ขุนแผนฟ้าฟื้น : พลิกตำนานแบบโมเดิร์นสุดโต่ง
ขุนแผนฟ้าฟื้น! พลิกตำนานฉบับโมเดิร์นสุดโต่ง!
------------------------------------------------------
เรียกว่าเป็นหนังไทยกระแสแรงเกินคาดสำหรับ "ขุนแผนฟ้าฟื้น" ผลงานใหม่ของผู้กำกับ
ก้องเกียรติ โขมศิริ ซึ่งผู้เขียนเองเป็นแฟนคลับตัวยง ไล่ตั้งแต่ ลองของ เมื่อปี 2548 ไม่เคยพลาดหนังพี่แกแม้แต่เรื่องเดียว ขนาดหนังที่แกเขียนบทยังตามไปดูจนเกือบครบ (ขาดแค่รักสยามเท่าฟ้า เรื่องเดียว) ดังนั้นออกตัวก่อนเลยว่าค่อนข้าง "เชื่อมือ" และเป็นเหตุผลหลักให้เข้าไปดูในโรง... แต่ผลจะออกมาอย่างไร เชิญอ่านได้เลยขอรับ
เรื่องราวว่าด้วย :
"แก้ว" (มาริโอ้ เมาเร่อ) หนุ่มรูปงามความจำเสื่อมที่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหน ใช้ชีวิตเสเพลไปวันๆ กับเพื่อนสนิทหัวฟู และด้วยโชคชะตาทำให้เขาได้พบกับ
"พิมพ์" (ฟ้า" ยงวรี) และ
"ช้าง" (ฟิลลิปส์ The Face) เพื่อนสมัยเด็กของเขา และทั้งหมดเริ่มจะฟื้นฟูความสัมพันธ์กัน โดยระหว่างนั้นก็มีกลุ่ม "เชียงอิน" ที่มุ่งทำลาย "ยูท่า" (อยุธยาน่ะแหละ) มานานเริ่มเคลื่อนไหว และด้วยเหตุมากมายทำให้ทั้ง 3 เข้ามาเกี่ยวข้องกับชะตากรรมบ้านเมืองอย่างเลี่ยงไม่ได้ เกิดเป็นปมรักปมแค้นขมวดทับซ้อนกันไปมา.. สุดท้ายจะลงเอยอย่างไรต้องไปติดตามชมกัน
ส่วนที่ชอบ : ก่อนอื่นต้องชม "ความกล้า" ของทีมสร้างที่ใจถึงจริงๆ ในการนำเสนอมุมมองใหม่ๆ นำ "ขุนช้าง-ขุนแผน" ที่เราคุ้นเคย-ถูกนำมาเล่าจนเราจำกันขึ้นใจ ไปตีความใหม่ให้แหวกแนวไปเลย ต้องใช้ว่า "แหวกแนว" ไปเลยมากกว่า "ทันสมัยขึ้น" อย่างฉากก๊งเหล้า ที่มีไม้ไผ่ทาวเวอร์ (เหมือนเบียร์ทาวเวอร์) นั่งๆ ดริ้งอยู่มีจ้างหอบวิ่งผ่าน (ล้อแท็กซี่ แถมมีมุขตะโกน "ว่างจ้า" แต่พอจะให้ไปส่ง บอกเลิกงานแล้วด้วยนะเออ! เอาสิ) เราคงไม่เรียกสิ่งเหล่านี้ว่าทันสมัยขึ้น แต่มันแหวกแหกคอกไปเลย ซึ่งไอเดียแหกๆ เหล่านี้ที่พูดปากเปล่าฟังตะหงิดๆ แต่พอหยิบไปใส่ในหนังจริงๆ มันเวิร์คเฉยเลย ไม่รู้สึกฝืนใดๆ ซึ่งน่าจะเป็นเพราะหนังปูความแหกมาตั้งแต่เริ่มเรื่องอยู่แล้ว ทำให้หลังจากนั้นจะโยนมุขอะไรมามันก็ไม่รู้สึกขัดในใจ
.
พูดถึงเรื่องโยนมุขต่างๆ มา คนที่ lead เกิน 80% จะเป็นนักแสดงนำอย่าง "มาริโอ้ เมาเร่อ" หรือ "ไอ้แก้ว" (หรือขุนแผนในอนาคตนั่นเอง) ซึ่งใครเคยดูพี่มากก็น่าจะนึกภาพออก พี่แกเอาอยู่ทั้งหมด คิวตลกมาถี่แค่ไหนไม่หวั่น รับส่งคล่องเป็นธรรมชาติมาก เดินเรื่องได้อย่างโปรสุดๆ แต่ที่ต้องชมเพิ่มเติมคือคิวดราม่า หลายคนอาจมองว่านี่คือหนุ่มหล่อทั่วไปเหมือนดาราชายได้แรงอวยสาวกรี๊ด แต่อย่าได้ดูถูกดารานำของหนังหม่อมน้อยเด็ดขาด.. นี่คือนักแสดงนำ "จันดารา" ที่ดราม่าข้นเบอร์ต้นๆ ของหนังไทย เพราะงั้นซีนอารมณ์ในขุนแผนฟ้าฟื้น มาริโอ้จัดเต็มทุกเม็ด ไม่มีขาดไม่มีเกิน ทำให้หนังที่เหมือนไม่มีอะไร ฮาไร้สาระไปเรื่อย ถึงช่วงดราม่าในท้ายเรื่อง มาริโอ้ถ่ายทอดให้หนังมีมิติได้อย่างดี
.
