อาร์เซน่อล เจอกับ เลสเตอร์ ซิตี้ ในเกมนัดนี้ โดยทีมของ มิเกล อาร์เตต้า เอาชนะมา 4 เกมติดต่อกันรวมทุกรายการ ยิงได้ 10 ประตู และเสียเพียงประตูเดียวเท่านั้น ส่วน เลสเตอร์ เน่าต่อเนื่อง เพราะชนะได้เพียงแค่เกมเดียวจาก 5 เกมหลังสุด แถมยังตกรอบ เอฟเอ คัพ อีกด้วย
ทีม “ปืนใหญ่” ต้องการ 3 คะแนนเพื่อเข้าสู่พื้นที่ ยูโรป้า ลีก ให้ได้ และภารกิจของพวกเขาดำเนินไปได้ด้วยดี เพราะได้ประตูออกนำตั้งแต่ครึ่งแรกจากประตูของ ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมยอง แต่จากการโดนใบแดงของ เอ็ดดี้ เอ็นเคเทียห์ ทำให้ อาร์เซน่อล โดนตีเสมอจนได้ในช่วงท้ายเกม
วันนี้เราจะมาวิเคราะห์แทคติคที่ทั้ง 2 ทีมใช้ในการเผชิญหน้ากัน
ไลน์อัพ
อาร์เตต้า จัดทีมมาเล่นในระบบ 3-4-3 อีกครั้ง ระบบการเล่นดังกล่าวเป็นระบบที่ อาร์เตต้า ใช้ในช่วง 3 เกมที่ผ่านมา และเก็บชัยชนะได้ทั้งหมด กองหลัง 3 คนที่ออกสตาร์ท คือ ชโคดราน มุสตาฟี่, ดาวิด ลุยซ์ และ เซอัด โคลาซินัค แดนกลางเป็น ดานี่ เซบายอส จับคู่กับ กรานิต ชาก้า หน้าเป้าเป็น อเล็กซองดร์ ลากาแซตต์ โดย บูกาโย่ ซาก้า กับ โอบาเมยอง เล่นด้านข้าง ส่วนสำรองที่ถูกส่งลงมาในสนามมีทั้ง ลูคัส ตอร์เรย์ร่า, เอนส์ลีย์ เมธแลนด์-ไนล์ส, โจ วิลล็อค รวมถึง เอ็นเคเทียห์
ฝั่งตรงข้ามอย่าง เลสเตอร์ ทาง เบรนด็อน ร็อดเจอร์ส จัดระบบเดียวกัน คือ 3-4-3 ซึ่งจากสถิติ เลสเตอร์ เคยเล่นระบบนี้มาบ้างแล้วในเกมลีก โดยใช้เวลาเล่นทั้งหมด 366 นาที แดนหลังใช้เป็น จอนนี่ อีแวนส์, คักลาร์ โซยุนคูร์ และ ไรอัน เบนเน็ตต์ แนวรุกใช้ เจมี่ วาร์ดี้ พร้อมกับ อโยเซ่ เปเรซ และ เคเลชี่ อิเฮียนาโช่ เล่นเกมด้านข้าง
เกมเพรสซิ่งที่ก้าวร้าวของ เลสเตอร์
ถือว่าเป็นปกติของ เลสเตอร์ อยู่แล้วสำหรับการเล่นเกมเพรสซิ่งแบบ้าบิ่น เช่นเดียวกับครั้งนี้ ร็อดเจอร์ส สั่งให้ลูกทีมบีบตรงกลางให้สูง ด้วยการเล่นในแผน 5-2-3 การเล่นแบบนี้ทำให้ 3 กองหน้าของ เลสเตอร์ สามารถตามประกบ 3 กองหลังของ อาร์เซน่อล ได้เลย
ขยับมาตรงกลางทั้ง ยูริ เตเลมองส์ กับ วิลเฟร็ด เอ็นดิดี้ จะยืนประกบ เซบายอส และ ชาก้า ส่วนวิงแบ็คของ อาร์เซน่อล ทาง เลสเตอร์ จะปล่อยให้เป็นตัวฟรีในด่านแรกของการเพรสซิ่ง
