๆ โมเมนท์ที่เกิดขึ้นในโลกฟุตบอลได้พิสูจน์ให้เห็นมานักต่อนักแล้วว่า บางเรื่องราวที่เกิดขึ้นน่ะเป็นเพียงความบังเอิญ และจังหวะของเกมเฉย ๆ อีกทั้งยังกลับทำให้ผมเชื่อมั่นกับคำว่า "สถิติมีไว้ทำลาย" มากขึ้นไปกว่าเดิมเสียอีก
.
แต่ถึงจะอย่างนั้นแล้ว หากจะพาทุกท่านย้อนไปสู่เหตุการณ์ต่าง ๆ ของเชลซีในปีนั้น ก็ไม่เห็นจะเสียหายอะไรนี่นา เพราะเมื่อพลิกหน้าประวัติศาสตร์กลับไปจริง ๆ นั้น ต้องขอบอกเลยว่า บางเรื่องราวของเชลซีในปีนั้น ก็ช่างตรงกับเชลซีในปีนี้อย่างน่าขนลุกเลยล่ะ


จอดป้ายอย่างรวดเร็วในถ้วย "มิกกี้ เมาส์"
ในปี 2011/12 นั้น รายการถ้วยเล็กสุดของเกาะอังกฤษ ที่ยังคงใช้ชื่อการแข่งขันว่า "คาร์ลิ่ง คัพ" นั้น เชลซีพลาดท่าตกรอบอย่างรวดเร็วเพียงแค่รอบ 8 ทีมสุดท้ายเท่านั้น ซึ่งเป็นการพ่ายให้กับลิเวอร์พูล ของเคนนี่ ดัลกริช ที่ท้ายที่สุดนั้น ก็เป็นทัพเครื่องจักรสีแดงเพลิง ที่ทะลุเข้าไปคว่ำคาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ คว้าแชมป์รายการนี้ในบั้นปลายได้สำเร็จ
.
ตัดกลับมาที่ซีซั่นปัจจุบัน รายการนี้ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น "คาราบาว คัพ" ซึ่งเชลซีก็กระเด็นตกรอบแต่หัววันอีกเช่นเคย โดยพ่ายให้สเปอร์ส ในช่วงดวลเป้าชี้ขาด ในเกมที่ไฮไลท์ของการแข่งขันโฟกัสไปที่การฟาดฟันฝีปากกันของแลมพาร์ดและมูรินโญ่ ที่สุดท้ายก็เป็นสเปอร์สของมูรินโญ่นี่แหละ ที่ทะลุเข้าไปสู่รอบชิงชนะเลิศ น่าเสียดายครับที่ตอนนี้มูรินโญ่ ไม่ได้อยู่ร่วมลุ้นแล้วว่าจะพาทีมคว้าแชมป์ดังเช่นลิเวอร์พูลเมื่อปี 2012 หรือเปล่า


เดินทางสู่เวมบลีย์อีกครั้ง ในถ้วยเก่าแก่ของอังกฤษ
ในเวลานั้น น่าจะถือได้ว่าเป็นช่วงที่การปะทะกันระหว่าง "หงส์-สิงห์" คือซีรีส์แห่งเกมฟุตบอลที่ฉายวนซ้ำไปมาอย่างต่อเนื่องก็ว่าได้ เพราะนอกจากในลีกแล้ว ปีนั้นพวกเขาพบกันอีกครั้งในเกมนัดชิงชนะเลิศ ถ้วยเอฟเอ คัพ ทว่า ในรายการนี้เป็นเชลซีที่ล้างแค้นได้สำเร็จจากความไร้เทียมทานของดร็อกบา คว้าแชมป์รายการแรกภายใต้การคุมทีมโรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ้
.
ขณะที่ซีซั่นนี้ แม้จะลุ้นกันแบบหายใจรดต้นคอกันไปบ้าง แต่สุดท้าย เชลซี ก็สามารถหักด่าน "เรือใบสีฟ้า" ทะลุเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ ได้อีกครั้ง ทั้งยังเป็นการเข้าชิงรายการนี้ 2 ปีซ้อนด้วย ต้องมาร่วมลุ้นกันครับว่า เลสเตอร์ ซิตี้ ผู้ท้าชิงฯ ที่มีอักษรนำหน้าตัว "L" เช่นเดียวกันกับในปี 2012 นั้น จะยอมให้ง่าย ๆ หรือไม่


