[RE: งง เรื่องอำนาจอธิปไตยครับ]
ถ้าอำนาจตุลาการในอเมริกา ประชาชนเป็นเจ้าของครับ โดยผ่านทาง
การคัดเลือกคณะลูกขุนจะทําโดยการคัดเลือกจากประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั่ว ๆ ไปจากแนวคิดที่ว่า เมื่อสามารถมีวิจารญาณใช้สิทธิทางการเมืองเลือกผู้แทนในการบริหาร ปกครองประเทศได้ก็ย่อมมีดุลยพินิจที่ดีเพียงพอที่จะรับฟังข้อเท็จจริงในการพิจารณาคดีที่เกิดขึ้นในชุมชนของตนได้ ประชาชนจะถูกสุ่มตัวอย่าง คัดเลือกในทุก ๆ คราวที่มีการพิจารณาคดี (Trial) ประชาชนประมาณ ๕๐ คน จะถูกเข้าสู่กระบวนการคัดเลือกจากอัยการและทนายของจําเลย อัยการและทนายจะมีโอกาสในการคัดทิ้งบุคคลที่ตนเห็นว่ามีอคติเอนเอียงและอาจจะส่งผลร้ายต่อคดีของตนหากได้รับการคัดเลือกโดยสามารถคัดออกได้ฝ่ายละ ๑๐ คน ในคดีที่มีโทษอุกฉกรรจ์ โดย ๑๒ คนแรกตามลําดับที่ไม่ถูกคัดออกจะได้รับการคัดเลือกเป็นลูกขุนในการพิจารณาคดี ผู้พิพากษาที่มาจากการเลือกตั้งจะทําหน้าที่เหมือนผู้คุมกติกา แต่การพิจารณาพิพากษาว่าจําเลยคนใดมีความผิดหรือไม่(Verdict) เป็นหน้าที่ของลูกขุน (Jurors)
------------------
เรื่องอำนาจอธิปไตยมาจากแนวคิดของ มงแต็สกีเยอ (Montesquieu) ครับ
นักคิดนักปรัชญาการเมืองชาวฝรั่งเศส ผู้ให้กำเนิดแนวคิดในการแบ่งแยกอำนาจปกครองสูงสุดหรืออำนาจอธิปไตยออกเป็น 3 ฝ่าย โดยพิจารณาในแง่ขององค์กรผู้ใช้อำนาจออกเป็น
1.อำนาจนิติบัญญัติ
2.อำนาจบริหารและ
3.อำนาจตุลาการ
มีเป้าประสงค์ประการสำคัญแหล่งหลักการคือการให้อำนาจแต่ละฝ่ายถ่วงดุลและตรวจสอบซึ่งกันและกันทั้งสามฝ่าย และเพื่อประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชนให้ปลอดจากการใช้อำนาจโดยมิชอบขององค์กรภาครัฐที่ใช้อำนาจหนึ่งอำนาจใดที่อาจละเมิดลิดรอนโดยอำนาจรัฐไม่ว่าฝ่ายใด ซึ่งตามแนวคิดดั้งเดิมของมงแต็สกีเยอนั้น ได้แบ่งอำนาจอธิปไตยออกเป็นองค์กรที่ใช้อำนาจนิติบัญญัติ (Puissance Legislative) ซึ่งใช้อำนาจปฏิบัติการต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับกฎหมายมหาชน และองค์กรที่ใช้อำนาจปฏิบัติการต่าง ๆ ซึ่งขึ้นอยู่กับกฎหมายเอกชน ซึ่งก็คือ สภาที่ทำหน้าที่ประชุมและปรึกษาในเรื่องการเมือง องค์กรเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือช้าราชการ และองค์กรฝ่ายตุลาการ นั่นเอง เหตุผลที่มงแต็สกีเยอเสนอแนวคิกให้แบ่งแยกอำนาจการปกครองสูงสุดนี้เนื่องจากเขาเห็นว่า หากอำนาจในการนิติบัญญัติหรือการตรากฎหมาย อำนาจในการบริหารหรือการบังคับตามมติมหาชน และอำนาจตุลาการในการพิจารณาคดี ถูกใช้โดยบุคคลเดียวหรือองค์กรเดียว ไม่ว่าจะเป็นขุนนางหรือประชาชนก็ตามแล้ว ยากที่จะมีเสรีภาพอยู่ได้ ทั้งนี้เป็นเพราะ ผู้ใช้ทั้งอำนาจนิติบัญญัติรวมกับอำนาจบริหาร จะออกกฎหมายแบบทรราชและบังคับใช้กฎหมายในทางมิชอบ หากอำนาจตุลาการรวมกันกับอำนาจนิติบัญญัติ ผู้พิพากษาจะเป็นผู้ออกกฎหมาย อันอาจส่งผลให้ชีวิตและเสรีภาพของผู้ใต้การปกครอง ถูกบังคับควบคุมโดยกฎหมายที่ลำเอียง และหากให้อำนาจตุลาการรวมกับอำนาจบริหารแล้ว ผู้พิพากษาจะประพฤติตัวแบบกดขี่รุนแรง อันจำเป็นต้องแยกอำนาจแต่ละด้านออกจากกัน
อย่างไรก็ตาม ด้วยฐานคิดของมงแต็สกีเยอที่ว่า การแบ่งแยกอำนาจการปกครองมิใช่มรรควิธีประการเดียวในการตรวจสอบควบคุมการใช้อำนาจรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รัฐบาลยากที่จะจัดการกับปัญหาการทุจริตจากการบริหารงานที่สลับซับซ้อนไม่โปร่งใสได้จริง ทำให้แท้จริงนั้น ประชาชนต่างหากคือผู้ที่จะควบคุมได้อย่างเกิดประสิทธิผลมากที่สุด การแบ่งแยกอำนาจการปกครองในมุมมองสมัยใหม่ จึงเป็นหลักการที่ถูกกล่าวถึงควบคู่ไปกับบทบาทหน้าที่ในการมีส่วนร่วมตรวจสอบถ่วงดุลการใช้อำนาจโดยองค์กรผู้ใช้อำนาจของประชาชน
