"กรณ์" เปิดใจ หากถูกทาบนั่ง รมว.คลัง ม็อบโยงปากท้องไหม คิดอย่างไร ศก.ปีหน้าไทยดีขึ้น
ม็อบนักศึกษากับปัญหาปากท้อง คิดว่ามีความเชื่อมโยงกันหรือไม่?
นายกรณ์ กล่าวว่า ผมคิดว่าการชุมนุมของนักศึกษาครั้งนี้ไม่น่าจะเกี่ยวโยงกับเรื่องปากท้องมากนักในแง่ประเด็นที่เรียกร้อง เท่าที่สังเกตเขาไม่ได้พูดถึงเรื่องประเด็นปัญหาปากท้องหรือเศรษฐกิจมากนัก อาจมีพูดถึงความกังวลต่อคุณพ่อคุณแม่ที่ประสบปัญหาเศรษฐกิจอยู่บ้าง แต่ผมคิดว่าประเด็นหลักที่เขานำเสนอคือเรื่องการเมืองมากกว่า เรื่องของสิทธิเสรีภาพ แต่ก็เป็นอีกหนึ่งเงื่อนไขที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าอาจมีผลกระทบต่อความมั่นใจทางเศรษฐกิจ ทั้งในส่วนของคนไทยกันเองและในส่วนของต่างชาติ แต่เป็นคนละประเด็น
รมว.คลัง ลาออก ส่งผลอย่างไรกับทีมเศรษฐกิจรัฐบาล?
ในประเด็นการบริหารเศรษฐกิจ เรื่องของ “ความหวัง” สำคัญมาก สมมติหากคนรู้สึกมืดมน มองไม่เห็นอนาคต มองไม่เห็นทางออก ก็จะยิ่งทำให้สถานการณ์ที่วิกฤติอยู่แล้วเลวร้ายลง จึงขอให้มี “ทีมเศรษฐกิจ” ที่มีความชัดเจนโดยเร็ว และที่สำคัญคือ เมื่อมี “ทีมเศรษฐกิจ” แล้ว ก็ให้มีการแสดงวิสัยทัศน์โดยเร็วด้วย ว่าจะประเมินปัญหานี้อย่างไร จะมีมาตรการหรือข้อเสนอเพื่อแก้ปัญหานี้อย่างไร
นายกฯมีทาบทามคุณกรณ์มาเป็น รมว.คลัง บ้างไหม?
ถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีการทาบทามมานะ แต่ผมขอตอบอย่างนี้ว่า พวกเราเป็นนักการเมือง เราก็มีเป้าหมายสูงสุดคือ การทำงานรับใช้บ้านเมือง ช่วยเหลือประชาชน อะไรที่ช่วยได้ก็ช่วย อะไรที่ดูแล้วช่วยไม่ได้ หรือไม่มีอยู่ในความสามารถของเราที่จะทำก็ไม่ทำ เพราะฉะนั้นทุกอย่างขึ้นอยู่กับเงื่อนไขว่า อะไรที่เราทำงานได้ โดยประมาณนั้น แต่ความตั้งใจของผมในการมาตั้งพรรคคือ เพื่อที่จะลงเลือกตั้งในการเลือกตั้งครั้งต่อไป และมาทำนโยบายร่วมกันในฐานะพรรคกล้า เพื่อที่จะแก้ปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน เพราะฉะนั้นตอนนี้ผมไม่ได้คิดเรื่องอื่นเลย คิดเพียงแค่เรื่องงาน ส่วนเรื่องทาบทามไม่ทาบทามก็เป็นข่าวทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีคลัง
คิดอย่างไรที่มีคนออกมาบอกว่า ปีหน้าเศรษฐกิจจะดีขึ้น?
นายกรณ์ กล่าวว่า หากจะพูดว่า “เศรษฐกิจดีขึ้น” ก็ขึ้นอยู่กับว่าเปรียบเทียบกับอะไร เช่น เศรษฐกิจดีขึ้นแล้วเมื่อเทียบกับช่วงล็อกดาวน์ (Lockdown) เพราะคนเริ่มมีการเคลื่อนไหวได้ ออกมาเที่ยวได้ มีการจับจ่ายใช้สอยข้ามจังหวัดได้ ผมเชื่อว่าไตรมาส 3 ยังไงต้องดีกว่าไตรมาส 2 แต่ “ดีขึ้น” หมายความว่า กลับไปสู่ปกติก่อนโควิด-19 (COVID-19) ผมคิดว่ายังยาก ถามง่ายๆ คิดว่า “ต้นปี 2564 จะมีการท่องเที่ยวระดับเดียวกับก่อนโควิด-19 หรือไม่?” ประมาณ 40 ล้านคนต่อปี คำตอบก็คือ “ยัง!” ยังไม่สามารถที่จะกลับไปสู่จุดนั้นได้ แต่ถามว่า “ค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ ได้ไหม?” ผมคิดว่า “ได้” โดยตอนนี้ประเทศอื่นๆ หลายประเทศก็เริ่มที่จะอยู่เป็นกับโควิด-19 เริ่มที่จะปรับชุดความคิดยุทธศาสตร์ว่า โควิด-19 ก็คืออีกโรคหนึ่งที่เราต้องหาทางอยู่กับมัน หลายคนพูดเหมือนกันว่า จุดสมดุลที่สังคมไทยรับได้คืออะไร หากผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการปิดประเทศอยู่ในผลกระทบที่เรารับได้ก็ปิดต่อไป เพื่อที่จะทำให้ประชาชนไทยปลอดภัยอย่างสิ้นเชิงจากโควิด-19 แต่ถ้ามองว่าเริ่มรับไม่ได้ก็ต้องหาจุดปลอดภัย
ในความคิดเห็น มีอะไรที่ต้องเร่งแก้ไข?
เรื่อง"ปากท้อง"สำคัญที่สุด แล้วสิ่งที่เราพูดมาตลอดคือ กลุ่มผู้ประกอบการที่น่าเป็นห่วงที่สุด คือ กลุ่มผู้ประกอบการขนาดเล็กขึ้นไปถึงเอสเอ็มอี (SMEs) ที่มีจำนวนหลายล้าน ซึ่งที่ผ่านมาเข้าไม่ถึงมาตรการเยียวยาของรัฐบาล ตรงนี้เป็นประเด็นที่ผมคิดว่าทีมเศรษฐกิจที่จะเข้ามาใหม่ต้องปรับจูนนโยบายมาตรการต่างๆ เพื่อที่จะทำให้กลุ่มเป้าหมายกลุ่มนี้เข้าถึงได้ เพราะกลุ่มนี้สายป่านสั้น โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่หากินกับนักท่องเที่ยว เดือดร้อนหนัก อุตสาหกรรมโรงแรมลงไปถึงร้านค้าที่พึ่งพาลูกค้าจากต่างประเทศ ผมคิดว่าต้องรีบช่วยเหลือ เพราะกลุ่มพวกนี้มีศักยภาพ สำหรับประเทศไทยยังไงผมก็เชื่อว่าจุดแข็งในอนาคตก็คือ “อุตสาหกรรมท่องเที่ยว” ถ้าเราปล่อยให้ผู้ประกอบการล้มหายตายจากไปหมดในช่วงนี้ ผมเชื่อว่าเมื่อสภาวะกลับมาสู่สถานการณ์ปกติก็จะฟื้นตัวยาก
เลือกตั้งท้องถิ่น มีเลือกแคนดิเดตไว้บ้างหรือยัง?
นายอรรถวิชช์ เลขาธิการพรรคกล้า กล่าวว่า พรรคกำลังหา “นักปฏิบัติ” เดินสายทั้งในต่างจังหวัดและกรุงเทพฯ เพื่อให้ได้นักปฏิบัติมากที่สุด ซึ่งนี่เป็น “ข้อดี” ของรัฐธรรมนูญเหมือนกัน และการเลือกตั้งครั้งที่ 2 ที่จะต้องลงไปทำไพรมารี (Primary) ทุก 350 เขตเลือกตั้ง ทำให้เรามีโอกาสลงไปเจอคนมากขึ้น พรรคกล้าต้องการคนใหม่ๆ ที่ไม่เคยเป็นนักการเมือง แต่มีความชำนาญเฉพาะด้าน เป็นนักปฏิบัติเฉพาะด้าน ตอนนี้ระดมค้นหาก็เหนื่อยหน่อย แต่สนุกดี เพราะได้เจอคนหลากหลายอาชีพ อยากเห็นการเมืองเปลี่ยน จากที่ผูกกับนักการเมืองท้องถิ่น ผูกกับนักการเมืองระดับชาติเดิมๆ ตระกูลเดิมๆ คนเดิมๆ เปลี่ยนมาเป็นคนที่มีอาชีพหลากหลายขึ้น คิดว่าน่าจะทำมิติใหม่ทางการเมืองได้ โดยการนำนักปฏิบัติที่ชำนาญเฉพาะด้านมาเป็นผู้แทนราษฎร ทีนี้เรื่องของท้องถิ่น เรากำลังมีแคมเปญรับสมัครเลย ถ้าคุณคิดว่า คุณอยากเป็นตัวแทนผู้สมัครของพรรค คุณบอกมาเลยว่า คุณมีความเด่นและเป็นนักปฏิบัติอย่างไร ส่วนเรื่องของสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (สก.) ก็มีความตั้งใจส่งทุกเขต หัวเมืองอื่นๆ ต้องดูความพร้อมอีกที เนื่องจากเป็นพรรคใหม่และต้องการคนที่มีคุณภาพมาสมัคร
คิดเห็นอย่างไรกับสนามเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.รอบนี้ หากรัฐบาลไฟเขียวให้เลือกตั้ง
อรรถวิชช์ กล่าวต่อว่า สนาม “ผู้ว่าฯกทม.” รอบนี้อาจไม่ได้เป็นศึกของพรรคการเมืองแล้ว แต่เป็นการลงอิสระ หลายคนลงอิสระกันเยอะ แต่ในส่วนพรรคกล้า อย่างที่เรียนว่า สก. ตั้งใจส่งทุกเขต เพราะตั้งแต่มีสภากรุงเทพมหานคร ตัว สก. ไม่ได้เล่นบทบาทคุมงบประมาณ แต่ผูกติดกับตัวผู้ว่าฯกทม. ถ้าศึกคราวนี้เป็นศึกที่ผู้ว่าฯกทม. เป็นผู้ว่าฯกทม.อิสระ ตัว สก.เอง จะมีบทบาทสำคัญมากถ้าเป็น สก.สังกัดพรรคการเมือง เพราะสามารถนำพานโยบายจากพรรคไปได้ ซึ่งเราไม่รู้ว่าผู้ว่าฯกทม.อิสระ จะคอนโทรลแบบไหน แต่ถ้าในสภานิติบัญญัติกรุงเทพมหานครมีดีเอ็นเอของพรรค มีนโยบายที่พรรคอยากส่งผ่าน ผมว่ามันอาจเป็นอีกบริบทหนึ่งที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน เพราะส่วนมากแล้วผู้ว่าฯกทม. จะมาจากพรรคการเมือง แต่ถ้าผู้ว่าฯกทม.อิสระ แต่ สก.สังกัดพรรคการเมือง มันจะมีนโยบายเกื้อหนุนกันได้ ไม่ใช่รอคนคนเดียวตัดสินใจ ถ้ารอผู้ว่าฯกทม.ตัดสินใจคนเดียว ก็อาจจะเป็นเหมือนเดิม
ด้านนายกรณ์ กล่าวว่า เกมคงไม่เปลี่ยน เพราะในอดีตย้อนหลังไป 10 กว่าปี เป็นการแข่งขันระหว่าง 2 พรรค เที่ยวนี้อย่างที่ว่า อาจจะ 4-5 พรรคที่มีน้ำหนักเท่าๆ กัน เมื่อบวกอิสระ ผมคิดว่า น่าสนใจ เราน่าจะได้เห็นความเปลี่ยนแปลง ซึ่งผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ดี การเปลี่ยนแปลงโดยส่วนใหญ่ก็น่าจะส่งผลทางบวก คนกรุงเทพฯ น่าจะมีตัวเลือกมากขึ้น ข้อดีคือ เป็นโอกาสให้คนกรุงเทพฯ ได้เลือกสิ่งที่ต้องการมากกว่าเลือกจากความกลัว หรือเลือกจากความหวาดระแวงฝั่งตรงข้าม น่าจะเลือกด้วยความสร้างสรรค์ ได้ในส่วนที่อยากจะได้มากขึ้น ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ดี
มีมองหาคนที่จะมาลงเป็นผู้ว่าฯกทม.ไว้บ้างหรือยัง?