การจัดแสงทำได้ดีมาก บางครั้งจะใช้การจัดแสง parody หนังแนวอื่นๆ ด้วย อย่างฉากเข้าผับที่แก้วกับพิมพ์นั่งมองตากัน จะสังเกตว่ามันเป็นการจัดแสงที่เรามักเห็นในหนังวัยรุ่น มีการล้อด้วยจังหวะ ด้วยไดอะล็อกต่างๆ ชวนให้เปลี่ยนอารมณ์เป็น Romantic ไปโดยอัตโนมัติ... และที่ต้องชมเป็นพิเศษคือฉากดึงดาบ! โทนเย็นของสีฟ้า ตัดคอนทราสต์ให้เกิดเงาบนตัวละคร มีไอลอยฟุ้งๆ ทำให้ดูเข้มขลัง เรียกว่าสวยแบบติดตาตรึงใจไปเลย
อีกนิดหนึ่งคือส่วนของ "บท" ที่มองเผินๆ เหมือนไม่มีอะไร เล่นตลกหยอดไอเดียแหวกแนวไปเรื่อย แต่ดูดีๆ มีชั้นเชิงเหมือนกัน โดยหนังหยิบเอากิมมิคหลายอย่างจาก "ขุนช้าง-ขุนแผน" ต้นฉบับมาอิงกับ timeline แต่ละช่วงเวลาของ version นี้ เช่น ใครที่อ่านขุนช้าง-ขุนแผนมาก็จะทราบดีว่าคาถาหรือกลแรกๆ ที่ขุนแผนทำได้ คือ "สะเดาะกุญแจ" ซึ่งแมทช์กับฉากแรกที่แก้วใช้วิชา "กุญแจผี" หนีเข้าไปหลบในรถม้า หรืออย่างของวิเศษต่างๆ ที่ขุนแผนมีก็อิงจากตำนานเดิมอย่างครบถ้วน (ใครรู้ข้อมูลอยู่แล้วว่าแต่ละอย่างทำอะไรได้ ก็น่าจะเก็ทพอถึงฉากเหล่านั้น)
ไหนๆ ก็พูดเรื่องกิมมิคแล้ว ในฉบับ ขุนแผนฟ้าฟื้น มีการตีความขุนช้างใหม่ด้วยนะขอรับ ซึ่งส่วนตัวแล้วค่อนข้างชอบ และทำให้รู้สึกว่าขุนช้างกลายเป็นตัวละครที่น่าสนใจที่สุดในเรื่องไปเลย แกดูมีมิติเอามากๆ ยิ่งพ่วง end credit เข้าไปอีกน่าติดตามว่าบทจะ develop ตัวละครนี้ไปอย่างไรในอนาคต
ส่วนที่ไม่ชอบ : อย่างแรกเลยคือการนำเสนอไอเดียแหวกแนว ที่บางครั้งมันเล่นล้นเกินไปจนรู้สึกว่า "ตัดออกก็ไม่เสียหาย" เพราะมันออกนอกลู่นอกทางจนแอบคิดไปถึงหนังคุณพจน์เหมือนกันนะ คือมันเกือบๆ จะไร้สาระจนพังซีนดีๆ เข้าให้แล้ว (ฉากขี่กุมาร นี่คือ...ไม่ต้องเล่นขนาดนี้ก็ได้ล่ะมั้ง) พูดให้นึกภาพง่ายๆ มันเหมือนนักร้องที่ร้องท่อนนั้นได้ดีแล้ว แต่ดัน improvise แล้วมันเยอะไปจนน่ารำคาญ.. แล้วมันดันมีบ่อยด้วยสิจังหวะแบบนั้นในหนัง
อีกจุดที่หลายสื่อบอกเป็นจุดด้อย แต่ส่วนตัวไม่กล้าพูดเต็มปาก (highlight ตอนท้ายก็เอาเรื่องอยู่นะ.. นั่นแหละ ตอนจูเรนเจอร์น่ะ) แต่ส่วนใหญ่ซัก 70% ของ CGI ทำออกมาไม่ดี ไม่รู้เป็นคนเดียวรึเปล่าที่รำคาญ CGI กุมารมาก (มันลอยๆ ไม่เนียนตา พาลให้นึกถึงการ์ตูน จ๊ะทิงจา ทุกครั้ง) คือให้น้องรถบัส-ภคพล มาเล่นทุกฉากไปเลยยังรู้สึกดีกว่า น้องเล่นน่ารักดีด้วย นอกนั้นก็มีความลอยให้เห็นเป็นระยะ เช่น งูเลื้อย , อีกาบิน ต่างๆ นาๆ
ในส่วนการเดินเรื่องแม้จะไหลลื่นเรื่อยเปื่อยดี ไม่มีอะไรติดขัด แต่รู้สึกหนังให้ความเข้มข้นในการบิ้วด์ปมต่างๆ น้อยไปนิด ชีวิตของแก้วที่ในหนังชอบโยนคำว่า "คนเถื่อน" เอาใส่ โดนดูถูกเรื่องพ่อ กดหยามเหยียดต่างๆ ถ้าให้ความสำคัญขยี้กันหน่อย คงทำให้จุดพีคมันถึงใจกว่านี้ รวมถึงปมความแค้นของเชียงอิน-ยูท่า ที่รู้สึกเบาๆ มาตั้งแต่แรก พอบรรจบกันการต่อสู้ช่วงท้าย ทำได้อลังการแต่ไร้อรรถรส ไม่รู้สึกถึงความลึกด้านอารมณ์ เหมือนดูคนมีความหลังมาสู้กันแล้วเข้าใจว่ามาสู้กันทำไม แต่ไม่อินไปมากกว่านั้น (ถ้าจะให้เห็นภาพ ขอยกตัวอย่างหนังที่ตอนท้ายพีคเพราะก่อนหน้าบิ้วด์มาดี อย่าง บางระจัน ที่คอหนังบ้านเราประทับใจนายจันหนวดเขี้ยว ประทับใจนายทองเหม็นแบบไม่รู้ลืม บอกมาจากโรงทุกคนก็ยังพูดถึงซีนเหล่านั้น)
สุดท้ายที่ส่วนตัวรู้สึกแย่ที่สุดกับหนัง คือ "ความไม่ make sense" ซึ่งพูดไปยังไงก็สปอยล์... จึงขอยกตัวอย่างคร่าวๆ เช่น การให้ขุนช้างสู้มือเปล่าทั้งที่พกดาบไว้ข้างหลัง 2 เล่ม
ซึ่งตอนแรกก็พยายามคิดบวกว่า "เอ หรือแกถนัดสู้มือเปล่า?" แต่ไม่..เพราะสุดท้ายก็เอาดาบออกมาสู้อยู่ดีอย่างไม่มีนัยสำคัญใดๆ , หรืออีกฉากที่แก้วใช้วิชาหายตัว (นะโมเคลื่อนย้าย) แทนที่จะวาร์ปไปในจุดได้เปรียบแล้วเล่นงานศัตรู แกกลับวาร์ปไปไกลๆ แล้ววิ่งแหกปากมากระโดดฟันให้ศัตรูรู้ตัวซะอย่างนั้น , เช่นเดียวกับวิชาล่องหนของพี่แก พอจะใช้กลับตะโกนแหกปาก (ทั้งที่หายตัวอยู่นะ) ให้ศัตรูรู้ตัวโดยไม่ต้องเสียเวลาหา (แล้วพี่จะใช้ทำไมครับนี่)... นี่คือตัวอย่างความไม่ make sense ซึ่งเป็นดีเทลเล็กๆ แต่ก็น่าจะใส่ใจกว่านี้หน่อย เพราะมันทำให้ช่วงท้ายสำหรับผู้เขียน รู้สึกน่าเบื่อแทนที่จะตื่นเต้นกับ boss fight (แถมเอาเข้าจริงฉาก boss fight ก็ดันไปอิงกับ live action เรื่องหนึ่ง แล้วเรื่องนั้นก็ทำได้ดีกว่าขุนแผนฟ้าฟื้นหลายเท่า มันเลยเกิดข้อเปรียบเทียบอย่างช่วยไม่ได้)
โดยสรุปแล้ว : ขุนแผนฟ้าฟื้น เป็นก้าวที่กล้ามากๆ ของคนทำหนังไทย พวกเขาเลือกเล่าเรื่องที่ทุกคนรู้จักกันดี มาตีความใหม่ใส่ความโมเดิร์นลงไปแบบเต็มสูบ และไม่ลืมที่จะหยิบกิมมิคจากตำนานต้นฉบับมาแทรกไว้อย่างลงตัว แต่ด้วยความที่มันคือ "ภาคเริ่มต้น" หลายอย่างยังดูขาดๆ เกินๆ ทำให้งานโดยภาพรวมไปไม่ถึงขั้นดีเลิศ แต่มันจะเป็นก้าวสำคัญที่ให้เปิดให้ทีมงานได้ทดลองทำส่วนนั้นส่วนนี้ ทิ้งปมน่าสนใจเอาไว้มากมาย และแน่นอนว่าบทเรียนจากภาคนี้ จะถูกนำไปปรับให้หนังดีขึ้นในภาคต่อไปแน่นอน
--------------------
ดูกันแล้วคิดเห็นอย่างไรกันบ้างครับ? สำหรับหนังไทยสุดแหวกแนวเรื่องนี้
อ่านแล้วชอบ ติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://www.facebook.com/SiamRamaClub/