เกริ่นก่อนว่าผมได้เข้ามาทำงานในบริษัทที่ขายสินค้าชนิดหนึ่ง (ขอเรียกว่าสินค้า A)

ในช่วงเดือนก.ค.62

โดยตอนสัมภาษณ์เจ้าของบริษัท เห็นประวัติผมว่าเคยขายสินค้าอีกแบบ (ขอเรียกสินค้า B)

มาก่อนในบริษัทที่เป็นเจ้าตลาดของสินค้า B เจ้าของเลยบอกผมว่า กำลังมีแผน

จะนำสินค้าชนิด B เข้ามาขายในไทย อยากให้ผมเข้ามาทำตลาดให้หน่อย เพราะเห็นว่ามีประสบการณ์

ซึ่งผมก็โอเค อยากพัฒนาตัวเองจากเซลล์ธรรมดาๆ เป็นระดับบริหารจัดการอยู่แล้ว จึงตกลงไป

แต่ปัญหาแรกคือ ทั้งเจ้าของและบริษัท ไม่มีใครมีความรู้เรื่องสินค้า B เลย ผมเลยต้องเริ่มด้วย

การเลือกสินค้า ที่จะสามารถทำตลาดได้เข้ามาก่อน ซึ่งก็เลือกไป 10 ตัว

และปัญหาต่อมาคือ กว่าสินค้าจะเข้าก็คือ เดือนธ.ค.62 ที่ผ่านมา

ระหว่างนั้น (ก.ค. - ธ.ค. 62 ) ผมจึงต้องขายสินค้า A ซึ่งเป็นสินค้าหลักของบริษัท

แต่ผมไม่เคยมีประสบการณ์ขายมาก่อนเลย และไม่ถนัดด้วย

พอครบกำหนดผ่านโปรฯ ผลการประเมินเลยออกมาไม่ผ่าน และทางบ.ให้ต่อระยะการทดลองงานออกไป

ซึ่งผมเองก็รู้ตัวดีว่าไม่ถนัดในสินค้า A จริงๆ เลยยื่นเรื่องขอลาออกเองด้วยเลย

แต่ด้วยความบังเอิญ ช่วงที่ผมกำลังขอลาออก เจ้าของก็เรียกผมเข้าไปคุยและบอกว่า

สินค้า B มาถึงแล้ว อยากให้ผมพิสูจน์ตัวเองต่อ ด้วยการทำตลาดสินค้า B ต่อไป

ผมเองก็โอเค เพราะก็มีแนวทางในใจคร่าวๆไว้แล้วเช่นกัน

ซึ่งผมเองได้สินค้ามาในมือ ประมาณวันที่ 26 ธ.ค.62 และเริ่มวิ่งออกหาลค.ทันที

ระหว่างนั้นก็มีการพาเจ้าของบริษัทลงพื้นที่ เพื่อรับฟังฟีดแบก จากลค.ผูู้ใช้โดยตรงด้วย

ผลการทดสอบสินค้าเบื้องต้นจากลค.ก็ออกมาว่า สินค้า 10 ตัว ที่นำเข้ามานััน มีเพียงตัวเดียว

ที่คุณภาพสู้กับสินค้าในท้องตลาดได้ ทางเจ้าของก็รับปากลค.และผมว่าจะนำไปพูดคุย

และปรับปรุงกับทางเมืองนอกให้แก้ไขจุดด้อยของสินค้าให้ไวที่สุด

แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น สุดท้าย ก็เหลือโปรดักส์ชนิดเดียวที่ผมกล้าเอาไปขาย

ให้กับลค.เพื่่อสู้กับสินค้าในตลาด

ปัญหาต่อมา ผมโดนเรียกไปคุยตอนกลางเดือนม.ค.63 ที่ผ่านมา ว่าจะกำหนดข้อตกลง

ที่ผมจะผ่านโปร ซึ่่งมี 4 ข้อ และผมต้องผ่าน 3 ใน 4 ถึงจะผ่านโปรฯ โดยข้อหลักๆที่ผมหนักใจ

มีอยู่สองข้อ คือ 1. ต้องขายสินค้าให้ได้ยอดขาย 60% ของราคาสินค้าที่มีอยู่ในสต๊อค
และ 2. ผมต้องเปิดลค.ใหม่ให้ได้ 20 ราย

โดยเงื่อนไขนี้ ต้องสำเร็จก่อนวันที่ 28 ก.พ.63 นี้

สรุปคือ ผมมีเวลาพิสูจน์ตัวเองในการทำตลาดขายสินค้า B ที่ถนัด เพียงแค่ 60 วันเท่านั้น

