[บทความ] เหตุการณ์พม่าเสียเมือง
เหตุการณ์พม่าเสียเมือง
พระนางศุภยาลัตได้ข่าวว่ากองทัพอังกฤษมาถึงแล้ว ก็เสด็จขึ้นไปบนหอคอยของพระราชวังที่สร้างไว้ตรวจเหตุการณ์ภายนอก ครั้นเห็นทหารแขกโพกผ้าตาโปนเคราเฟิ้มทั้งกองทัพก็ประชวรพระวาโยหลายตลบ พอฟื้นขึ้นมาได้ก็รีบผันพระองค์ลงไปเก็บสมบัติ
ปฏิบัติการยึดวังตอนนี้ นายพลเพรนเดอกาสต์มอบหน้าที่ให้นายพันเอกสลาเดนซึ่งมากับกองทัพในตำแหน่งนายทหารฝ่ายการเมือง ในฐานะที่เคยเป็นอัครราชทูตประจำกรุงมัณฑะเลย์และคุ้นเคยกับพระราชวงศ์มาก่อนเป็นผู้สั่งการแทน นายคนนี้รู้ทางหนีทีไล่ของพระราชวังอันกว้างใหญ่ไพศาลราวกับเมืองๆหนึ่งดี และได้ใช้ประตูด้านใต้นำกองทหารจำนวนหนึ่งตบเท้าเข้าไปพร้อมกับตน โดยปราศจากการต้านทานใดๆ ครั้นป๋าสวมเครื่องแบบอัครมหาเสนาบดีเต็มยศเพื่อเข้าเฝ้าตามราชประเพณีมาถึงตามนัด ก็เข้าไปด้วยกันเพียงสองคนยังพระราชฐานชั้นใน ซึ่งยังมีทหารรักษาพระองค์ถืออาวุธอยู่ประจำตำแหน่งโดยครบครัน
รอสักอึดใจเดียวพระเจ้าสีป่อก็เสด็จออกพร้อมพระนางศุภยาลัตกับพระราชมารดาที่เสมือนเงาของพระนาง หลังอารัมภกถาแล้ว พระเจ้าสีป่อก็ทรงถอนพระทัย ยอมที่จะมอบพระราชอาณาจักรและยอมมอบพระองค์ต่อของกองทัพอังกฤษโดยดี แต่ทรงร้องขอเวลาสักวันสองวันที่จะเตรียมข้าวของ โดยจะยอมออกจากพระราชฐานส่วนพระองค์ไปประทับที่พระตำหนักฤดูร้อนในสวนหลวง ซึ่งนายพันเอกสลาเดนทูลตอบว่า ท่านแม่ทัพใหญ่คงจะไม่รบกวนพระยุคลบาทในคืนนี้ แต่พรุ่งนี้เช้าขอให้ใต้ฝ่าละอองพระบาททรงเตรียมพร้อม นายพลเพรนเดอแกสต์จะมารับมอบพระองค์ในฐานะเชลยด้วยตนเอง
เมื่อนายพันเอกสลาเดนกลับออกมาจากที่เข้าเฝ้าแล้วก็สั่งการให้ทหารอินเดียในเครื่องแบบอังกฤษทำหน้าที่ถนัดแต่ดั้งเดิม คือเป็นแขกยามล้อมพระที่นั่งไว้เฉยๆ ห้ามเข้าไปยังเขตพระราชฐานส่วนพระองค์ และให้เปิดประตูวังด้านทิศตะวันตกที่เป็นช่องทางเข้าออกของฝ่ายใน เพื่อให้เจ้าจอมหม่อมห้ามและผู้หญิงในวังรีบย้ายออกไปได้ก่อนที่ฝรั่งจะเข้าครอบครอง
ผลลัพท์ก็คือ ในคืนนั้นสาวสรรกำนัลในซึ่งอยู่ในพระราชวังประมาณสามร้อยคนเศษ ก็เรียกญาติโกโหติกาของตนที่เป็นหญิงเข้ามาในวัง อ้างว่าจะมาช่วยเจ้านายขนของ แต่บรรดาสรรพสิ่งที่หยิบฉวยได้ทุกอย่างในเขตพระราชฐานที่ประทับส่วนพระองค์ ไม่รู้ว่าของส่วนตนหรือของหลวง ก็แย่งกันทึ้งแย่งกันขนออกจากวังไปทั้งคืน พอถึงเช้าก็ปรากฏว่ามีนางในเพียง 17 คนเท่านั้นที่ยังมั่นคงอยู่ในหน้าที่ต่อไปด้วยความจงรักภักดี ที่เหลือหายศีรษะ
