ในฐานะแฟนนิวฯ วันนี้ว่างๆเลยเอางบของนิวคาสเซิลย้อนหลังมาสรุปให้แฟนๆนิวได้ชื่นใจกัน

ตัวงบผมเอามาจากเอกสารที่ทางสโมสรยื่นบัญชีประจำปีนะ จริงๆมันละเอียดกว่านี้แต่ขี้เกียจลงไว้ในตาราง(ในตารางปี 2016/2017 กับ 2009/2010 คือปีที่เล่นในแชมเปี้ยนชิปนะ) สรุปคร่าวๆแบบนี้ละกัน

1.ตั้งแต่เฮียแกซื้อสโมสรไปเมื่อปี 2007 (150 ล้านจ่ายให้เจ้าของเดิม) ก็ลงเงินมาให้สโมสรในรูปแบบเงินกู้ไม่คิดดอกเบี้ย คิดแล้วประมาณ 110-140 ล้านปอนด์ เงินก้อนเนี่ยคือเงินที่เอามาใช้หมุนเวียนดำเนินงานจ่ายเป็นค่าเหนื่อย ค่าดูแลสโมสรต่างๆ จนปัจจุบันเงินก้อนนี้ก็ยังไม่ได้เรียกคืน คือในบัญชีก็จะลงว่าเป็นเงินกู้ค้างไว้แบบนั้น ข้อดีคือสโมสรไม่ต้องกู้ธนาคารแล้วเสียดอกเบี้ย แต่ถ้าเทียบกับเจ้าของคนอื่นแบบแมนซิหรือเชลซี พวกนี้ตอนแรกก็ให้เงินกู้มาก่อนเหมือนกัน แต่ตอนหลังก็เปลี่ยนเป็นเพิ่มทุนเข้าไปแทน แต่ไมค์ไม่เคยเพิ่มทุนเลย

2.ข้อดีของเฮียคือแกพยายามทำให้สโมสรไม่มีภาระค่าใช้จ่ายที่สูงเกินตัว (จะได้ไม่ต้องควักเพิ่ม 555) ตอนปี 2007 ที่ซื้อสโมสรตัวแดงพอควรละ สังเกตตั้งแต่ปี 2008/2009 จนถึงปีปัจจุบันนะ กำไรจากการดำเนินงานจากเมื่อก่อนติดลบปีละ 30 มาปัจจุบันกลับเป็นบวกละ มีตอนปี 2016/2017 ที่หนัก เพราะตกชั้นไปนั้นแหละ ไม่ค่อยแนะนำให้ดูกำไรสุทธิเท่าไหร่ เพราะว่ามันเกี่ยวกับกำไรจากการขายนักเตะซึ่งมีความไม่แน่นอนสูง

กำไรจากการดำเนินงานคืออะไร หลักๆคือรายได้ ลบกับค่าเหนื่อยนักเตะ และค่าเสื่อมราคาของนักเตะ ซึ่ง 2 รายการนี้ กำลังทำให้สโมสรใหญ่ๆอ่วมกันหนักมาก สโมสรแบบเชลซี แมนซิ รายการพวกนี้ติดลบหนักกว่านิวคาสเซิลเยอะ แต่ที่เราเห็นเขารายงานว่ามีกำไร เพราะ มีกำไรจากการขายนักเตะเข้ามาช่วยพยุงไว้

ในแง่การบริหาร ถ้าดูเฉพาะตัวเลขต้องยอมรับว่าตาไมค์แกทำให้สโมสรเรากลับมาอยู่ในฐานะที่เป็นองค์กรที่พออยู่ได้ ไม่ต้องกลัวว่าอยู่ดีๆจะล้มละลายไปดื้อๆ แต่บริหารแบบนี้ถ้าตกชั้นแล้วกลับมาไม่ได้ ก็ไม่มีประโยชน์ ตกชั้นไปก็เจ๊งอยู่ดี 55555

เกล็ดเล็กเกล็ดน้อย เชื่อมั้ยว่า กำไรจากการดำเนินงาน กับ กำไรสุทธิของนิวคาสเซิล ถ้าเอางบตั้งแต่ปี 2009 - 2018 มารวมกัน กำไรรวมยังดีกว่าลิเวอร์ แมนซิ เชลซีอีกนะ แต่ถ้านับแค่ 5 ปีหลังก็ไม่ได้ขี้เหล่กว่าเท่าไหร่เลย ทั้งๆที่ตกชั้นไปด้วย

ในแง่ธุรกิจ ถือว่าดีครับ
แต่ในแง่ของฟุตบอล ผมว่าไม่

คือถ้าแกไม่บ้าๆบอๆแล้วรั้งราฟาไว้ได้มันก็ไม่ต้องกลับไปลุ้นตกชั้นอีกป่าวเนี่ยเม็ดเงินคนละเรื่องเลยเฮียตือสงสารแฟนบอลจริงๆ