อดีตรมว.คลัง กล่าวว่า เราพร้อมรับ ใครสนใจเป็นผู้ว่าฯกทม. ในนามพรรคกล้าติดต่อมาได้เลย แต่ตามจริง ในการทำงานพรรคการเมืองก็มีว่าที่ผู้สมัครที่คุยไว้แล้ว ก็ต้องลองดูว่าท่าทีของรัฐบาลในการเปิดโอกาสให้ประชาชนได้เลือกตั้งระดับท้องถิ่น ไม่ใช่แค่กรุงเทพฯ แต่เป็นทั่วประเทศจะมีเมื่อไร เพราะเวลาล่วงมานานมากแล้ว จริงๆ ก็ถึงเวลาให้โอกาสคนไทยได้เลือกผู้นำของตัวเองเสียที
มีอักษรย่อในใจบ้างหรือไม่?
นายกรณ์กล่าวต่อว่า เมื่อพร้อมคงไม่ต้องย่อ บอกชื่อเลย แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลา
ลงผู้ว่าฯกทม. พรรคกล้า มีนโยบายอะไรที่แตกต่างที่จะเสนอคนกทม.ไหม?
นายอรรถวิชช์ ระบุว่า พรรคกล้ามีการแบ่งลักษณะภารกิจงานที่โฟกัสอยู่ 5 เรื่อง อันดับแรกเป็นเรื่องคุณภาพชีวิต เรื่องที่สองเป็นเรื่องเศรษฐกิจ การเกษตร การศึกษา และสุดท้ายเรื่อง Soft Power คือ เศรษฐกิจสร้างสรรค์ แต่ละคนที่จะเป็นผู้สมัครพรรคกล้าจะต้องเลือกว่าตัวเองเป็นอะไรใน 5 เรื่องนี้ และทั้ง 5 เรื่องก็เป็นเรื่องที่เราคิดว่าจะช่วยผลักดันให้เกิดเป็นนโยบาย เพราะฉะนั้นคนที่มีดีเอ็นเอเดียวกันและเป็นนักปฏิบัติ คือ สิ่งที่เราต้องการ ความหลากหลายของผู้สมัคร ความหลากหลายของอาชีพได้หมด จะเป็นหมอก็ได้ ทนายความก็ได้ วิศวกรก็ได้ เกษตรกรก็ได้ เพราะกรุงเทพมหานครมีความหลากหลาย แต่ขอให้มีความชำนาญในเรื่องนั้น นี่คือสิ่งที่อยากเห็น ไม่งั้นจะกลายเป็นนักการเมืองอาชีพ เป็นอาชีพการเมือง ผมอยากเห็นคนมีของก่อนหน้าที่จะเข้าสู่บทบาททางการเมือง ความสนุกและความมันคือ พรรคเป็นเวที เราต้องการให้คนแบบนี้ขึ้นมาสู่การเมืองให้ได้ ผมคิดว่าการเมืองไทยเริ่มเปลี่ยนแล้ว เริ่มเห็นคนใหม่ๆ เข้าสู่การเมืองมากขึ้น คิดว่าพรรคกล้าน่าจะเป็นเวทีให้กับคนกลุ่มนี้ได้
ยาวมาก อยากอ่านต่อ ไปที่
https://www.thairath.co.th/news/politic/1931188
และทิ้งท้ายครับ ผมแนะนำจริงๆสำหรับใครที่ว่างวันนี้ หรือรอดูย้อนหลังก็ได้ครับ วันนี้รายการ Daily Dose คุณปลื้มแกเอากรณ์มาสัมภาษณ์ครับ