บางอย่างนี่มันปุบปับจริงๆนะครับ
สวัสดีครับ วันนี้พอดีมีเหตุเกิดขึ้นกับพ่อผมนิดหน่อย เลยอยากพิมพ์อะไรยาวๆ แต่ไม่รู้จะพิมพ์ที่ไหนดี ทวิตเตอร์ก็พิมพ์ยาวๆยาก เลยขอมาพิมพ์ในนี้แล้วกัน
ผมเรียนอยู่กรุงเทพครับ เลยไม่ค่อยได้เจอพ่อเท่าไหร่ กลับบ้านมาก็ช่วงปิดเทอม แต่ช่วงนี้ติดโควิด เลยเลื่อนเปิดเทอมแล้วอยู่บ้านนานหน่อย จนวันที่ 8 นี้จะเปิดเทอมแล้ว
ตอนผมกลับบ้านมาใหม่ๆ หลังจากพ่อไปหาหมอผมเห็นยาบนโต๊ะพ่อตัวนึงเขียนว่า hydroxyurea ข้างหลังมีวงเล็บว่า คีโม ตามสไตล์เด็กขี้สงสัยผมก็เอาชื่อยาไปเสิร์ช ก็เห็นว่าโดยมากใช้รักษามะเร็ง ส่วนใหญ่คนใช้ยานี้ คืออยู่ได้ไม่เกิน 5 ปี ผมก็ช็อคไปหน่อยๆ แต่พยายามทำตัวปกติ ไม่อยากดูแลพ่อเป็นพิเศษ เดี๋ยวแกจะผิดสังเกตเอา กลัวแกน้อยใจว่าเออ เนี่ยะ ที่ผมดูแลพิเศษเพราะรู้ว่าแกจะตายแล้วหรือเปล่า กลัวเขาจะคิดไปแบบนั้น เลยข่มๆทำตัวปกติ แกล้งเป็นไม่รู้ไม่เห็นไป พร้อมกับตีโพยตีพายว่าแกน่าจะเป็นมะเร็งไปแล้ว
ผมเลยไปถามแม่ว่าพ่อเป็นมะเร็งเหรอ แม่ก็บอกไม่รู้เหมือนกัน ไปถามพ่อดู
แน่นอนครับ พ่อผมเป็นอะไรไม่เคยบอกลูกเลย ขนาดตอนผมเรียนอยู่พ่อท้องเสียเข้ารพ คนที่บอกผมไม่ใช่พ่อ แต่เป็นป้า รู้อีกทีคือพ่อนอนอยู่รพ สามวันแล้ว เหมือนแกไม่อยากให้ลูกเครียด อยากให้ลูกเต็มที่กับเรื่องเรียน เรื่องอื่นให้เป็นหน้าที่ของแกเอง
ผมก็พยายามกดใจ ทำเป็นลืมๆเรื่องนี้ไป ทำตัวปกติ แล้วก็ภาวนาว่า อย่าให้มันใช่มะเร็งเลย
จนกระทั่งเมื่อวาน วันเกิดพ่อผมครับ ครบ 57 ปีพอดี
ผมกับน้องก็ลงเงินกันคนละครึ่ง ซื้อของขวัญให้พ่อเป็นกล้องติดรถยนต์
ตื่นเช้ามาผมก็เอากล่องของขวัญไปวางไว้ให้พ่อบนโต๊ะแก
ผมนอนต่อ ตื่นมาอีกทีบ่ายโมง ก็เห็นยังไม่แกะ เลยเดินไปดูข้างนอก เห็นแกเก็บโรงรถ จัดบ้าน ตัดหญ้าอยู่ ผมก็เดินไปถาม พ่อ ไม่แกะของขวัญเหรอ แกก็บอกยังไม่เห็นเลย ยังไม่ได้เข้าบ้าน
แกก็เก็บบ้านของแกไป ผมกับน้องก็ไปช่วยเก็บด้วย
เสร็จบ่ายสาม แม่ผมกลับบ้านพอดีอาทิตย์นี้(ปกติพ่ออยู่บ้านคนเดียว ส่วนแม่ไปดูแล คุณตาที่เป็นผู้ป่วยติดเตียงอีกจังหวัดนึงครับ นานๆจะกลับบ้านที)
แกก็ถ่ายรูปของขวัญที่ผมกับน้องให้ ลงเฟสไปตามปกติของแก
ก็ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตาในรอบนานๆที
วันเวลาก็ผ่านไปแบบเหมือนวันปกติวันนึง แต่พิเศษหน่อยตรงเป็นวันเกิดพ่อผม
