จากแนวคิดเรื่อง THAIFLIX ทำไมดูมีปัญหากันจัง ?
บอกตรงๆ ไม่ได้ตามข่าว เพิ่งเปิดมาเจอใน ss นี่แหละ เลยอ่าน เหมือนหลายๆความเห็นดูจะแขวะกันซ่ะเยอะ
ซึ่งไม่แน่ใจว่าได้ลองเข้าไปอ่านแนวคิดหรือยัง
ผมเห็นลิงค์ข่าวยังกดเข้าไปอ่านเลยว่ามันยังไง
พอไปอ่านแล้วมันก็เก็ต
คือมันไม่ได้ทำมาชนกับ Netflix แต่เราจะทำระบบ สตรีมมิ่ง ของเราเอง เอามาชนในภูมิภาค
ทีนี้ผมลองเอาข้อมูลที่หาได้ทั่วๆไปเลย เอามาอธิบายว่ามันน่าสนใจอย่างไร กับแนวความคิดนี้
ประการแรก ทราบไหมครับว่าในปัจจุบันนี้ เพื่อนบ้านเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศลาว และกลุ่ม CMVT ดูละครจากไทยซ่ะเป็นส่วนใหญ่
VIDEO
และไม่ใช่แค่ลาว แต่เขมร (หลังจากเลิกบอยคอต) รวมทั้งเวียดนาม , อินโด , ฟิลิปินส์ ก็มีการนำละครไทยไปฉายด้วย
ประการต่อมา พฤติกรรมการดูละครมันเปลี่ยนไป มันไม่มีใครมานั่งชมแบบ สัปดาห์ละตอนๆแล้วใช่ไหม ผมก็เป็นเราก็มาดูรวดเดียวเลย ทั้งซีรี่ย์ หรืออนิเมะ เช่นเดียวกันที่ การโตของแพลตฟอร์มพวกนี้มันกำลังเป็นที่นิยมมากขึ้น ถ้ามันมีช่องทางที่เราจะทำต่อไป แล้วมันสร้างรายได้มันก็น่าสนใจ
เรื่องต่อมาคือ อุตสาหกรรมละคร หรือภาพยนต์มันส่งผลกระทบต่อยอดไปยัง "ธุรกิจ-ภาคส่วนอื่น" ทั้งการท่องเที่ยว หรือธุรกิจต่อเนื่องเช่น โปรดัค สินค้าและผลิตภัณฑ์ต่างๆได้อีกด้วย
การตลาด - ละครไทยน้ำเน่า! แต่ได้ใจอาเซียน เจาะลึก 3-5 ปีที่ผ่านมาละครไทยได้สร้างกระแสไทยคัลเจอร์ หรือไทยป็อป (T-Pop) แบบชั่วข้ามคืน เช็กเรตติ้งผ่าน 'เขมร' ในวันนี้ กลายเป็นติ่งดาราไทยแบบห้างแตกทุกครั้ง หลังเลิกบอยคอตละครไทย โกยรายได้เข้าประเทศหลายร้อยล้านบาท อานิสงส์หนุนให้ธุรกิจเทรดแฟร์ และเครื่องสำอางไทยขายดีจนฉุดไม่อยู่ สร้างรายได้เข้าประเทศอีกกว่า 4,600 ล้านบาทต่อปี - ผู้จัดการ
อย่างกรณีที่เห็นได้ชัดเลยคือเรื่อง ภาพยนต์ คลัชท์ๆของจีนที่มีฉากพื้นหลังในไทยอย่างเรื่อง
"Lost in Thailand" หนังจีนต้นทุน 150 ล้าน ทำรายได้ 5,000 ล้าน ปลุกกระแสเที่ยวไทยบูมแบบฉุดไม่อยู่
กระแส “Lost in Thailand” ในกว่างซีแรงไม่ตก ดันกระแสเที่ยวไทยจองเต็มแล้วช่วงวันแรงงาน - thaibizchina.com
ความสำเร็จเกือบ 1,000 ล้านหยวนของ Lost in Thailand ยังกระตุ้นกระแสท่องเที่ยวเมืองไทย เมื่อศูนย์ข้อมูลธุรกิจไทยในจีนรายงานว่าเดือนธันวาคมมีนักท่องเที่ยวจากจีนมาเยือนไทยเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วถึง 3 เท่า ตั๋วเครื่องบิน และโรงแรม 5 ดาวในเชียงใหม่ถูกจองเต็มจนหมด ขณะที่ทัวร์ท่องเที่ยวไทยในช่วงวันตรุษจีนปีหน้าถูกจองไปแล้วกว่าร้อยละ 50 - ThaiPBS
ต่อมาอีก...
ที่ผ่านมา แต่ละช่อง ก็มีการขายละครของตัวเองส่งออกต่างประเทศอยู่แล้ว เช่นช่อง 3 ก็มีการส่งออกไปให้กับ TVA PLUS และ SMILE PLUS ในประเทศเกาหลี
ลูกค้าเฉพาะแนว (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Y ) โคตรเยอะในตลาดต่างประเทศ
ซึ่งเราสามารถจัดทำอะไรพวกนี้ได้ ด้วยบริบทของบ้านเราอยู่แล้ว ซึ่งมันอาจจะต่อยอดไปยังธุรกิจเชื่อมโยงต่างๆ (เฉพาะกลุ่ม) เช่นการบริการทางการแพทย์เฉพาะทาง หรือ การผ่า ตัดเสริมความงามให้กับกลุ่มลูกค้าเหล่านี้ได้
ทั้งหมดนี้ ผมเอง คนที่แทบไม่ได้ดู TV แต่ดู digital platform ส่วนใหญ่ก็มองว่ามันยังเป็นประโยชน์เลย เพราะมันเป็น Soft Power ที่จะส่งไปยังประเทศข้างเคียงได้ แล้วผลลัพธ์ที่ได้มันอาจจะช่วยเพิ่มรายได้ให้อุตสาหกรรมอื่นด้วย
เหมือนบางคนคิดเผื่อไปเรื่องโฆษณาชวนเชื่อ Propaganda อะไรเลอะเทอะไปหมด ซึ่งคุณก็รู้ว่ามันไปบังคับใครเชื่ออะไรไม่ได้ ในระบบ สตรีมมิ่ง ใครอยากดูอะไรก็ดู ถึงแม้มันจะมีอยู่แล้ว (ในกระแสละครพรีเรียดบ้านเรา) มันก็มีคนที่พร้อมรับชมและไม่รับชมอยู่ดี มันไม่ใช่ปัญหาเลย
ที่สำคัญ รัฐไม่ได้เป็นคนทำและออกแบบแพลตฟอร์ม และไม่ได้จะใช้ชื่อ THAIFLIX
นายพุทธิพงษ์ เชื่อมั่นว่า ด้วยศักยภาพทางเทคโนโลยีของไทย สามารถทำให้มีแพลตฟอร์มเป็นของตัวเองได้ แต่จะเกิดขึ้นได้ต้องได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชนทั้งระบบ
เพราะที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่า แพลตฟอร์มของไทยที่ทำโดยภาครัฐไม่ได้รับความนิยม เช่น แพลตฟอร์มการค้าปลีกออนไลน์ 3 รายใหญ่ที่คนไทยใช้อยู่เป็นของต่างประเทศทั้งหมด ทั้งที่มีทั้งแพลตฟอร์มของกระทรวงพาณิชย์ ไปรษณีย์ไทย และกระทรวงมหาดไทย นั่นก็เป็นเพราะแพลตฟอร์มที่รัฐทำขึ้นมาเองยังไม่ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชน
ดังนั้นจึงมีความคิดว่า ภาครัฐควรมีบทบาทเพียงการเป็นเจ้าภาพสนับสนุนงบประมาณและรวบรวมเอกชนที่มีความสามารถเข้ามาช่วยสร้างแพลตฟอร์มทำวิจัย ทำตลาด สร้างแคมเปญ นำของไปขายต่างประเทศ ผ่านแพลตฟอร์มเดียวกันของประเทศไทย และเมื่อขายในประเทศไทยได้แล้ว เชื่อว่าในไม่เกิน 1 ปี จะทำให้แพลตฟอร์มของไทยขยายไปได้ในระดับภูมิภาค
ส่วนเรื่องชื่อ THAIFLIX ไม่ใช่ชื่อแพล็ตฟอร์ม มันเป็นไอเดีย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัล เปิดเผยแนวคิดใหม่เป็นครั้งแรกในการประชุมครั้งนี้ คือ แนวคิดจะสร้างช่องทางขายคอนเทนต์ของไทยไปสู่ต่างประเทศ โดยยกตัวอย่างว่า เมื่อมี Netflix ได้ ก็สามารถทำให้มีช่องทางในลักษณะเปรียบเทียบเป็น Thaiflix ได้เช่นกัน
คนที่เสนอไอเดียก็มองภาพออก ว่าให้รัฐทำมันคงไปไม่รอด มันต้องให้คนที่มีความเชี่ยวชาญในตลาดพวกนี้มาร่วมกันทำ ทำออกมาแล้วรัฐมีหน้าที่เป็นหัวโต๊ะ ประสานงาน และสนับสนุนงบประมาณให้ (หลังจากนั้นถ้ากำไร ก็เรียกเก็บเป็น % ได้อยู่ดี ก็เอากำไรกลับเข้ารัฐ แล้วไปสนับสนุนธุรกิจในอุตสาหกรรมการบันเทิงต่อ มันก็เป็นแนวคิดที่ทำได้และน่าสนใจ
*** สรุปคือทั้งหมดที่ผมเขียนมายืดยาว มันมีอยู่แล้วในข่าวต้นทาง
ถามว่าผมเห็นด้วยไหม ไม่รู้ครับ ต้องดูไปก่อน ตอนนี้มันไม่ได้มีรายละเอียดที่ลึกซึ้งไปกว่า
แนวความคิด
ที่คิดออกมาก็พากันด่ากันไปเรียบร้อยแล้ว
ที่มาของข่าว :
https://www.thansettakij.com/content/tech/437021
อ้างอิงข้อมูลประกอบ