“แดงเดือด” แบ่งแต้มที่อารมณ์แอบต่างกัน
เกมแดงเดือดหรือที่ฝรั่งใช้คำว่า Red fight จบลงด้วยความโล่งใจของแฟนบอลทั้ง 2 ทีมเพราะต่างฝ่ายต่างเหนือกว่ากันคนละครึ่งในเกมที่ตรึงเครียดจนเราต้องขยับขาช่วยโหม่งช่วยสกัดตามไปด้วย
น่าจะเป็น “fair result” ที่สุดแล้วหากมองถึงแท็คติกส์ที่ดุเดือดมากที่สุดนัดนึงจนบีบให้โอกาสยิงทั้งเกมจาก 2 ทีมรวมกันแค่ 7 ครั้งเท่านั้นเอง
แม้ทั้งคู่โล่งเหมือนกันแต่ต่างกันตรงที่ แมนฯยูไนเต็ด มาบดเอาในครึ่งหลังซึ่งนั่นหมายความว่าถ้าได้ประตูอาจทำให้ ลิเวอร์พูล ไม่เหลือเวลาที่จะตั้งสติกลับมาดังนั้นผมจึงคิดแทนว่าทีมเยือนอาจแค่รู้สึก “เสียดาย” ที่ไม่ชนะแต่ก็ “โอเค” รับได้ที่ยังไม่เสียจ่าฝูง
ฝั่ง “หงส์แดง” อาจมอง 2 มุมคือ “1 แต้มก็ยังดี” หากหันไปดูเซนเตอร์จำเป็นทั้ง 2 คนรวมถึง “รอดตาย” จากลูกยิงของ พอล ป็อกบา
แต่อีกมุมคงมี “ผิดหวัง” ปนๆมาด้วยเพราะครึ่งแรกมีช่วงที่ได้ขึงใส่อยู่พักใหญ่ๆแต่การตัดสินใจเมื่อถึงจังหวะสำคัญผู้เล่นเจ้าถิ่นสอบตกกันระนาว
ลิเวอร์พูล ยิงประตูในลีกไม่ได้มา 3 นัดติดต่อกันหรือรวม 270 นาที สภาพแย่แค่ไหนไม่รู้ รู้แค่ว่าเป็นสถิติใหม่ในรอบ 15 ปีไปแล้วครับ
“อดีตจ่าฝูง” ออกอาการเป๋นับตั้งแต่ เอดิสัน คาวานี่ ลงสนามตั้งแต่นาที 61 และใช้วิธีวางยาวข้ามไลน์แนวรับให้ผู้เล่นสอดหนีล้ำหน้า
การเล่นแบบนี้ฝั่งเกมรับเสียเปรียบหากพวกกลางบีบไม่สุดหรือเข้าช้าที่จะทำให้ตัววางบอลมีเวลามองและ “ส่งสายตา” ให้พอดีกับไลน์ซึ่งตัวตัดเกมที่ดีที่สุด 2 คนดันไปเป็นเซนเตอร์แผนของ JK ณ เวลานี้จึงค่อนข้างเปราะบางเอามากๆ
เมื่อพิจารณาจากสภาพแนวรับ การถูกบี้ในช่วงท้ายเกมการเสมอ 0-0 คงเป็นความ ”โล่งอก” แต่ท่ามกลางความโล่งอกมันมีปัญหาที่จะส่งผลในเกมต่อไปนี่แหละครับ
ผมกำลังพูดถึงความ “มั่นใจ” ที่ตอนนี้มันกระทบไปหลายภาคส่วนและทำให้นักเตะที่เคยเป็นทีเด็ดกู่ไม่กลับแล้ว
คนแรก เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ จิตตกความมั่นใจในการถูกบีบเล่นลูกโด่งไม่เหลือครับโหม่งคืนออกหลังทั้งๆที่ไม่มีใครใกล้ๆ สะกิดบอลแป๊ก ฯลฯ
เดอะ ค็อป เลยรู้สึกโชคดีที่ มารํคัส แรชฟอร์ด ไปเล่นฝั่งขวาในครึ่งแรกถ้าโดนเผาตั้งแต่ต้นเกมไม่รู้จะบรรลัยแค่ไหน
