จากกระทู้นี้ http://www.soccersuck.com/boards/topic/1833085

ขอสอบถามจริงๆ เลยครับผม ว่า โลก จักรวาล ทั้งหมดนี่ พระเจ้าเป็นผู้สร้าง พวกท่านเชื่ออย่างงี้จริงๆ หรือออออ???

วิทยาศาสตร์ คือศาสตร์ที่พิสูจน์ว่าโลกนี้มีระบบระเบียบ และการออกแบบมาอย่างดี
โดยการตั้งทฤษฎี หาเหตุและผล และใช้วิธีพิสูจน์ด้วยการทำซ้ำ ชั่ง ตวง วัด
ทุกสิ่งที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์นั้น คือการ "ค้นพบ" สิ่งที่มีอยู่แล้ว
และเป็นการประกาศว่าระบบของโลกนี้และจักรวาลนี้ไม่มั่วนะ มันมีแบบแผน มีการออกแบบ มีดีไซน์ มีวัตถุประสงค์
แต่วิทยาศาสตร์ไม่ใช่ทุกอย่างของโลกและจักรวาลนี้ มันยังพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ ยังมีอีกหลายอย่างที่วิทยาศาสตร์ตอบไม่ได้ พิสูจน์ไม่ได้ เพราะกระบวนการความคิดและเทคโนโลยีมันยังต่อยอดไปได้ไม่ถึง ขนาดโลกเราเอง เราก็ยังสำรวจไม่หมด ใต้ทะเลลึกอีกจำนวนมาก ไม่ต้องนับจักรวาลนี้ที่ยิ่งใหญ่กว่ามาก

แต่มนุษย์เราชอบคิดว่าเรายิ่งใหญ่กว่าใคร เราเข้าใจ วิทยาศาสตร์ไปไกลแล้ว
คนในอดีตเมื่อพันปีก็คิดอย่างนี้ แต่สุดท้ายเราก็พิสูจน์พบหลายอย่างเพิ่มขึ้นต่อไป

พระเจ้า เป็นสิ่งหนึ่งที่กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์ตัวตนไม่ได้ เพราะไม่สามารถทำซ้ำ ชั่ง ตวง วัดได้ แต่จริงๆ แล้วพระเจ้าพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ได้ด้วยหลักการทางทฤษฎีและการตั้งสมมติฐาน และคุยด้วยเหตุและผลครับ
หลายคนเริ่มต้นความคิดที่ผิด ว่าพระเจ้าเป็นแค่เรื่องความเชื่อ ไม่มีเหตุผล แต่ความจริงไม่ใช่ จริงๆ แล้วทุกๆ วันในชีวิตเราก็ใช้ความเชื่อกันทั้งนั้น ความเชื่อบางอย่างไม่มีเหตุผลด้วยซ้ำ แต่ความเชื่อบางอย่างก็มีเหตุผลรองรับ

