ปลัด อ.แม่ริม เผยตัวแทน "ฌอน บูรณะหิรัญ" ขอไกล่เกลี่ย ชี้เป็นทางออกดีที่สุด
ปลัดอำเภอแม่ริม เผยได้รับสัญญาณดีจากตัวแทน "ฌอน บูรณะหิรัญ" ขอเข้ามาไกล่เกลี่ยที่ศูนย์ดำรงธรรมอำเภอแม่ริม ย้ำ หากมาชี้แจงจะเป็นทางออกดีที่สุด
จากกรณี "ฌอน บูรณะหิรัญ" ไลฟ์โค้ชและนักพูดสร้างแรงบันดาลใจชื่อดัง ที่ตกเป็นข่าวความไม่โปร่งใสเรื่องเงินรับบริจาคช่วยอาสาสมัครดับไฟป่าดอยสุเทพ จ.เชียงใหม่ จนมีตัวแทนกลุ่มดับไฟป่าร้องศูนย์ดำรงธรรมแม่ริม จ.เชียงใหม่ ให้ตรวจสอบข้อเท็จจริง เพราะไม่มีหน่วยงานดับไฟป่าที่ไหนได้รับเงินช่วยเหลือจากนายฌอนเลย เรื่องที่เกิดขึ้นทางปลัดอำเภอแม่ริมได้ทำการตรวจสอบเส้นทางเงินและประสานไปทาง สภ.ปากเกร็ด รวมทั้งหาตัวบุคคลที่นายฌอนอ้างว่าได้ทำเรื่องรายงานผู้ใหญ่คนหนึ่งของเชียงใหม่รับทราบในเรื่องเงินบริจาคแล้ว
ต่อมา นายบุญญฤทธิ์ นิปวณิชย์ ปลัดอำเภอแม่ริม จ.เชียงใหม่ ได้เดินหน้าตรวจสอบเส้นทางการเงินในการเรี่ยไรรับบริจาคของนายฌอน อย่างละเอียด และดูช่องกฎหมายในการดำเนินการกับนายฌอน ซึ่งในเรื่องนี้มีชาวบ้านและอาสาดับไฟป่าดอยสุเทพ ได้พากันมาติดตามเรื่องและขอให้ทางปลัดแม่ริมทำความจริงให้ปรากฏโดยให้นำตัวในฌอนมาชี้แจงและชดใช้ความผิดให้ได้นั้น
ล่าสุด เมื่อเวลา 13.00 น.วันที่ 11 ก.ค.63 นายบุญญฤทธิ์ เปิดเผยว่า ขณะนี้มีการส่งสัญญาณที่ดีมาจากตัวแทนของนายฌอน บูรณะหิรัญ ว่าจะขอเข้ามาไกล่เกลี่ยในเรื่องที่เกิดขึ้นที่ศูนย์ดำรงธรรมอำเภอแม่ริม แต่ยังไม่สามารถบอกวันเวลาได้ แต่ก็ถือว่าเป็นเป็นสัญญาณที่ดีการเข้ามาพบก็พร้อมจะให้ความเป็นธรรมและหาทางออกที่ถูกต้องและสามารถตอบต่อสาธารณชนได้
หากเขายอมรับสังคมให้อภัย ก็ถือเป็นผลดีของเขาเป็นการบรรเทาโทษผิดไม่มาก หากเขารับสารภาพที่นี่ก็จบไปเลย เพราะเหตุเกิดที่เชียงใหม่จึงอยากให้เข้ามาไกล่เกลี่ยในกระบวนการของศูนย์ดำรงธรรมถือเป็นโอกาสที่ดีของนายฌอน
ส่วนเรื่องบัญชีการเรี่ยไรรับบริจาคของ นายฌอน บูรณะหิรัญ ในขั้นตอนนี้ยังพบบัญชีเดียวใช่หรือไม่นั้น นายบุญญฤทธิ์ ตอบว่าเห็นมีข่าวตามสื่อว่ามีถึง 3 บัญชี แต่ในส่วนของตนตรวจพบเพียงบัญชีเดียวอยู่ เป็นบัญชีที่รับเรี่ยไรบริจาคในการแก้ไขไฟป่าในเชียงใหม่ แต่ข่าวนำเงินไปซื้อบ้านที่หมู่บ้านหรูในเชียงใหม่นั้น ตนยังไม่ทราบ
แต่ในบัญชีที่พบว่าเงินในบัญชีของนายฌอน แต่แรกมีเพียง 9 หมื่นกว่าบาทเท่านั้น แต่เมื่อเปิดรับบริจาคแล้วเมื่อวันที่ 30 มี.ค.63 กลับมีเงินไปจ่ายบัตรเครดิต เมื่อวันที่ 3 เม.ย.63 ถึง 6 หมื่นบาท วันที่ 4 เม.ย.63 ก็จ่ายอีก 1 แสนบาท ตนสันนิษฐานว่า นายฌอน ไม่มีเงินเลย จึงได้ใช้แนวทางนี้แสดงว่าเงินของนายฌอนขาดบัญชีแล้ว เมื่อได้เงินมาก็จ่ายบัตรเครดิตของตัวเอง เพราะวันที่ 3 เม.ย.ยังไม่ได้ซื้ออะไรเลย แต่กลับเอาเงินไปใช้หนี้บัตรเครดิตได้อย่างไร นายฌอนต้องถูกตั้งคำถามนี้
เมื่อตรวจสอบอีกทีพบว่าเงินก้อนแรกออกวันที่ 3 เม.ย.จำนวน 6 หมื่น พออีกวันก็จ่ายอีก 5 หมื่น จำนวน 2 ครั้งเป็น 1 แสนบาทในวันที่ 4 เม.ย. และวันที่ 5 เม.ย.ก็จ่ายหนี้บัตรเครติดอีก 5 หมื่น 2 ครั้งเป็น 1 แสนบาท เท่ากับนายฌอน จ่ายเงินบัตรเครดิตไปทั้งสิ้น 2 แสน 6 หมื่นบาท ก็แสดงว่าเงินของนายฌอนมีปัญหาแล้ว เงินจำนวนนี้ไปจ่ายค่าบัตรเครดิตได้อย่างไร พอได้มานายฌอนจะต้องนำเงินไประดมซื้อของให้ตามเจตนารมณ์ของผู้บริจาคให้ช่วยในเรื่องดับไฟป่า แต่กลับนำไปชำระบัตรเครดิตของตัวเอง ถือว่าเป็นการหลอกเอาเงินประชาชนมา ตนสันนิษฐานไว้อย่างนี้
นายบุญญฤทธิ์ เปิดเผยต่อว่า ที่ตนยังไม่ได้ทำอะไรในตอนนี้ คือเรื่องแรก นายฌอน ยังไม่ยังมาไม่ชี้แจง และเรื่องที่สองนายฌอน บอกว่าได้ไปชี้แจงจากเจ้าหน้าที่ในจังหวัดเชียงใหม่ซึ่งเป็นหน่วยที่มีการตรวจสอบแล้ว แสดงว่านายฌอน อาจจะเคยเจอเจ้าหน้าที่คนนั้น แต่ตนไม่เคยเจอ ซึ่งนายฌอนประกาศต่อสาธารณชนว่าเขาได้พบผู้ใหญ่ในจังหวัดเชียงใหม่ที่มีหน้าที่ตรวจสอบบัญชีเมื่อวันที่ 2 ก.ค. และชี้แจงเขาไปแล้ว ตนเองก็ไม่รู้ว่าชี้แจงกับใคร ตนก็ต้องแสวงหา แต่หากนายฌอนไม่ได้ชี้แจงจริงเป็นการกล่าวอ้างจะเป็นความผิดด้วย