อย่างไรก็ตาม หาก อาร์เซน่อล พยายามขึ้นเกมจากริมเส้น วิงแบ็คของ เลสเตอร์ จะดันขึ้นมาเพรสซิ่งทันที และจะเป็นเพรสซิ่งที่รุนแรงมากขึ้น ในขณะเดียวกัน เลสเตอร์ จะเปลี่ยนการเล่นเป็นประกบตัวต่อตัวทันที การเล่นของ เลสเตอร์ ทำให้วิงแบ็คของ อาร์เซน่อล มีเวลาคิดน้อยลง อีกทั้งยังมีพื้นที่น้อยกว่าเดิมอีกด้วย สำคัญที่สุดคือ วิงแบ็ค เลสเตอร์ ต้องวิ่งเข้าหาวิงแบ็ค อาร์เซน่อล ให้ได้ใกล้มากที่สุดก่อนที่จะมีการรับบอล
เลสเตอร์ จะเล็ง เบเยริน ไว้เป็นพิเศษ ซึ่งเดี๋ยวจะเราจะดูกันว่าทำไม เลสเตอร์ ถึงให้ความระมัดระวัง เบเยริน เป็นพิเศษ
อาร์เซน่อล แก้เกมเพรสซิ่งได้อย่างยอดเยี่ยม
อาร์เตต้า วางระบบมาน่าสนใจอย่างมากกับการทำให้ทีมของตัวเองหลุดพ้นจากการโดนบีบเพรสซิ่ง สเตปแรก คือ เขาเปลี่ยนการเล่นแบบหลัง 3 (หรือหลัง 5) มาเล่นหลัง 4 เป็นครั้งคราว ในสเตปนี้ โคลาซินัค ที่ในไลน์อัพบอกว่าเป็นเซ็นเตอร์ฝั่งซ้าย จะลงมาทำหน้าที่เป็นแบ็กซ้าย โดยที่เขาจะยืนในไลน์เดียวกับ เบเยริน
การเล่นของ โคลาซินัค ทำให้ คีแรน เทียร์นี่ย์ สามารถวิ่งขึ้นหน้าได้ และจะสามารถต่อบอลกับแนวรุกได้อีกด้วย นี้เปรียบเหมือนการยิงปืนนัดเดียวได้นก 2 ตัว เพราะกาาเล่นของ เทียร์นี่ย์ ยังทำให้ เจมส์ จัสติน ไม่กล้าออกจากตำแหน่ง ผู้เล่นในเกมรุกของ อาร์เซน่อล ก็มีเพิ่มขึ้นอีกต่างหาก
การออกจากตำแหน่งของ โคลาซินัค และ เทียร์นี่ย์ ทำให้ระบบการเล่นของ อาร์เซน่อล เปลี่ยนเป็น 4-2-4 ในจังหวะที่ครองบอล อาร์เซน่อล จะมีผู้เล่นถึง 6 คนในจังหวะเซตเกม ส่วน เลสเตอร์ ในด่านแรกของการเซ็ตเกม จะมีผู้เล่นแค่ 5 คนเท่านั้น นี้เป็นกุญแจสำคัญที่ อาร์เซน่อล สามารถครองบอลได้
เมื่อ อาร์เซน่อล หลุดจากการเพรสซิ่งของ เลสเตอร์ จะมีการพยายามเล่นบอลไดเรกต์มากขึ้น นี้เป็นการบ่งบอกว่า อาร์เซน่อล ไม่ได้ใช้กองกลางขึ้นเกมมากเท่าไหร่นัก เพราะสถิติบอกว่า ชาก้า จ่ายบอลในเกมนี้แค่ 32 ครั้ง ส่วน เซบายอส 31 ครั้ง
ลากาแซตต์ คือเป้าหลัก
คนที่ดูจะตอบโจทย์กับระบบของ อาร์เตต้า มากที่สุดคือ ลากาแซตต์ เขาจะทำหน้าที่รับบอลทั้งบอลแนวตรง และแทยงมุมจากด้านหลัง ซึ่งปกติเขาจะลงต่ำเพื่อรับบอล