-------------------------------
สำหรับอำนาจ 1.บริหาร 2.นิติบัญญัติ ถ้าในไทยก็มาจากการเลือกตั้งนายก สส
สำหรับอำนาจตุลาการ ทางทฤษฎีถ้าที่อเมริกาหรือประเทศที่ใช้กฎหมายคอมมอนลอว์ จะมีการพิจารณาโดยประชาชนครับ คือการคัดเลือกคณะลูกขุนจะทําโดยการคัดเลือกจากประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั่ว ๆ ไปจากแนวคิดที่ว่า เมื่อสามารถมีวิจารญาณใช้สิทธิทางการเมืองเลือกผู้แทนในการบริหาร ปกครองประเทศได้ก็ย่อมมีดุลยพินิจที่ดีเพียงพอที่จะรับฟังข้อเท็จจริงในการพิจารณาคดีที่เกิดขึ้นในชุมชนของตนได้ ประชาชนจะถูกสุ่มตัวอย่าง คัดเลือกในทุก ๆ คราวที่มีการพิจารณาคดี (Trial) ประชาชนประมาณ ๕๐ คน จะถูกเข้าสู่กระบวนการคัดเลือกจากอัยการและทนายของจําเลย อัยการและทนายจะมีโอกาสในการคัดทิ้งบุคคลที่ตนเห็นว่ามีอคติเอนเอียงและอาจจะส่งผลร้ายต่อคดีของตนหากได้รับการคัดเลือกโดยสามารถคัดออกได้ฝ่ายละ ๑๐ คน ในคดีที่มีโทษอุกฉกรรจ์ โดย ๑๒ คนแรกตามลําดับที่ไม่ถูกคัดออกจะได้รับการคัดเลือกเป็นลูกขุนในการพิจารณาคดี ผู้พิพากษาที่มาจากการเลือกตั้งจะทําหน้าที่เหมือนผู้คุมกติกา แต่การพิจารณาพิพากษาว่าจําเลยคนใดมีความผิดหรือไม่(Verdict) เป็นหน้าที่ของลูกขุน (Jurors)
ในไทย ผู้พิพากษามาจากการสอบคัดเลือก แต่อย่างไรก็ตามประชาชนสามารถคัดค้านผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีนั้นๆได้ครับ ถ้าคดีแพ่งก็ตาม ป.วิ.แพ่ง
***มาตรา ๑๑ เมื่อคดีถึงศาล ผู้พิพากษาคนหนึ่งคนใดในศาลนั้นอาจถูกคัดค้านได้ในเหตุใดเหตุหนึ่งดังต่อไปนี้
(๑) ถ้าผู้พิพากษานั้นมีผลประโยชน์ได้เสียเกี่ยวข้องอยู่ในคดีนั้น
(๒) ถ้าเป็นญาติเกี่ยวข้องกับคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง คือว่าเป็นบุพการี หรือผู้สืบสันดานไม่ว่าชั้นใด ๆ หรือเป็นพี่น้องหรือลูกพี่ลูกน้องนับได้เพียงภายในสามชั้น หรือเป็นญาติเกี่ยวพันทางแต่งงานนับได้เพียงสองชั้น
(๓) ถ้าเป็นผู้ที่ได้ถูกอ้างเป็นพยานโดยที่ได้รู้ได้เห็นเหตุการณ์ หรือโดยเป็นผู้เชี่ยวชาญมีความรู้เป็นพิเศษเกี่ยวข้องกับคดีนั้น
(๔) ถ้าได้เป็นหรือเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้แทนหรือได้เป็นทนายความของคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมาแล้ว
(๕) ถ้าได้เป็นผู้พิพากษานั่งพิจารณาคดีเดียวกันนั้นในศาลอื่นมาแล้ว หรือเป็นอนุญาโตตุลาการมาแล้ว
(๖) ถ้ามีคดีอีกเรื่องหนึ่งอยู่ในระหว่างพิจารณาซึ่งผู้พิพากษานั้นเอง หรือภริยา หรือญาติทางสืบสายโลหิตตรงขึ้นไป หรือตรงลงมาของผู้พิพากษานั้นฝ่ายหนึ่ง พิพาทกับคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือภริยา หรือญาติทางสืบสายโลหิตตรงขึ้นไปหรือตรงลงมาของคู่ความฝ่ายนั้นอีกฝ่ายหนึ่ง
(๗) ถ้าผู้พิพากษานั้นเป็นเจ้าหนี้หรือลูกหนี้ หรือเป็นนายจ้างของคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
อ้างอิง
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%AD%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%9B%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%A2
หนังสือบทความทางวิชาการ The State Supreme Court USA
นิตยสารจุลนิติ ปี 2552 เดือนกันยายน