ในส่วนการแจ้งความเองเอาผิดกับ นายฌอน นั้น นายบุญญฤทธิ์ กล่าวว่า ตนสามารถทำได้เลย ในข้อหา พ.ร.บ.เรี่ยไร เป็นอำนาจของนายอำเภอที่มอบหมายให้ตน และความผิดอาญาอื่นเช่นการฉ้อโกงมหาชน เป็นความผิดอาญาแผ่นดิน เราเป็นพนักงานเมื่อตรวจสอบพบก็เสนอผู้บังคับบัญชาในการดำเนินการ แต่ที่ตนยังไม่เร่งทำเพราะให้โอกาสนายฌอน มาชี้แจงว่านำเงินไปช่วยอะไรช่วยใครหน่วยงานไหน ซึ่งเรื่องมันเกิดที่เชียงใหม่ และที่สำคัญที่สุด นายฌอนใช้คำก่อนที่จะมีการเรี่ยไรรับบริจาคว่า "คนนับล้านกำลังจะตาย" เป็นคำพูดที่น่ากลัวพูดให้ตกใจ คนก็สงสารโอนเงินกันถล่มทลาย
ผู้สื่อข่าวถามถึงช่องทางออกของ นายฌอน ที่ดีที่สุดในเวลานี้มีทางไหนบ้างโดยเฉพาะทราบว่ามีการติดต่อผู้ใหญ่ในกรุงเทพฯ และมีการรวบรวมเงินทั้งสิ้นกว่า 1.3 ล้านบาท จะนำกลับมาคืนให้กับชาวเชียงใหม่ เป็นทางออกของนายฌอนได้หรือไม่ นายบุญญฤทธิ์ ตอบว่า เงินทั้งหมดเป็นเงินของประชาชนเพื่อช่วยเจ้าหน้าที่ดับไฟป่าไม่ใช่เงินของนายฌอน ต้องบอกไปเลยว่าถึงอย่างไงผิด ก็ต้องเอาเงินคืนมาอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าแจ้งความคดีอาญาแล้วเงินก็ไม่ต้องคืน งั้นก็ทำกันได้ 300-400 ล้านก็ยอมติดคุกมันไม่ได้ เงินก็ต้องมาคืนอยู่แล้ว
ถ้านายฌอน นำเงินมาคืนมาชี้แจงก็เป็นเหตุแห่งการบรรเทาโทษในคดีอาญาไป ซึ่งเรื่องที่มีตัวแทนของนายฌอน จะนำตัวนายฌอนมาพบกับตนที่ศูนย์ดำรงธรรม เพื่อไกล่เกลี่ยในรูปคณะกรรมการมีนายอำเภอแม่ริม เป็นผู้พิจารณา ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีที่สุดผิดก็ให้อภัยได้ อาจจะโดนแค่เรี่ยไรโดยไม่มีใบอนุญาตมีโทษปรับ 500 บาทและจำคุก 1 เดือน และขอให้คนไทยให้อภัย ซึ่งจะเป็นผลดีต่อเขามากเป็นเหตุบรรเทาโทษไปได้มาก
แต่หากนายฌอนไม่มาชี้แจงก็จะเข้าข่ายฉ้อโกงมหาชนเพราะเอาเงินเขามา อัตราโทษสูง ร่วมทั้ง พ.ร.บ.คอมฯหลอกลวงเอาเงินไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ หากศาลโทษต่างกรรมต่างวาระก็น่าจะโดนเป็นพันปีอย่างที่ทนายรณรงค์เขาว่ามา ดังนั้นขอให้นายฌอนมาพบ ที่ศูนย์ดำรงธรรมแม่ริม ซึ่งเชียงใหม่ ถือเป็นต้นทางที่เกิดเรื่อง หากต้นทางเขายอมก็จะส่งผลมาก เพราะเรื่องนี้จะต้องรวมเป็นสำนวนเดียวกันอยู่แล้ว ทั้งที่ อ.แม่ริม และ สภ.ปากเกร็ด ขอบอกว่าจะมีผลดีกับนายฌอนเยอะมากหากมาพบตนที่ศูนย์ดำรงธรรมแม่ริม.
เครดิต:
https://www.thairath.co.th/news/society/1887121