อาร์เตต้า เลือกใช้ ลากาแซตต์ ได้ถูกวัตถุประสงค์ เพราะเขามีสภาพร่างกายที่แข็งแกร่ง ลากาแซตต์ สามารถเก็บบอลได้ และเมื่อใดก็ตามที่ ลากาแซตต์ ได้บอล และได้หันหน้ามาเผชิญกับกองหลัง เขาจะมีตัวเลือกในการจ่ายบอล อีกทั้งยังสามารถจ่ายบอลไปยังที่ว่างให้กับตัวรุกรายอื่น ๆ ของทีมได้ ซึ่งการจ่ายบอลทะลุช่อง ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมากของ อาร์เซน่อล เพราะแนวรุกของพวกเขาอย่าง โอบาเมยอง รวมถึง ซาก้า ล้วนแล้วแต่มีความเร็วทั้งหมด
ในกรณีที่จ่ายบอลแนวตรงให้ ลากาแซตต์ แต่ถูกบีบให้ต้งอจ่ายคืนหลัง อาร์เซน่อล ก็ยังมีตัวเลือกในการผ่านบอลทแยงมุม ด้วยการโยนข้ามฟากไปอีกข้าง จากภาพนี้ จะเห็น ลากาแซตต์ ลงต่ำมาเพื่อรับบอล ก่อนจะคืนกลับไปให้เพื่อนอีกครั้ง ซึ่งนี้ทำให้เพื่อนสามารถเลือกจ่ายบอลข้ามฟากได้
การเล่นบอลแทยงมุมของ เลสเตอร์ (ส่วนที่หนึ่ง)
แม้ว่า อาร์เซน่อล จะขึ้นนำ แต่สิ่งสำคัญคือพวกเขาไม่ต้องการถอยไปรับลึก และไม่อยากให้ เลสเตอร์ ได้ทำเกมบุกแบบถนัด อาร์เซน่อล วิ่งบีบเพรสซิ่งมากขึ้น ในจังหวะเพรส อาร์เซน่อล จะวิ่งไล่กันในระบบ 5-1-3-1 ไอเดียของ อาร์เตต้า ในการเล่นแบบนี้ เหมือนกับไอเดียของ ร็อดเจอร์ส คือต้องการใช้นักเตะในเกมรุกตามประกบกองหลังทั้ง 3 คน เพื่อขัดขวางการเซตเกมจากแดนหลัง
อย่างไรก็ตาม การโต้ตอบจาก เลสเตอร์ ก็ถือว่าน่าสนใจเหมือนกัน ร็อดเจอร์ส จะให้ อีแวนส์ ยืนสูงกว่าเซ็นเตอร์ตัวอื่น ๆ โดยในจังหวะเตะบอลจากเส้นประตู อีแวนส์ จะไปยืนในไลน์เดียวกับ เอ็นดิดี้ การให้ อีแวนส์ ยืนแบบนี้ เพื่อให้ ลากาแซตต์ อยู่ไกลจากจังหวะเซตเกมให้ได้มากที่สุด รวมถึงยังทำให้เกมเพรสซิ่งของ อาร์เซน่อล ลดดีกรีความเดือดลงมาด้วย ส่งผลทำให้ทั้ง โซยุนคู กับ เบนเน็ตต์ มีเวลาคิดมากขึ้นว่าจะทำอะไร
จุดที่น่าสนใจอีก 1 อย่าง คือ ร็อดเจอร์ส สั่งให้เซ็นเตอร์ตัวซ้าย และขวา ยืนติดริมเส้น นี้ทำให้เซ็นเตอร์ตัวข้างทั้ง 2 คน สามารถต่อบอลกับวิงแบ็คได้สะดวก สบายมากขึ้น นี้สำคัญต่อแทคติคของ เลสเตอร์ เพราะพวกเขาสามารถจ่ายบอลแทยงมุมได้จากการเล่นในลักษณะนี้