โม ซาลาห์ ได้บอลแสดงออกชัดเจนว่าไม่มีความมั่นใจว่าจะทำอะไรกับบอลได้เหมือนเก่า ไม่คิดว่าจะเลี้ยงหนีคู่ต่อสู้อะไรได้เลยและไปทำในสิ่งที่ไม่เกิดประโยชน์คือบังบอลผายมือ
ทุกๆโอกาสหรือบอลอยู่ในเขตโทษนักเตะแนวรุก “หงส์แดง” ล่กและเกิดอาการ panic ทุกๆย่างก้าวหาความดุหรือมั่นใจไม่มีเลย
กลับกันภาษากายของพวกเกมรับ “ปีศาจแดง” ในการสกัดหรือโหม่งคืนประตูล้วนแล้วความรู้สึกต่างกับเจ้าบ้านอย่างสิ้นเชิง
ลิเวอร์พูล กำลังชดใช้กรรมตั้งแต่เสมอกับ เวสต์บรอมวิช ช็อกคาบ้านตั้งแต่นั้นมาสภาพจิตใจความกังวลในเรื่องการส่งบอลข้ามเส้นกลายเป็นอีกทีมไปแล้ว
ยิ่งมาถูก นิวคาสเซิ่ล อุด 0-0 ทีนี้เป๋ยาวจนโอกาสที่ครั้งหนึ่งเคยถูกคาดว่าจะฉีดหนีนำฝูงยาวๆตั้งแต่ช่วงคริตมาสจนบัดนี้ 4 นัดได้แค่ 3 แต้ม สรุปตัวเลขกลมๆทำหายไป 8 แต้ม
แน่นอนครับถ้าพิจารณาจากโอกาสจะๆในครึ่งหลังที่ ยูไนเต็ด น่าจะยัดเยียดความปราชัยในบ้านให้คู่อริเป็นหนแรกในรอบเกือบๆจะ 4 ปี (ตั้งแต่เมษายน 2017)
ลูกทีมของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา อาจรู้สึกเสียดายแต่ในทางกลับกันด้วยฟอร์มของ “ปีศาจแดง” พูดแบบไม่ต้องเหนียมอายคือเดี๋ยวตั้งหลักกลับมาดูดแต้มจากทีมอื่นๆได้อยู่ดี
แต่เด็กของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ผมว่าอาการค่อนข้างน่าเป็นห่วงเพราะการคาดหวังให้แนวรับแบกความรับผิดชอบรักษาแนวหลังโดยที่กองหน้ายังไม่ยอมตั้งไข่เริ่มกลับมาทำประตู
Class บอลของ ติอาโก้ เป็นสิ่งเดียวที่ชะโลมใจเดอะ ค็อป ณ เวลานี้โดยเฉพาะลูกหักข้อจ่ายที่ยังไม่เคยเสียเลยเพียงแต่ปัญหาที่ยังเรื้อรังคือ 3 ประสานนัดกันฟอร์มหายหลังต้องแบกความกดดันที่มากขึ้นเรื่อยๆตามจำนวนนัดที่บอด
ถ้าใครเห็นแท็คติกส์ของ ยูไนเต็ด เกมนี้จะสังเกตได้ว่า “น้าลูกอม” ใช้โมเดลที่หลายๆทีมสกัด “หงส์แดง” ในช่วงหลังคือเพรสสูงเพรสหนักๆเพราะตอนนี้เจ้าถิ่นขึ้นเกมจากแดนหลังไม่เหมือนช่วงโหดๆ
แดนกลางตัดเกมที่นิ่งกับบอลที่ดีที่สุดในทีมดันมายืนเซนเตอร์คู่ทำให้ 3 ตัวที่เหลือเปราะบางและเสียบอลให้เห็นเรื่อยๆจน ชากิรี่ ต้องมาสังเวยใบเหลืองและเกือบถูก บรูโน่ ยิงฟรีคิกหายในครึ่งแรก