ตกดึก ห้าทุ่มกว่า อยู่ดีๆแม่ผมก็เรียกพ่อผมเสียงดังลั่นบ้าน ตะโกนให้ผมไปดู แว้บแรกผมก็นึกว่าพ่อกับแม่คงทะเลาะกันอีกแล้ว
แต่เปิดประตูเข้าไปผมตกใจเลย พ่อนอนหมดสติ ผมรีบถอยรถออกมา แบกพ่อขึ้น พาไปรพ
โชคดีว่าแถวบ้านผม มี รพประจำอำเภอห่างไปแค่ 300 เมตร เพราะฉะนั้นแปปเดียวก็ถึงมือหมอ
แว้บแรกที่ผมคิดคือ เส้นเลือดในสมองพ่อแตกแหงเลย เหมือนเคยอ่านมา มีเวลาแค่ห้านาที ไม่งั้นพ่อได้นอนยาวตลอดชีวิตแน่ แต่พอไปถึงรพ สักพักพ่อก็ได้สติ พูดคุยรู้เรื่องประมาณนึง ผมก็โล่งใจไป คิดว่าคงไม่มีอะไร น่าจะเพราะทำงานหนักแล้วพักผ่อนน้อยเฉยๆ แม่กับน้องก็เฝ้าพ่อไป ผมกลับมาเฝ้าบ้าน
สักพักตีสาม แม่โทรมา บอกพ่อช็อค หรืออะไรสักอย่าง สุดท้ายใส่ท่่อช่วยหายใจมั้ง ต้องเอ็กซ์เรย์สมอง แล้วก็ส่งตัวไป รพ ประจำจังหวัดคืนนั้นเลย เค้าให้ญาติติดรถไปได้คนเดียว แม่เลยบอกให้ไปรับน้องกลับมาที่บ้าน
คืนนั้นผมกับน้องก็รออยู่บ้าน กะว่าเช้าค่อยไป
ตีห้า แม่โทรมาบอกว่า พ่อเส้นเลือดในสมองแตกใต้เยื่อหุ้มสมอง ต้องส่งตัวไป รพ.มอ.หาดใหญ่ ผมเหวอเลย แบบเชี่ย จริงเหรอวะ ช็อคๆทำไรไม่ถูก แม่บอกว่ารอผลเลือดอยู่ เดี๋ยวเขาจะส่งตัวไป
แล้วป้าก็โทรมาบอกว่าเดี๋ยวจะเหมารถตู้ไปหาดใหญ่ ไม่ให้ผมขับรถไปเอง เพราะไม่อยากเป็นห่วงผมอีกคน (ผมยังไม่เคยขับออกตจว.เกิน200โลคนเดียวเลย)
สรุปเจ็ดโมงวันนี้ พี่น้องพ่อผม ไปกันหมด น้องสาวผมด้วย ผมเลยบอกว่าเดี๋ยวจะนั่งรถโดยสารตามไปทีหลัง
ขอเคลียร์บ้านก่อน ทั้งเอาแมวไปฝากหมอ(แมวพึ่งโดนงูกัดมา ต้องเอาไปล้างแผลทุกวัน ยังไม่หายดี) เดี๋ยวกลัวว่า นอกจากพ่อป่วย แมวมาตาย/หาย อีก ผมคงบ้าพอดี
สุดท้ายพ่อได้ผ่าตอน 1734 ครับ ออกจากห้องผ่าตัดเมื่อกี้ ห้าทุ่มกว่าๆ หมอก็ออกมาบอกว่า ตอนผ่าเส้นเลือดมันแตกซ้ำ หมอเลยรีบหนีบไว้ แต่ไม่รู้จะมีผลอะไรรึเปล่า ตอนนี้ก็รอดูว่าจะฟื้นมั้ย มีผลข้างเคียงอะไรหรือเปล่า
ตอนนี้แม่กับน้องผมก็กลับที่พักแล้ว พยาบาลบอกว่า เดี๋ยวถ้าฟื้นแล้วจะโทรมาแจ้งอีกที
หลังจากนี้ถ้าพ่อฟื้น คงต้องมาวางแผนอีก ว่าจะเอายังไง จะพาพ่อไปดูแลที่สุราษไหม เพราะถ้าฟื้น ก็คงแน่นอนที่ต้องกายภาพบำบัด กว่าจะเดินเหินได้เหมือนเดิม ไม่ใช่ง่ายๆ ไหนจะแมวอีก