การจ่ายบอลแทยงมุมส่วนใหญ่ของ เลสเตอร์ มาจากเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ กับวิงแบ็คเป็นหลัก พวกเขาจะจ่ายบอลลักษณะนี้ไปตรงพื้นที่ระหว่างไลน์ได้ โดยมีนักเตะตัวรุกลงมารับบอล ซึ่งจะทำให้ เลสเตอร์ สามารถลำเลียงบอลไปสู่ริมเส้นอีกข้างหนึ่งที่มีตัวรอเติมอยู่แล้วได้โดยทันที
การเล่นบอลแทยงมุมของ เลสเตอร์ (ส่วนที่ 2)
อีก 1 ยุทธวิธีในการจ่ายบอลแทยงมุมของ เลสเตอร์ คือการใช้ 1 ในมิดฟิลด์ตัวกลางของพวกเขา 1 คน ถ่างออกไปรับบอลริมเส้นจากเซ็นเตอร์ การออกไปรับบอลบริเวณริมเส้นของกองกลาง เลสเตอร์ ส่งผลต่อการเคลื่อนที่ในตำแหน่งอื่น ๆ ด้วย โดยเฉพาะในตำแหน่งวิงแบ็คของ เลสเตอร์ ที่สามารถดันขึ้นหน้าได้เลย ส่วนปีกก็สามารถหุบเข้ามาเล่นด้านในได้ด้วยเช่นกันเพื่อรอรับบอลทแยงมุม
ในบางช่วง เลสเตอร์ ก็เน้นเล่นบอลไดเรกต์มากขึ้น โดยไม่สนใจการจ่ายบอลแทยงมุม และตัวที่เล่นบริเวณริมเส้นเลย การจ่ายบอลในแนวตรงจึุงถูกส่งต่อให้กับตัวรุกที่อยู่ด้านในได้ด้วย
ทั้งนี้ อาร์เซน่อล ก็รับมือได้ยอดเยี่ยมเช่นกัน อาร์เซน่อล จะให้กองหลังของพวกเขาตามประกบตัวรุกของ เลสเตอร์ ที่ลงไปรับบอล นี้เป็นเหตุผลทำให้ตัวรุกของ เลสเตอร์ ไม่ได้เล่นราบรื่นเลย แทคติคในการเล่นเกมรับที่ อาร์เตต้า วางเอาไว้ จึงถือว่าประสบความสำเร็จ
จังหวะโต้กลับของ เลสเตอร์
เลสเตอร์ เป็นทีมได้ชื่อว่ามีเกมโต้กลับที่น่ากลัวที่สุดของ พรีเมียร์ ลีก เพราะพวกเขาเป็นทีมที่ได้ประตูจากจังหวะโต้กลับเยอะที่สุดเป็นอันดับ 2 โดยพวกเขาทำได้ 8 ประตู ส่วน ลิเวอร์พูล ทำได้ 9 ประตู เกมนี้ทำให้เราได้เห็นความครีเอทีฟใหม่ ๆ ของ ร็อดเจอร์ส อีกครั้ง
สเตปแรกที่ เลสเตอร์ ใช้ คือการถ่างกองหน้าออกจากตำแหน่ง การเล่นแบบนี้ของ เลสเตอร์ ได้ผลมากหากพวกเขาแย่งบอลได้ในแดนของ อาร์เซน่อล ซึ่งหลังจากกองกลางของ เลสเตอร์ แย่งบอลกลับมาได้ 1 ในตัวรุกของ เลสเตอร์ จะฉีกตัวเองออกไปด้านข้างทันทีเพื่อรอรับบอล
การวิ่งฉีกออกไปด้านข้างของกองหน้า เลสเตอร์ ทำให้กองหลัง อาร์เซน่อล เจอกับความยากลำบากในการตามประกบ บอลส่วนใหญ่จะเป็น วาร์ดี้ ที่ได้เล่น การออกไปเล่นด้านข้างของ วาร์ดี้ ทำให้เขาสามารถโยนบอลไปเสาไกลได้ โดยมีตัววิ่งเข้ามาในกรอบเขตโทษด้วยเช่นกัน จบเกมนี้ เราจึงได้เห็นสถิติของ วาร์ดี้ ว่าเขาโยนบอลเข้าเป้าถึง 67 เปอร์เซนต์