พระเจ้าสีป่อกับพระมเหสีทั้งสองและพระมารดา ได้เสด็จจากพระราชฐานออกไปยังพระตำหนักฤดูร้อนเล็กๆริมสระบัวมุมหนึ่งในพระราชอุทยาน เพื่อรอมอบพระองค์อย่างเป็นทางการในตอนบ่าย เมื่อนายพลเพรนเดอกาสต์ปรากฏตัวขึ้นในพระราชวังพร้อมนายทหารระดับผู้บังคับบัญชา เสนาบดีพม่าได้นำคณะนายทหารอังกฤษเข้าเฝ้าพระเจ้าสีป่อ ซึ่งประทับอยู่บนพื้นพระตำหนักน้อยโดยมีพระมเหสีทั้งสองอยู่เคียงข้าง นายพลเพรนเดอกาสต์ไม่พูดพล่ามทำเพลง เดินเข้าไปทูลให้พระองค์เสด็จไปยังเรือกลไฟ ณ บัดนี้
องค์สีป่อนั้นเล่า แม้จะทรงพยายามต่อรองขอประวิงเวลาอย่างไรก็โดนเซย์โน จึงทรงจำยอมที่จะยันพระวรกายขึ้นและเสด็จพระราชดำเนินมาตามทางที่อังกฤษชี้นำอย่างช้าๆ ผ่านพระราชฐานองค์ใดก็หยุดทอดพระเนตรเป็นครั้งสุดท้ายอย่างอาลัยอาวรณ์ พระอัสสุชลไหลย้อยอาบพระพักตร์ ส่วนพระนางทั้งสามนั้นเล่า ก็มิได้ทรงหยุดที่จะกรรแสงกระซิกๆปิ่มว่าจะขาดใจน่าเวทนายิ่งแล้ว เวรกรรมจริงหนอที่วงศ์กษัตริย์ขัตติยาจะมาสิ้นสูญภาพเอาในรัชสมัยของพระองค์เช่นนี้
ครั้นมาถึงประตูพระราชวังแห่งสุดท้าย เมื่อแลเห็นพาหนะที่อังกฤษจัดไว้เพื่อการเสด็จพระราชดำเนินไปยังที่หมายริมฝั่งมหานทีอิระวดีอันศักดิ์สิทธิ์ เสียงกรรแสงของพระนางก็โฮขึ้นก่อน แต่ก็ถูกกลบไปด้วยเสียงร้องไห้ระงมขึ้นมาของเหล่านางพระกำนัลที่พากันมาส่งเสด็จ ซึ่งพาหนะที่อังกฤษจัดถวายเป็นเเปลหาม (คล้ายๆเเปลหามโรงพยาบาล) พระเจ้าสีป่อทรงห่อพระทัยไม่ยอมขึ้น ขุนนางพม่าเลยจะขอให้ใช้กระบวนราบใหญ่เสด็จเพื่อเป็นการถวายพระเกียรติครั้งสุดท้าย เเต่ทางอังกฤษไม่ยอม เเต่ถ้าขืนให้ทรงประทับเเปลหามก็คงจะลำบากเป็นหนัก ซึ่งกว่าจะถึงท่าน้ำอิรวะดี เนื่องจากถนนหนทางในเมืองมัณฑะเลย์นั้นก็มีสภาพเป็นหลุมเป็นบ่อไม่เจริญหูเจริญตานัก เเละตะวันก็จวนจะตกดินเข้าทุกขณะ นายพลเพรนเดอกาสต์ จึงให้เจ้าหน้าที่จัดหาระเเทะเทียมโคมาสองคันเพื่อให้ทรงประทับเสด็จพระราชดำเนิน ทันใดนั้นเมื่อพระเจ้าสีป่ทรงขึ้นประทับบนระเเทะ ก็มีเจ้าพนักงานวิ่งมาจากไหนไม่รู้ กางกั้นฉัตร ถวายเครื่องอภิรุมชุมสายห้อมล้อมให้อย่างสมพระเกียรติ เเล้วเเหเเหนประกอบพระเกียรติจนถึงวินาทีสุดท้าย (ขอชื่นชมเจ้าพนักงานภูษามาลาที่ทำหน้าที่รักษาพระเกียรติจนถึงวินาทีสุดท้าย)
ฉันใดหนอ ทำไมฝรั่งเจ้าจึงต้องหยามพระเกียรติยศเกียรติศักดิ์ของพระเจ้าเหนือหัวแห่งพระราชอาณาจักรอันรุ่งเรืองเกรียงไกรในบูรพทิศอย่างเหลือเชื่อถึงเพียงนี้ ดูดู๋ แทนที่จะจัดโรลสลอยด์มารับ มันเล่นไปเช่าแทกซี่ของนายอูเบ้อลำนี้มา อพิโธ อพิถังเอ๋ย