สองพี่น้อง Longstaff คงทำกำไรให้อีกเพียบ พัฒนาฟอร์มเยอะๆ ทีมใหญ่รอนายอยู่

ในไทย แทบไม่ค่อยมีคนเขียนเรื่อง amortisation กับฟุตบอลเลย ในต่างประเทศก็นานๆเห็นที


อันนี้ ถาม จขกท ต่อว่า เข้าใจถูกไหม ถ้ามองจาก amortisation

สมมุติซื้อ A มาด้วยราคา 50 ล้าน สัญญา 5 ปี
สโมสรใช้งานไปได้ 2 ปี พอปีที่ 3 ก็ตัดสินใจขาย A ในราคา 35 ล้าน
เท่ากับว่า สโมสร จะลงบัญชีของ A ในปีนี้ = -(50-20)+35 = กำไร 5 ล้าน

ถ้าคิดแบบทั่วไป ก็จะชอบเอา -50+35 = ขาดทุน 15 ล้าน

ถูกครับ ถ้าขายตอนต้นปีที่ 3 ก็จะได้กำไร 5 ล้าน

วิธีคิดแบบทั่วไปที่ชอบเอามาบวกลบกันตรงๆ ถ้าให้พูดกันจริงๆก็ไม่มีประโยชน์ในด้านการบริหารงานเลย เพราะในแง่กระแสเงินสดก็ไม่ตรงกัน

ถ้าไม่คอรัปชั่นภายในกับเรื่องทะเลาะกันเอง ก็น่าจะไปได้ไกลกว่านี้

เอาเข้าจริงๆ หลังจากตกชั้นไป 2 รอบนี่ ถือว่าบริหารรัดกุมขึ้นเยอะ ขนาดตอนจะซื้อ อัลมิรอน ยังต้องดูแนวโน้มเลยว่ามีโอกาสรอดตกชั้นอยู่ เลยไปกู้เงินธนาคารมาซื้อ (เพราะมั่นใจว่าปีหน้ามีกระแสเงินมาจ่ายพอแน่ๆ)

ความเสี่ยงเดียวตอนนี้คือ Joelinton นี่แหละ ที่ซื้อจัดว่าแพงเกิน แต่ก็เข้าใจ ตำแหน่งนี้มันหาคนเล่นยาก ถ้าไม่ซื้อก็ไม่มีใครเล่นได้ละ หน้าเดี่ยวพักบอล เล่นคนเดียวได้ทั้งบนพื้นและลูกกลางอากาศ (ไม่นับแคร์โรลนะ เพราะเดี๋ยวก็เจ็บอีก)

แต่ก็ถือว่าถัวๆกะค่าตัว Maximin ละกัน เพราะรายนั้นผมถือง่าได้มาถูกกว่าราคาตลาดอีก

พอดีช่วงปิด season ผมไม่ได้ตามข่าวเลย นึกว่าจะรอเฮตอนเปลี่ยนเจ้าของ 555 แล้วทำไมถึงไม่ซื้อขาด Rondon นะครับ ส่วนฟอร์ม Joelinton ผมภาวนาให้ที่เห็นๆอยู่ตอนนี้คือกำลังปรับตัว จะมีโหดกว่านี้เยอะๆมาในอนาคตนะ T__T

นโยบายซื้อขายของราฟาไม่ตรงกับเบื้องบนอะครับ (พอราฟาไป พวกเลยซื้อแหลก)
ส่วน Joelinton ผมว่าเค้าไม่มีคน support มากกว่า อย่างอยู่ ฮอฟเฟนไฮม์ มันจะมี Krmaric เล่นด้วย

เอาเข้าจริงๆ นาทีนี้เอา Carroll ลงยังจะน่ากลัวกว่า เดี๋ยวรอ matt ritchie ตัวโยนหายเจ็บก่อน อาจจะได้เห็นบอลอังกฤษดั้งเดิมกลับมาแน่ๆครับ

ตอนจบแมตซ์ล่าสุดทีชนะแมนยู มีภาพตัดมาที่ห้องวีไอพีตาไมค์ปรบมือ+ยิ้มดีใจ
//สรุปเราก็ต้องลุ้นสภาพแบบนี้ต่อไปปราบที่จขทยังเป็นคนนี้...