อีก 1 วิธีการในการเล่นเกมโต้กลับของ เลสเตอร์ คือ เมื่อใดก็ตามที่ เลสเตอร์ แย่งบอลได้ในแดนของตัวเอง เลสเตอร์ จะอาศัยการวางบอลทะลุช่องไปที่ว่างด้านหลังโดยทันที น่าเสียดายที่ ผู้รักษาประตูของ อาร์เซน่อล รออ่านเกม และพร้อมออกมาอยู่ตลอด
หลังจากใบแดง
อาร์เตต้า ตัดสินใจถอด ลากาแซตต์ ออกจากสนามในช่วง 20 นาทีสุดท้าย แต่คนที่ลงไปแทนอย่าง เอ็นเคเทียห์ กลับโดนใบแดงด้วยระยะเวลาไม่นานหลังจากลงเล่น เมื่อเหลือ 10 คน อาร์เตต้า จึงตัดสินใจให้ทีมถอยลงมาตั้งรับลึกในระบบ 5-3-1 เป็นเหตุให้ อาร์เซน่อล มีเกมแดนกลางที่แน่นหนามากขึ้น
เมื่อตัวได้เปรียบ เลสเตอร์ จึงมีการปรับระบบมาเป็น 2-3-5 ซึ่ง 2 ฟูลแบ็คของ เลสเตอร์ จะมีหน้าที่ต่างกัน อย่างเช่นในรายของ จัสติน ถูกสั่งให้เข้าไปเล่นด้านในร่วมกับ เอ็นดิดี้ และ เตเลมองส์ ส่วน ฟุคช์ ได้ยืนติดริมเส้นทางซ้าย
เลสเตอร์ พยายามเหลือพื้นที่ด้านข้างเอาไว้ โดยเฉพาะทางขวา เลสเตอร์ ใช้ เดนิส ปราท กับ เกรย์ ในการช่วยเหลือ จัสติน กับ อโยเซ่ การเล่นแบบทิ้งพื้นที่ด้านข้างฝั่งใดฝั่งหนึ่งเอาไว้ เพื่อให้มี 1 ตัวที่ยืนฟรี ซึ่งเป็นตัวที่คอยเปิดบอลเข้าไปลุ้นในกรอบเขตโทษ การเล่นแบบนี้ของ เลสเตอร์ นำมาซึ่งประตูตีเสมอ
สรุป
เกมนี้ถือว่าเป็นการต่อสู้ที่น่าชื่นชมของทั้ง 2 ทีม ไม่มีใครคาดคิดว่าทั้ง ร็อดเจอร์ส และ อาร์เตต้า จะมาเล่นในระบบ 3-4-3 เหมือนกัน ทั้ง 2 คนวางแผนมาได้ดีอย่างมาก มันเป็นรูปแบบการเล่นที่ไม่มีใครคาดคิด แนวทางในการสร้างสรรค์เกมก็มีความแปลกใหม่ และยังมีการปรับเกมเป็นระยะ ๆ อีกด้วย
บางคนอาจบอกว่า อาร์เตต้า โชคไม่ดี แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในสนามมันบ่งบอกไปในทางตรงกันข้าม การทำทีมของ อาร์เตต้า ยังคงถูกครหาต่อไป เพราะเจ้าตัวตัดสินใจถอดนักเตะที่ทำผลงานได้ดีที่สุดออกจากสนาม ส่วน ร็อดเจอร์ส ทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม 1 ในการเปลี่ยนตัวของเขาทำให้ เลสเตอร์ ได้คะแนนที่สำคัญอย่างมาก
--------------------------
ปล. ถ้าผิดพลาดประการใด หรือมองในมุมที่ไม่เหมือนกัน อันนี้ต้องขออภัยด้วยนะครับ อันนี้เป็นการวิเคราะห์ที่ผมแปลมาอีกที ซึ่งถือว่าน่าสนใจดีครับสำหรับแทคติคของ อาร์เตต้า