ขอยกตัวอย่าง ให้ลองนึกตาม
ถ้าคุณเข้าไปที่สนามแอนฟิลด์ครั้งแรก คุณอาจจะเห็นการออกแบบสวยงาม ยิ่งใหญ่ เป็นระเบียบ มีเก้าอี้นั่ง ทางเดิน ประตูทางเข้าออก ระบบรปภ. ฉุกเฉิน ฯลฯ
สมมติมีคนถามคุณว่า คิดว่าสนามแอนฟิลด์นี้มีคนสร้างไหม คุณจะตอบทันที โดยไม่ต้องคิดหรือวิเคราะห์เลยว่า "มีคนสร้าง"
เพราะอะไรรู้ไหมครับ เพราะโดยตรรกะพื้นฐานของสมองเรา อะไรที่เป็นระบบระเบียบมีการออกแบบอย่างมีวัตถุประสงค์ เราจะเชื่อได้ทันทีว่ามีคนสร้าง โดยไม่ต้องพิสูจน์และหาคำตอบ
แต่ถ้าถามต่อว่า
รู้ไหมว่าใครสร้าง ... ไม่รู้
รู้ไหมว่าวิธีการสร้าง เขาสร้างยังไง ... ไม่รู้
รู้ไหมว่าเขาสร้างขึ้นมาเมื่อไหร่ ตอนไหน เสร็จเมื่อไหร่ ... ไม่รู้
เคยเห็นตอนเขาสร้างไหม ... ไม่เคยเห็น
แต่รู้อย่างเดียวว่ามีคนสร้าง
นี่คือระบบความคิดพื้นฐานที่ความคิดคนเราเป็น ถ้าไร้อคติใดๆ เราจะเชื่อได้ว่า ตึกที่เราเดินเข้าไป บ้านที่เราเห็น แม้แต่ขวดน้ำบนโต๊ะเรา มีคนสร้าง ไม่ต้องมีโครงสร้างซับซ้อนก็ได้ แค่ช้อนคันเดียว หลอดกาแฟหลอดเดียว เรายังเชื่อว่ามีคนทำ คนสร้าง คนออกแบบ
ถ้ามีใครมาคัดค้านคุณว่า ไม่จริง ช้อนคันนี้เกิดขึ้นมาเองตามธรรมชาติ
ไม่จริง ตึกสามชั้นแห่งนี้ เกิดขึ้นมาเอง มันมีเศษอิฐ หิน ปูน ทราย ไม้ กองๆ กระจัดกระจายอยู่แล้วแถวนี้ แล้วลมมันพัดไปพัดมา จนมันมารวมกันเป็นตึกขึ้นมาอย่างอัศจรรย์ ธรรมชาติทำ
คุณไม่มีทางเชื่อหรอก คุณจะรู้สึกว่า ไร้สาระ เชื่อเข้าไปได้ยังไงว่าตึกนี้ไม่มีใครสร้าง มันไม่มีทางเป็นไปได้ ความบังเอิญไม่มีทางทำได้หรอก ใครเชื่อก็บ้าแล้ว เห็นๆ อยู่ว่ามันมีคนสร้าง มีคนออกแบบ มีคนตั้งใจทำให้มันเกิดขึ้น

แต่ในทางตรงข้าม คนที่ไม่เชื่อว่าโลกนี้ จักรวาลนี้มีผู้สร้าง ผมขอละคำว่าพระเจ้าไปแล้วกัน เพราะหลายคนคิดว่า พระเจ้า คือศาสนาคริสต์ คือความเชื่อ ผมขอเรียกว่า Creator ผู้สร้าง เพราะถ้าเขามีจริง มันไม่เกี่ยวกับศาสนา เป็นเรื่องเบสิคสากล เป็นวิทยาศาสตร์

ในทางตรงกันข้าม คนที่ไม่เชื่อว่าจักรวาลนี้มีผู้สร้าง บอกว่า
โลกนี้เกิดจากความบังเอิญ บังเอิญมีก๊าซไฮโดรเจนกับอ๊อกซิเย่นรวมตัวกันกลายเป็นน้ำ
บังเอิญมีต้นไม้ที่คายอ๊อกซิเย่นกลางวันและดูดคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไป และมนุษย์สูดอ๊อกซิเย่นและคายคาร์บอนไดออกไซด์ ตรงกันข้ามกัน บังเอิญที่สองสิ่งนี้เกื้อหนุนกัน
บังเอิญที่โลกห่างจากดวงอาทิตย์พอเหมาะ มีดวงจันทร์ ทำให้น้ำขึ้นน้ำลง บังเอิญโลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ เลยทำให้มีฤดู เลยทำให้มีพืชผล บังเอิญหมุนรอบตัวเอง เลยทำให้มีหนึ่งวันที่พอดีกับการใช้ชีวิต
ร่างกายเราบังเอิญมีดวงตาอยู่ข้างหน้า มีหูอยู่ข้างๆ มีปาก มีลิ้นรับรส บังเอิญมีเอนไซม์ย่อยแป้ง บังเอิญมีกระเพาะย่อยอาหาร บังเอิญมีระบบขับถ่าย
ทุกอย่างเป็นเรื่องบังเอิญ วิวัฒนาการกันต่อๆ มา ด้วยระยะเวลายาวนาน
มนุษย์ โลก จักรวาลซับซ้อนกว่าหลอดกาแฟ
แต่เราคิดว่ามันบังเอิญเกิดขึ้นมาเอง