หรือแม่จะกลับมาบ้าน มาดูแลพ่อที่บ้าน ก็ต้องทำเรื่องย้ายโรงเรียนกลับมาอีก ส่วนตากับยายก็ให้พี่น้องแม่คนอื่นดูแลไป(ที่แม่ย้ายไปสุราษไปดูแลตายาย ก็เพราะพี่น้องคนอื่นดูแลไม่ดี ไม่ได้ดั่งใจแกเนี่ยะแหละครับ ล่าสุดเดือนก่อน ตาก็พึ่งตัดขาไป) แถมรายได้จากฝั่งพ่อผมก็คงหายไปอีกเป็นหมื่น ผมกับน้องที่ทำหน้าที่เป็นตัวดูดเงินอย่างเดียว ก็คงต้องเบาลงหน่อย ยังดีหน่อยว่าปีนี้ค่าเทอมผมถูก กับถ้าผมไม่พลาดผมก็เรียนจบปีหน้าแล้ว
คิดแล้วเหนื่อยแทนทั้งแม่ทั้งพ่อทั้งน้องจริงๆ เหนื่อยแทนตัวเองด้วย กลัวจะป่วยจิตกันทั้งบ้าน
ผมเองที่เป็น MDD อยู่ช่วงนี้ก็คงต้องพยายามมองบวก ดูแลตัวเองหน่อย ไม่อยากเป็นภาระเพิ่มให้คนที่บ้านแล้ว
พ่อผมหลังจากนี้ถ้าไม่ตายก็น่าจะไม่รอดจาก Post-stroke depression แน่นอน เพราะปกติแกเป็นคน Active มากๆ มีอะไรทำตลอด เช้าเข้าสวน เย็นขายไอติม ไหนจะเป็นหัวหน้าสมาคมอะไรของเพื่อนแกอีก ดำเนินการนั่นนี่ สารพัด มาเดินเหินไม่ได้แบบเดิมคงขัดใจแกแย่
แม่ผมคงเหนื่อยแย่ ดูแลทั้งลูกทั้งสามี ทั้งพ่อแม่ ห้าคน หัวคงหมุนเป็นลูกข่าง
พูดแล้วก็รู้สึกแย่นะครับ ผมซิ่วมาปีนึง แถมหลังจากซิ่วมาก็เรียนไม่จบสี่ปีอีก พ่อแกขอให้ลูกเรียนจบอย่างเดียว แกก็รู้สึกว่าชีวิตแกประสบความสำเร็จไป 90%แล้ว ถ้าผมจบตั้งแต่ปีก่อน ไม่ขี้เกียจ ไม่บ้า ทุกวันนี้พ่อคงสบายใจไปเปราะนึง แต่กลายเป็นว่าทุกวันนี้ก็ยังไม่จบ กลัวแกจะตายก่อนจริงๆ ตอนนี้ผมยังคิดอยู่เลยว่าจะไปหาพ่อดีมั้ย ผมกลัว ผมทำใจไม่ได้ กลัวรับสภาพพ่อไม่ได้ ผมอยากให้มันเป็นแค่ฝัน ทั้งๆที่ก็รู้อยู่เต็มอกว่ามันจริง
ที่พิมพ์ยาวๆนี่ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมแค่อยากบอกว่า จะทำอะไรก็ทำเถอะ ไม่รู้จะมีพรุ่งนี้กับเรา หรือกับใครอีกกี่วัน ถ้าทำแล้วไม่ผิดกฎหมาย ไม่ใช่สิ่งไม่ดี ก็ทำเถอะครับ บางอย่างมันไวมากจริงๆ
ตอนเช้าเป็นวันเกิด ตอนค่ำอาจจะเป็นวันตายก็ได้ใครจะไปรู้
ตรรกะผมเพี้ยนๆหน่อย พิมพ์วกไปวนมาขออภัยครับ
ขอบคุณที่รับฟังครับ
____________________________________________________________
Update :
07072020 :
http://www.soccersuck.com/boards/topic/1898625/4#43035177
07132020 :
http://www.soccersuck.com/boards/topic/1898625/5#43078263
"The worst part of having a mental illness is people expect you to behave as if you don't."
--
youtube.com/watch?v=wD3NSzYtsMc
มือใหม่หัดเล่นบอร์ด ผิดพลาดอย่างไรขออภัยด้วยครับ