การนั่งเกวียนครั้งนั้น เป็นครั้งแรกที่ทำให้พระเจ้าสีป่อได้เห็นบ้านเมืองของพระองค์หลังเสด็จขึ้นครองราชย์ เป็นเวลาเจ็ดปีเศษมาแล้วที่พระองค์ทรงถูกพระมเหษีทั้งสองกับพระราชมารดากักตัวให้เสพย์โลกียสุขอยู่แต่ในพระราชวัง ภาพที่ทรงเห็นตลอดทางที่เกวียนผ่านไปนั้น คือใบหน้าที่เฉยเมย ไม่ยินดียินร้ายของชาวพม่า นอกจากข้าราชบริพารไม่กี่คนที่ตามมาส่งเสด็จโดยส่งเสียงร่ำไห้แทนเสียงของวงโยธะวาฑิตแล้ว ก็หามีผู้ใดแสดงกิริยาอาการโศกเศร้าในชะตากรรมของพระราชวงศ์ไม่
มันเป็นช่วงฤดูหนาวในมัณฑะเลย์ที่แสงสุริยะจะหม่นลงแต่ก่อนค่ำ แต่ฝูงชนที่รู้ข่าวก็ยังพากันมายืนเบียดเสียดที่ท่าเรือ พยายามจะให้เห็นหน้าเจ้าชีวิตของเขาสักครั้ง ราษฎรพม่าไม่เคยมีโอกาสได้เห็นพระองค์ และพระองค์ก็ไม่เคยอยากจะเห็นพวกเขา คราวนี้จะเป็นโอกาสเดียวที่จะได้เห็นด้วยความเอื้อเฟื้อของคนอังกฤษ
18:15 นาฬิกาโดยประมาณ ฟ้ามืดแล้วขณะที่พระเจ้าสีป่อและผู้ตามเสด็จได้มาถึงเรือไฟสูรียะ และได้รับการเชิญเสด็จขึ้นไปยังห้องที่ประทับอย่างเรียบร้อย และเสนาบดีผู้ใหญ่กับองคมนตรีรวมกันแล้ว 5 คนได้ตามเสด็จด้วย ท่านผู้มีเกียรติเหล่านี้พอถึงย่างกุ้งก็กราบถวายบังคมลา หามีใครยอมไปอินเดียกับพระองค์ไม่แม้แต่คนเดียว
พระเจ้าสีป่อไม่มีโอกาสที่จะประทับพระบาทลงบนแผ่นดินที่เคยเป็นของพระองค์อีก เรือกลไฟพระที่นั่งออกวิ่งต่อสู่ปากอ่าวโดยไม่ชักช้า เพื่อเข้าเทียบเรือเดินสมุทรที่ทอดสมอรออยู่ เมื่อนำเสด็จลงเรือใหญ่และขนถ่ายผู้ติดตามตลอดจนข้าวของสัมภาระเรียบร้อยแล้วก็ถอนสมอ ออกเดินทางมุ่งสู่มัทราสโดยพลันเมื่อเสด็จขึ้นฝั่งที่อินเดีย พระเจ้าสีป่อและพระราชินีทั้งสองของพระองค์ก็ยังต้องเดินทางต่อ ไปสิ้นสุดเส้นทางยันยาวไกลที่เมืองรัตนคีรี และอยู่ในฐานะนักโทษกักบริเวณของรัฐบาลอังกฤษจนกระทั้งเสด็จสวรรคต
อ่านเพิ่มเติมได้ที่
http://www.reurnthai.com/index.php?topic=5490.0
แนะนำให้ฟังเรื่องเล่า พม่าเสียเมือง ที่ได้อรรถรสมากที่สุด ของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช
https://www.youtube.com/watch…
แป้หม่าเก่า Ancient Phrae # อนุรักษ์ สืบสาน ตำนาน ประวัติศาสตร์ ศิลปะ วัฒนธรรม วิถีชีวิต เมืองแพร่
https://www.facebook.com/Ancient.Phrae
No History no Future
ที่มา แฟนเพจ แป้หม่าเก่า Ancient Phrae