การสกรีนจากแดนกลางที่บางครั้งยังหลวมๆทำให้ ฟาบินโญ่ ต้องสวมวิญญาณ DMC เก่าดักสกัดและตัดฟาว์ล เรียกว่า ณ เวลานี้เป็นทุกอย่างของทีมในแนวรับจริงๆ
สำหรับ “ปีศาจแดง” จะเพรสก็ต่อเมื่อ ลิเวอร์พูล ตั้งเกมจากหน้าเขตโทษหรือได้ทุ่มแต่ถ้าจังหวะที่เก็บบอลครองบอลข้ามแดนมาอีกฝั่งทาง “ปีศาจแดง” จะหันมาคุมโซนป้องกันเพื่อให้เข้าสูตรล่อนายพรานให้ตายใจดันไลน์เซนเตอร์ขึ้นมาสูงแล้วรอสวนกลับ
แผนนี้ลงตัวมากหากเรามองไปที่เกมรับของ “จ่าฝูง” ที่เล่นมาจนถึงนัดที่ 18 ทั้งแน่นและเหนียวต่างจากเมื่อต้นซีซั่นลิบลับ
สิ่งที่ โซลชา วางเอาไว้ลงล็อกทุกอย่างยกเว้นตอนจังหวะสวนกลับซึ่ง มาร์กซิยาล และ แรชฟอร์ด ที่มีปัญหาในจังหวะบอลสำคัญทำให้พลาดโอกาสดีๆในเกมนี้ไป
หากเล่นฉลาดคิดถึงทีมไว้ก่อนลูกสวนกลับหลุดเดี่ยวดวล 2 ต่อ 2 แรชต้องแทงให้ คาวานี่ ที่เลี้ยงไลน์รอสอดไปยิงแต่น้องแกดันดื้อด้านเลี้ยงจนถูก ฟาบินโญ่ และ เฮนเดอร์สัน มาตามเก็บงานได้ทัน
เกมรุกของ ยูไนเต็ด กลับมาติดเครื่องอีกรอบก็ช่วงเวลาทองน่าจะราวๆ 15 นาทีสุดท้ายที่แนวรับ ลิเวอร์พูล ออกอาการไม่ดีโดนวางบอลข้ามหัวรัวๆแถมแบ็คสองข้างมาช่วยเติมกดเจ้าถิ่นอย่างหนักจนอยากให้กรรมการเป่าหมดซะเดี๋ยวนั้น
ถึงตรงนี้แล้ว “หงส์แดง” ต้องทำใจยอมรับสภาพเป็นผู้ตามและผู้ไล่บ้างแล้วหลังไร้ชัยมา 4 นัดติดจนร่วงมาอยู่ที่ 4
การหยุดรอดังกล่าวเป็นการ “จุดติด” ให้เกิด “ผู้เล่น” แย่งแชมป์ตามมาอีกเป็นพรวนที่ไล่ๆดูแบบไวๆน่าจะถึง 7-8 ทีม
โดยเฉพาะขาใหญ่เจ้าประจำเดิมคือ แมนฯซิตี้ ขยับขึ้นมาอยู่ที่ 2 หลังถล่ม คริสตัล พาเลซ 4-0 และรอขึ้นจ่าฝูงหากเก็บชัยในนัดตกค้างที่มีอยู่ในมือได้
แม้มีม้าหลายตัวแต่หากมองฟอร์มการเล่นที่รอเก็บกินยาวๆผมให้ แมนฯยูฯ กับ แมนฯซิตี้ ส่วนทีมอื่นล้วนแล้วแต่มีปัญหาให้แฟนบอลได้ด่าหลังจบเกมสลับวนๆกันไป
เราจะมีความสนุกในเร็ววันนี้อีกครับเมื่อกลางสัปดาห์พวกทีมหัวตารางลงเตะกันครบและด้วยแต้มที่บีบเรากำลังจะได้เห็นปรากฏการณ์ที่ไม่เกิดขึ้นบ่อยเมื่อมีมากถึง 4 ทีมที่มีโอกาสเป็นจ่าฝูงเลยทีเดียว...
แก้ไขล่าสุดโดย เบน ฟรีคิก เมื่อ Mon Jan 18, 2021 04:24, ทั้งหมด 1 ครั้ง
โหวตเป็นกระทู้แนะนำ