นัดเจอแมนยู ผมว่าก็บอลอังกฤษโบราณแล้วนะคับ
หน้าเป้าสูงใหญ่พักบอล ให้ปีกสองตัวเร็วจี๊ดเติมเกมรุก
คู่กลางพี่น้องไล่ตัดบอล แย่งได้ เซ็ทบอลขึ้นหน้า
เล่นไม่กี่จังหวะถึงหน้าเขตโทษฝ่ายตรงข้าม
ติดตรงเซนเตอร์ยืนสาม วิงแบคช่วยรุกได้เยอะอยู่

เราควรดู EBITDA หรือเงินสดจากการดำเนินงานจะสะท้อนคุณภาพของสโมสรฟุตบอลมากกว่ามั้ยครับ
เพราะลักษณะทีมที่ประสบความสำเร็จจะมีนักเตะที่มีมูลค่าสูง จะมี capex สูง amortize ก็จะสูงตาม

เช่นถ้าผมเป็นสปอนเซอร์ ผมคงดู EBITDA เพราะมันสะท้อนเงินที่เข้ามาจริงๆ

ในภาพใส่หน่วยผิดนะครับ
ล้านปอนด์จะต้องเปลี่ยนเป็น (พันปอนด์)

จากประสบการณ์ทำงานผม EBITDA ผมได้ใช้จริงๆตอนที่จะดูว่าบริษัทที่ขอกู้เงินมี Cashflow เข้ามาปีละเท่าไหร่ครับ เพื่อพิจารณาในการตัดสินใจว่าจะให้กู้เงินกี่ปีแล้วเงื่อนไขการผ่อนชำระเป็นยังไง อีกฝั่งที่เห็นมีการใช้คือพวกนักวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ที่จะใช้วิเคราะห์มูลค่าบริษัทสำหรับนักลงทุนที่จะซื้อกิจการ แต่ส่วนใหญ่จะใช้กับพวกบริษัทที่มีการลงทุนหนักๆแบบกลุ่มสื่อสารหรือปิโตรเคมี สำหรับสปอนเซอร์ผมคิดว่าเขาน่าใช้ฐานแฟนบอลหรือความนิยม หรือตัวนักเตะรายตัวในทีมเป็นการตัดสินใจเป็นผู้สนับสนุนมากกว่าว่าทีมกับแบรนด์สินค้าไปด้วยกันได้มั้ยมีฐานลูกค้าที่เจาะจงไปได้ตรงกันรึเปล่า ซึ่งพวกนี้มันจะไปสะท้อนในแง่รายรับเอง รายรับเยอะก็มีเงินจ่ายค่าตัวเยอะ ทำให้ค่าเสื่อมสูงไปด้วย

ปัญหาของ EBITDA อีกอย่างนึงในการจะใช้วัดมูลค่าของทีมในธุรกิจฟุตบอล ในมุมมองของผมคือ นักเตะหลายๆคนไม่ได้ถูกตีเป็นสินทรัพย์ครับ ตัวอย่างง่ายๆเลยคือบาร์เซโลน่ายุคที่มี เมสซี่ ซาบี้ อิเนสต้า บุสเกต ในเชิงบัญชีมูลค่าคือ 0 และก็ไม่ได้มีการตัดค่าตัดจำหน่าย(ค่าเสื่อม)สำหรับ 4 คนนี้เลย ดังนั้นจะ EBITDA หรือ EBIT ก็ไม่ต่าง (พูดถึงแค่ 4 คนนี้นะ) หรือแมนยูฯ ยุคสโคลล์ เบ็ค กิ๊กส์ ก็เช่นกัน อันนี้ในกรณีดาวรุ่งนะ ยังมีกรณีที่นักเตะอยู่จนครบสัญญาแรกแล้วต่อออกไปอีก พวกนี้ก็ถูกตัดค่าเสื่อมหมดเช่นกัน ปีต่อๆไปก็จะไม่เห็นในส่วนค่าตัดจำหน่ายเช่นกัน หรืออย่างเช่นนักเตะแบบอเล็กซิส แรมซี่ ที่ย้ายฟรี สโมสรที่จะซื้อรู้ว่าไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าตัวเลยให้ค่าเหนื่อยสูง พวกนี้ก็จะไม่เห็นในค่าตัดจำหน่ายเหมือนกัน แต่จะไปบวมตรงส่วนค่าเหนื่อนแทน อีกอย่างถ้าจะให้พูดกันตรงๆ ยุคนี้นักฟุตบอลที่ราคาแพง แต่ไม่ได้มีมูลค่าการตลาดหรือฝีเท้าอะไรเลย ก็เยอะครับ

แต่จริงๆในแง่ของการบริหารทีมฟุตบอล ผมคิดว่าการจะใช้อัตราส่วนทางการเงินแบบหลักวิชาไฟแนนซ์มาวัดนี้ค่อนข้างยากเหมือนกัน แม้แต่กำไรจากการดำเนินงานก็ไม่ได้วัดอะไรมากในเชิงมูลค่าบริษัท อย่างนิวคาสเซิลรายได้น้อยกว่าทีมใหญ่ๆ 2-3 ร้อยล้านต่อปี ฉะนั้นต่อให้กำไรจากการดำเนินงานรวมๆหลายปีมากกว่า แต่ในแง่ความมั่นคงของสโมสรก็ไม่ได้ดีกว่าเลย แย่กว่าด้วยซ้ำ

ขอบคุณครับ ลืมไปเลย