ต่อให้วันนี้ เอานาฬิกาเรือนนึงที่มีอุปกรณ์สมบูรณ์ แยกชิ้นส่วนเป็นชิ้นๆ แล้วเอาไปใส่กล่องใบหนึ่ง แล้วตั้งใส่เครื่องเขย่า ให้มันเขย่าช้าๆ ให้เคลื่อนที่ชนกันไปมา คิดว่าจะใช้เวลากี่ปี ที่มันจะบังเอิญรวมตัวกันกลายเป็นนาฬิกา หนึ่งปี? สิบปี? ร้อยปี? พันปี? แสนปี?
มันไม่มีทางบังเอิญรวมกันเป็นนาฬิกาได้หรอก
มันเป็นนาฬิกาได้ เพราะมีผู้สร้างมันขึ้นมา คิดและออกแบบมันขึ้นมา และตั้งใจทำให้มันเป็นนาฬิกาขึ้นมา

เมื่อเราไม่อยากยอมรับว่าโลกนี้มีผู้สร้าง เราก็จะบอกว่าทุกอย่างเกิดจากธรรมชาติ
คำถาม ธรรมชาติคืออะไร
อืม ธรรมชาติคือระบบนิเวศน์ สิ่งมีชีวิต คนสัตว์ ต้นไม้ ภูเขา ท้องฟ้า แม่น้ำ ทะเล
โอเค แล้วระบบนิเวศน์ สิ่งมีชีวิต คนสัตว์ ต้นไม้ ภูเขา ท้องฟ้า แม่น้ำ ทะเล เกิดมาได้ยังไง
อืม ก็ธรรมชาติสร้างขึ้นมาไง
แล้วธรรมชาติคืออะไร
อ๋อ ก็คือระบบนิเวศน์ สิ่งมีชีวิต คนสัตว์ ต้นไม้ ภูเขา ท้องฟ้า แม่น้ำ ทะเล
อ้าวแล้ว ระบบนิเวศน์ สิ่งมีชีวิต คนสัตว์ ต้นไม้ ภูเขา ท้องฟ้า แม่น้ำ ทะเล เกิดมาได้ยังไง
...ก็ธรรมชาติสร้างไง

มันกลายเป็นคำถามวน ที่ไม่สอดคล้องกับหลักคิดทางวิทยาศาสตร์โดยสิ้นเชิง
เพราะธรรมชาติเป็นนามธรรม

การเชื่อว่ามีผู้สร้าง (พระเจ้า)
หรือการไม่เชื่อว่ามีผู้สร้าง ล้วนเป็นการใช้ความเชื่อทั้งสิ้นเหมือนๆ กัน
แต่สำหรับผม การไม่เชื่อว่าโลกนี้ จักรวาลนี้มีผู้สร้าง ต้องใช้ความเชื่อมากเหลือเกิน เพราะเราต้องโยนทุกอย่างในจักรวาลนี้ให้กับความบังเอิญ จนแม้แต่โมเลกุลเล็กๆ เราก็ต้องบอกว่าความบังเอิญสร้างมันขึ้นมา สร้างมันขึ้นมา จนมันสอดคล้องกันทุกอย่างเป็นระบบเดียวกันทั้งจักรวาล

สำหรับผม ไม่ยากเลยที่จะเชื่อว่าผู้สร้างหรือพระเจ้ามีจริง แม้ว่ากระบวนการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์จะยังไปไม่ถึงการพิสูจน์ตัวตนได้ แต่หลักคิดแบบทฤษฎีสมมติฐานทางเหตุและผลของวิทยาศาสตร์มันอธิบายได้

วิทยาศาสตร์พิสูจน์ว่าโลกและจักรวาลเรามีระบบระเบียบแบบแผนที่ออกแบบมาอย่างดีและรัดกุม
จริงๆ แล้วก็วิทยาศาสตร์นี้แหละที่กำลังบอกเราว่าโลกและจักรวาลนี้มีผู้สร้างหรือพระเจ้า

ถ้าคุณตัดความคิดเรื่องว่าพระเจ้าเป็นเรื่องศาสนาออกไปได้ แต่จริงๆ แล้วเป็นเรื่องสากล ผมว่าคุณจะทำความเข้าใจมันได้มากขึ้นครับ