ความยิ่งใหญ่ของ "แมนเชสเตอร์" กับภารกิจดิ้นรนสู่ท็อปโฟร์ของ "เชลซี"
ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกซีซั่น 2011/12 ถือว่าเป็นปีทองของเมืองแมนเชสเตอร์ก็ว่าได้ เพราะเป็นการคับเขี้ยวกันอย่างดุเดือดของ "ปีศาจแดง" ที่ยังคงนำทัพด้วย เซอร์ เฟอร์กี้ และ "เรือใบสีฟ้า" ของโรแบร์โต้ มันชินี่ ที่ซึ่งกำลังก่อร่างสร้างตัวเป็นมหาอำนาจน้องใหม่ คับคั่งด้วยเหล่าสตาร์ดังมากมาย ฉากจบของมหาสงครามครานั้น กลายเป็นหนึ่งในโมเมนท์อมตะนิรันดร์กาลของฟุตบอลอังกฤษ กับซีนที่กุน อเกวโร่ส่งลูกบอลสู่ก้นตาข่าย พาแมนฯ ซิตี้ คว้าแชมป์ลีกสมัยแรกมาครอง กาลเวลาผ่านพ้นไป จนปี 2020/21 แมนฯ ซิตี้ กลายมาเป็นทีมยักษ์ใหญ่อย่างเต็มตัว และกำลังมีลุ้นเป็นแชมป์ลีกอีกครั้ง ขณะที่ฟากฝั่งสีแดง แม้ว่าผลงานของทีมจะมีขึ้น มีลงไปบ้าง ทว่า ในซีซั่น พวกเขาหวนกลับมาเป็นคู่แข่งไล่บี้แย่งแชมป์ลีกกันอีกครั้ง
.
ทีนี้เรื่องราวของทั้ง 2 ยักษ์เมืองแมนฯ เชื่อมโยงหาเชลซีอย่างไรน่ะเหรอ ? สถานการณ์ในลีกของพวกเขาในปี 2012 ต้องบอกว่าสวนทางกับถ้วยอื่น ๆ โดยสิ้นเชิง ผลเสมอเกิดขึ้นกับเชลซีเป็นว่าเล่น และพร้อมจะแพ้ได้กับทุกทีม ทำให้สุดท้ายการดิ้นรนสู่ท็อปโฟร์ของเชลซีในปีนั้น ก็ไม่เป็นผล เพราะพวกเขาจบเพียงอันดับที่ 6 ต่ำกว่านิวคาสเซิ่ลเสียอีก ในขณะที่ปีนี้ แม้ผลงานระยะหลังมาจะยอดเยี่ยมแค่ไหน แต่พวกเขาก็ยังคงต้องเร่งฟอร์มเพื่อชดใช้ให้กับความเละเทะในตอนต้นซีซั่น ซึ่งว่าด้วยอันดับในตารางและโปรแกรมการแข่งขัน ต้องยอมรับว่าพวกเขาสุ่มเสี่ยงจะพลาดการไปเล่นบอลยุโรปไม่น้อยเลย ...นี่คงจะเป็นเรื่องนึงแล้วล่ะครับ ที่แฟนเชลซีร่วมกันภาวนาไม่อยากให้มันกลับมาซ้ำรอย (ฮา)


ผู้รอดชีวิตในถ้วยยุโรป กับกระดูกชิ้นโตจากลา ลีกา
นับตั้งแต่ปี 2014 ที่พวกพลาดท่าถูกแอต.มาดริดเขี่ยตกรอบตัดเชือก เชลซี ไม่เคยใกล้เคียงกับการเข้ามาเล่นในรอบรองฯ อีกเลย ในรายการยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก โดยในปีนี้ เป็นฤกษ์งามยามดีอีกครั้ง ที่เชลซีเกิดการเปลี่ยนแปลงกะทันหันในบทบาทกุนซือ ในระหว่างการแข่งขันดำเนินมาถึงรอบ 16 ทีมสุดท้าย
.
ซึ่งเมื่อย้อนไปในปี 2011/12 การปลดอันเดร วิลลาส โบอาส ก็เกิดขึ้นในรอบ 16 ทีมเช่นกัน หากแต่เกิดขึ้นหลังผ่านการแข่งขันไปแล้วเลกแรก ที่พ่ายยับให้กับนาโปลี ที่ซึ่งหลายคนก็ฟันธงกันไปแล้วว่า เชลซีไม่มีน้ำยาพอจะรอดพ้นไปสู่รอบถัดไปได้ แต่สุดท้ายพวกเขาก็สร้างปาฏิหาริย์หลุดเข้าไปคว้าแชมป์ได้สำเร็จ เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในปีนี้ ไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ครับ เผลอ ๆ เลวร้ายกว่าอีก เพราะเกจิชื่อดังหลายคนใส่ชื่อแอต.มาดริด รอไว้ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย นับตั้งแต่รู้ผลการจับฉลากด้วยซ้ำไป แต่พอมาถึงตอนนี้ รู้ตัวอีกที เชลซีกำลังเตรียมพร้อมกับการดวลกับ เรอัล มาดริด ที่ถือเป็นยักษ์ใหญ่ที่น่าเกรงขามที่สุดที่ยังหลงเหลืออยู่ ซึ่งคล้ายกับการที่พวกเขาต้องปะทะกับบาร์เซโลน่า ตัวแทนจากลา ลีกาที่โหดเหี้ยมไม่แพ้กัน ต้องดูกันว่าในปีนี้ จะมีใครสวมบทบาทเป็น "โจ๊กเกอร์" พาทีมเข้าชิงฯ ดังที่เฟร์นานโด ตอร์เรส เคยทำเอาไว้หรือไม่


การเปลี่ยนมือแม่ทัพ ที่ "แตกต่างเหมือนกัน"
ในปี 2011/12 นั้น อังเดร วิลลาส โบอาส คือกุนซือหนุ่มไฟแรง ที่พกดีกรีเป็นถึงแชมป์ลีกโปรตุเกสกับปอร์โต้ แถมยังเคยทำงานร่วมกับโชเซ่ มูรินโญ่อีกต่างหาก แต่แล้ว พอต้องมาจับงานที่หินขึ้นอย่างการคุมเชลซี โบอาสมีผลงานไม่เป็นไปตามคาด จึงมีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งกุนซือมาเป็น โรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ้ ที่คนส่วนใหญ่รู้จักเขาเพียงเพราะเป็นอดีตตำนานนักเตะของเชลซีเท่านั้นเอง การก้าวเข้ามาแทนที่กลางคันแบบนี้ ไม่มีใครกล้าเชื่อมั่นเลยด้วยซ้ำว่าดิ มัตเตโอ้จะไปได้รอด เพราะก่อนหน้านี้เขาเคยจับงานมาบ้าง แต่ก็แค่ทำทีมแบบพอไปวัด ไปวากับเอ็มเค ดอนส์ และเวสต์บรอมวิชฯ ว่ากันตามตรง ถ้าเทียบชื่อชั้น ก่อนเริ่มงาน ดิ มัตเตโอ้ ได้รับการยอมรับน้อยกว่า แฟรงค์ แลมพาร์ดเสียอีก
.
ทว่าผลงานที่กุนซือชาวอิตาเลียนรังสรรค์ขึ้นมานั้น กลับกลายเป็นเรื่องราวแห่งประวัติศาสตร์ของสโมสรที่สุดจะเซอร์ไพรส์มาก ๆ นั่นทำให้แฟนบอลหลายคน พากันจินตนาการไปต่าง ๆ นานาถึงบทสรุปของซีซั่นนี้ละครับ เพราะการเปลี่ยนแปลงจากแลมพาร์ด มาเป็นทูเคิ่ลในรอบนี้ มันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่อิมแพ็คต่างกันกับครั้งนั้น ราวฟ้ากับเหวเลยก็ว่าได้ เพราะทูเคิ่ล มีโปรไฟล์เป็นที่ยอมรับในระดับยุโรป ผ่านการคุมทีมยักษ์ใหญ่มาแล้วทั้งโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์และเปแอสเช แถมยังเพิ่งผ่านการเข้าชิงถ้วยยุโรปมาสด ๆ ร้อน ๆ เมื่อปีก่อนนี่เอง
.
จึงเป็นเรื่องปกติที่ยอมรับได้ครับ หากเราจะได้เห็นแฟน ๆ เชลซี (ที่รวมถึงตัวผมด้วย) แอบหวังลึก ๆ ให้รอบนี้ เรื่องราวต่าง ๆ มันหวนกลับมาเกิดขึ้นอีกครั้ง จะด้วยฝีมือ, สถิติ, โชคชะตา หรือปาฎิหาริย์ใด ๆ ก็ช่างเถิด ขอแค่ให้มันได้เกิดขึ้นเพื่อปิดฉากซีซั่นที่แสนจะโรลเลอร์ โคสเตอร์นี่ลงอย่างแฮปปี้ เอ็นดิ้งก์ ก็พอแล้วครับ

ตอบในฐานะแฟนทีมอื่น

ผมว่าเอฟเอคัพอะน่าจะได้ ส่วน UCL ตอบยากอะ
ปี 2012 ผมก็ตามดูอยู่ แต่ปีนั้นมันแบบเหมือนมีลางว่าจะได้ตั้งแต่คัมแบ็คกับนาโปลี
ปีนี้คงต้องรอดูรอบรองนี้ก่อน ว่าเตะกับมาดริดจะยังไง

ส่วนอันดับในลีค ผมมองว่าโอกาสน้อยกว่า ลิเวอร์ แต่น่าจะโอกาสพอๆกะเลสเตอร์ เวสแฮม
ฝั่งหงส์โปรแกรมเบากว่าชัดเจน หลังๆฟอร์มก็ดีขึ้น ถ้าไม่เละเทะน่าจะเบียดเข้าป้ายได้

ส่วน เชลซี เวสแฮม เลสเตอร์ มันมีเจอกันเอง คงตอบยาก ต้องดูผลการแข่งขัน
เพียงแค่เชลซีเสียเปรียบหน่อยตรงโปรแกรมโคตรแน่น แถมหนักซะเยอะ

ความฟิตน่าจะเป็นรอง ผมตามอ่านหลายๆเม้นแฟนเชลซีแกบอก ทูเคิลโรเตชั่นมักจะไม่ค่อยดี
ซึ่งผมก็ไม่รู้จริงมั้ย แต่ถ้าโรเตชั่นแล้วผลงานสู้ชุดใหญ่ไม่ได้ ผมว่าเหนื่อยอยู่

ผมว่า UCL ปีนี้ ปารีส น่าจะมาอ่ะ

คิดว่า เอฟเอ ชนะจิ้งจอกได้

ส่วนถ้วย ชปล ถ้าผ่านน้าดานได้

ผมว่า ไม่ต้องกลัวแมนซิ เปแอชเชแล้ว ถึงแชมป์แน่

ARSENAL 2-0 Chelsea

Chelsea เป็นรองแชมป์ ยูฟ่าซูเปอร์คัพ

เอฟเอแล้วแต่จังหวะครับ สูสีกัน
UCL ยากมากถึงมากที่สุด
Top4 ต้องดูเลสเตอร์ถ้าเก็บนัดตกค้างได้ก็น่าจะทำให้เชลซีสูสีกับเวสแฮม ส่วนลิเวอร์ถ้าไม่พลาดเองคงติดแล้ว 1ทีม เหลืออีกอันดับลุ้นกัน เวสแฮม เชลซีและเลสเตอร์ครับ

ปีนี้ขอแค่โควต้า UCL+แชมป์ FA พอแล้ว ที่เหลือคือโบนัส

ขอUCLไม่ต้อง ที่4ก็

2 แชมป์สิ

ต่อด้วย คอมมูนิติ้ชิล และคว้าซุปเปอร์คัพ พร้อมสโมสรโลก

ผมเสี่ยว รอบรองจะเหมือนปีเจอบาซ่า แล้วเข้าชิง และรอบชิงเจอ ซิตี้ เหมือน ปีที่ชิงกับแมนยู แล้วแพ้ลูกโทษ 55555

ยังไงก็เชียร์ ครับเล่นให้เต็มที่ขอเชียร์นัดต่อนัดดีกว่า

FA Cup มีลุ้นผมว่าเกมรับเราตอนนี้น่าจะพอต้านเลสเตอร์ไหว แต่เกมรุกไม่รู้จะช่วยยิงได้ไหม

ส่วน UCL คงต้องผ่านมาดริดให้ได้ก่อน ถ้าผ่านได้ผมว่าหวังถึงแชมป์ได้เลยเพราะผมว่าใน 4 ทีมที่เหลืออยู่มาดริดน่ากลัวสุดแล้วเพราะสมดุลทีมดีมาก(ถ้าลงกันครบ) รองลงมากลัวปารีสแล้วค่อยแมนซิ

ทุกแชมป์อะ บอกเลยยยย

ucl ยาก แต่ก็หวังให้ทำได้

ทีมเราขาดตัวบิ๊กแมตซ์ แบบดรอกบา

ต้องดูว่าคุณภาพจะแน่นพอสู้ได้ไหม

ส่วน FA ก็ไม่ยากแต่ไม่ง่าย

ปีที่แล้วเจอน่อลยังมั่นใจกว่า สุดท้ายอดเฉย

สรุปไม่มีอะไรแน่นอน ดูกันไปนัดต่อนัด

2012 UCL เจอบาซ่า ยังยากกว่านี้ยังผ่านมาได้เลย

2021 ตัวผู้เล่นเราก็ไม่ขี้เหล่ อย่าเพิ่งถอดใจ

คือถ้าปีนี้ เหมือนปี 2012 ทุกอย่าง แบบนี้ ซีซั่นหน้าทูเคิ้ลก้จะ ...