ซึ่งผมมีความคิดที่ไม่ค่อยโอเคกับเงื่อนไข 2 ข้อนี้ ตรงที่ว่า ข้อ 1 บ.คิดราคาขายเต็มราคา

คูณกับจำนวนสินค้าที่เหลือในสต๊อค เช่น ราคาขาย 100 บาท สินค้ามี 50 ชิ้น มูลค่าทั้งหมด คือ 5,000 บาท

แต่ในความจริงคือ ผมขายกับลค.ด้วยโปรโมชั่นที่ทางบริษัทออกให้ เช่น ขายสินค้า 10 ชิ้น ในราคาชิ้นละ 75 บาท ซึ่งแน่นอนครับ ตัวเลขที่ผมทำได้ มันต้องออกมาน้อยกว่าตัวเลขที่

บริษัทคำนวนออกมาอยู่แล้ว

เงื่อนไขข้อ 2 ที่ต้องเปิดลค.ใหม่ 20 ราย ผมเจอปัญหานี้เพราะเจอผลกระทบต่อเนื่องมาจาก

เรื่องอื่นๆในเบื้องต้นน่ะครับ เพราะสินค้าเป็นล็อตแรก บ.จึงสั่งนำเข้ามาในปริมาณน้อย

ซึ่งผมเองเปิดขายลค.รายย่อยได้สองสามราย และดีลรายใหญ่ไว้ได้อีก ซึ่งลค.ที่ดีลปริมาณ

มากๆไว้ได้ มีการสั่งออเดอร์ล่วงหน้าไว้จำนวนที่พอๆกับจำนวนสินค้าที่เหลือในสต๊อค

จึงทำให้ผมไม่มีสินค้าไปขายลค.รายอื่นๆเพิ่มเติมอีก เพราะงั้นข้อนี้ ยังไงๆ ผมก็คงไม่สามารถ

เปิดลค.ได้ครบ 20 รายแน่ๆ เพราะขายแค่ 5 ราย สินค้าก็หมดแล้ว ไม่พอขาย

อ่านแล้วงงไหมครับ พอเจอปัญหาพวกนี้ ผมเลยเครียดๆน่ะครับ ใจนึงก็อยากให้บริษัทให้

ผ่านโปรฯไปเลย ผมจะได้ลุยงานอย่างเต็มที่ เพราะสารภาพตรงๆเลยครับ มีลค.อีกหลายราย

ที่ผมยังกั๊กไว้ ไม่เข้าไปเสนอขาย อีกหลายช่องทางที่ผมมีคอนเน็คชั่น เพราะตอนนี้มีปัญหา

เรื่องของสต๊อคสินค้า และผมกลัวจะไม่ผ่านโปรฯนี่แหละครับ กลัวให้บริษัทไปหมดทุกอย่าง

พอหมดประโยชน์จะโดนเขี่ยทิ้งง่ายๆอีก (เคยโดนเคสแบบนี้มาก่อน เลยฝังใจครับ)

แบบนี้ผมควรจะไปคุยกับบริษัทให้เคลียร์เลยดีไหมครับ ว่าให้เชื่อใจผม ให้ผมทำงานต่อ

แบบสบายใจทั้งสองฝ่าย และอธิบายเลยว่าเงื่อนไขที่บ.ตั้งไว้ ผมคงไม่สามารถทำได้

ด้วยเงื่อนไขต่างๆที่ผมอธิบายไว้ข้างต้น บริษัทจะมองว่าเป็นข้ออ้างหรือเปล่าครับ

แต่ผมคิดว่ามันไม่ค่อยแฟร์จริงๆที่ให้เวลาผมทำตลาดเพียงแค่ 2 เดือน กับสินค้าใหม่เอี่ยมแบบนี้

ทีมงานผมก็ไม่มีใครช่วยเลย บริษัทบอกว่าให้ผมทำยอดขายให้ได้เยอะๆก่อน ถึงจะหาทีมงาน

และหาทีมเซลล์มาช่วยวิ่งงานให้

บอกตรงๆว่าตอนนี้ที่ขายสินค้าได้ เพราะลค.เดิมๆที่เอ็นดูผมเค้าเชื่่อใจเลยลองซื้อสินค้าไปทดลองใช้ทั้งนั้นเลยครับ

บ่นมาซะยาว อยากขอความคิดเห็นจากเพื่อนๆพี่ๆในบอร์ดหน่อยครับ

กลัวจะคิดเองเออเอง เดี๋ยวเผลอไปพูดจาอะไรไม่ดี กลัวจะตกงานไม่รู้ตัวน่ะครับ

ยิ่งเป็นคนปากไม่ค่อยดีอยู่เวลาที่คิดว่าตัวเองโดนเอาเปรียบ