ไม่เชื่อ แต่เชื่อพวกคำสอนในการใช้ชีวิต

ในโลกนี้มีหลายสิ่งที่ไม่สามารถตอบคำถามได้

และบางทีก็บังเอิญเกินไปจนไม่สามารถอธิบายได้เช่นกัน


จากเหตุ และผลที่ไม่มีอะไรมาสนับสนุนสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ต้องมีอะไรบางอย่างืั้พลักดันให้สิ่งนั้นเกิด


คนต้นเรื่องในกำเนิดพระคำภีร์จึงนิยามสิ่งนั้นว่าพระเจ้า



แต่เดิมแล้วโลกนี้อาจจะว่างเปล่า ไม่มีอะไรอยู่เลย แล้วพระเจ้าทำให้เกิดขึ้นมา



พระเจ้าของแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกันบนโลก บางคนอาจจะเป็นแค่ก้อนหิน เป็นต้นไม้ แต่ทั่วโลกล้วนมีการพูดถึงพระเจ้าผู้ดลบรรดาลความสำเร็จให้เกิดขึ้น ทั้งๆที่มนุษย์พยายามแทบตายก็ไม่สามารถทำให้เกิดขึ้นด้วยน้ำมือตัวเองได้

ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเชื่อและไม่เชื่อ วิทยาการของมนุษย์ยังแค่หลักพันหลักหมื่นปีอยู่เลย เมื่อเทียบกับโลกกับจักรวาลอายุนับล้านๆปี

ไม่เชื่อครับ

แต่ทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี กระทำดี

ศาสนาในมุมผมเป็นเรื่องของความเชื่อ และการยึดเหนี่ยวจิตใจครับ

ทุกศาสนามักจะมีเรื่องโอเวอร์อยู่แล้วเพราะเล่าต่อๆกันมาเป็นพันปี ต้องมีแต่งเติมมั่งแหละ
ผมเชื่อแค่คำสอนดีๆเอามาปรับใช้กับชีวิตก็พอ

เชื่อครับ​ เพราะไม่มีอะไรทั้งหมดทั้งมวลนี้จะเกิดขึ้นได้เองตามธรรมชาติ​

สำหรับผมทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี แต่คนหลังต่อๆมานี่ละที่มาเสริมเติมแต่ง อาจจะเพื่อเพื่อให้คนเชื่อถือ หรือให้ตัวเองเป็นที่ยกย่องหรือเพื่ออำนาจ โดยใช้เรื่องเหนือธรรมชาติที่คนไม่รู้ในขณะนั้น แล้วคนเชื่อก็งมงาย หลอกต่อๆกันมาอีกหลายศตวรรษ

พระเจ้าไม่มีจริง

เดี๋ยวก็ทะเลาะกัน คุยเรื่องแบบนี้

เชื่อครับ แต่พระเยซูไม่ได้เกิดวันคริสต์มาสนะครับ อันนี้ผมที่เป็นผู้เชื่อศึกษาประวัติศาสตร์มาแล้วครับ ใครสงสัยผมจะตอบเท่าที่จำได้เพราะศึกษาเรื่องนี้มา 4 ปีได้ละครับ

ผมเชื่ออย่างเต็มที่เลย ไม่มีทางที่ทุกอย่างจะเกิดขึ้นด้วยความบังเอิญแน่ๆ ทุกระบบมันเคลื่อนที่ไปอย่างสัมพันธ์
ไมว่าจะเป็นระบบร่างกาย ระบบการโคจรของดาวเคราะห์ ระบบสภาพภูมิอากาศ
ทุกอย่างมันโคตรจะเป๊ะ เรียกว่าถ้าผิดพลาดนิดนึงก็ถึงจุดจบเลยดีกว่า
เหมือนสร้างบ้านอ่ะ มันเป็นไปไม่ได้ที่ลมจะพัดเศษดิน เศษหิน มารวมเป็นบ้านหลังนึง

ใช่ครับ ผืนดิน แอปเปิ้ล อดัม

เรื่องแบบนี้จะเชื่อก็ได้ หรือ ไม่เชื่อก็ได้

แต่สิ่งที่ควรจะเป็นคืออยู่ในความพอดี ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป ไม่ว่ากับเรื่องอะไรก็ตาม

ที่ผมเชื่อแน่ๆคือจุดเริ่มต้นทุกสรรพสิ่งไม่ใช่บิ๊กแบง มันต้องมีอะไรมาก่อนซึ่งบางทีเราก็ไม่มีวันรู้ได้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร