ไว้คราวหน้า X
ไว้คราวหน้า X
ไม่ต้องแสดงข้อความนี้อีกเลย
ไปหน้าที่ 1
ไปที่หน้า
GO
ตั้งกระทู้ใหม่
ฝากรูป
ผู้ตั้ง
ข้อความ
ออฟไลน์
ดาวเตะพรีเมียร์ลีก
Status: พุงพลุ้ยคุยบอล กลับมาแล้ว
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 06 Oct 2010
ตอบ: 4354
ที่อยู่: บนโลกนี้แหละ...
โพสเมื่อ: Wed Jul 24, 2019 01:40
(Day 74)สรุปข่าวประจำวันแค่ 7 นาทียกระดับความรู้รอบตัวของพวกท่าน
{ (Day 74) มาร่วมสละเวลาเล็กน้อยเพิ่มความรู้รอบตัวกันครับ }

---จุดประสงค์เพื่อ---

⦿ ผลักดันตนเองให้อ่านหนังสือ
⦿ เป็นแนวทางให้เพื่อนสมาชิกเห็นว่า อย่างน้อยที่สุด อ่านวันละ 7 นาทีก็เพิ่มพูนความรู้ให้แก่ตนเองได้
⦿ ตราบใดมีลมหายใจ การศึกษาคือการเรียนรู้ตลอดชีวิต



ฝากกด Like Page ผมด้วยนะครับ พอดีกำลังเริ่มทำเพจครับ


https://www.facebook.com/FatMantalk/




ส่งออกไทยวิกฤติ ยอดเดือนมิถุนายนติดลบ 2.1% สินค้าส่งไปจีนหดตัวหนักที่สุดเกือบ 15%






ตัวเลขการส่งออกในเดือนมิถุนายนของไทยยังวิกฤติ ตัวเลขรวมของการส่งออกไทยติดลบ 2.1% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา แต่ถ้าหากหักการส่งออกทองคำออกไปแล้ว เดือนมิถุนายนที่ผ่านมาส่งออกจะติดลบถึง 8.7% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา


ส่งออกไทยยังวิกฤติ ตัวเลขการส่งออกไทยเดือน มิ.ย. 2019 โดยรวมหดตัวที่ -2.1% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา แต่หากหักทองคำ การส่งออกหดตัวถึง -8.7% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และถ้าหากไม่รวมการส่งกลับอาวุธไปยังสหรัฐฯ ในเดือน ก.พ. มูลค่าส่งออกของไทยหดตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 8 และในช่วงครึ่งแรกของปี 2019 มูลค่าการส่งออกหดตัวที่ -4.4% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา


สินค้าสำคัญที่มีการหดตัวยังคงเป็นสินค้าที่เป็นส่วนหนึ่งในห่วงโซ่อุปทานของการผลิตสินค้าส่งออกของจีนที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ เช่น

คอมพิวเตอร์-อุปกรณ์และส่วนประกอบ -15.5% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
เคมีภัณฑ์และพลาสติก -19.3% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
แผงวงจรไฟฟ้า -20.6% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ยังมีสินค้าส่งออกประเภทอื่นที่มีการหดตัว เช่น ข้าว เม็ดพลาสติก เครื่องใช้ไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์ยาง รวมไปถึงน้ำตาลทราย ขณะที่สินค้าสำคัญที่มีการขยายตัวในเดือน มิ.ย. คือยางพาราที่ส่งออกเติบโตถึง 11.8% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา จากการส่งออกยางพาราไปยังตลาดจีนและสหรัฐ

สำหรับตัวเลขการส่งออกของไทยในเดือนที่ผ่านมาหดตัวเกือบทุกตลาดสำคัญ

การส่งออกไปจีนที่หดตัวถึง -14.9% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
การส่งออกไป CLMV ที่หดตัว -9.3% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา แยกรายละเอียดได้ดังนี้
กัมพูชา หดตัวมากจากการส่งออกจักรยานยนต์
ลาว หดตัวมากจากการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูป
เมียนมา หดตัวมากจากการส่งออกเครื่องจักร
เวียดนาม หดตัวมากจากการส่งออกเม็ดพลาสติก
อย่างไรก็ดี การส่งออกไปยังอินเดียยังสามารถขยายตัวได้ที่ 8.1% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยตัวเลขดุลการค้าในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมานั้นดุลการค้าของประเทศไทยยังเกินดุลที่ 3,212 ล้านดอลลาร์สหรัฐ


การส่งออกที่หดตัวต่อเนื่อง มีแนวโน้มทำให้ GDP ไตรมาส 2 ของปีนี้ชะลอตัวจากไตรมาสแรก สะท้อนว่าสถานการณ์ด้านส่งออกในช่วงไตรมาส 2 ยังไม่มีทิศทางดีขึ้นจากไตรมาสแรก นอกจากนี้ SCB EIC ยังมีมุมมองที่ว่าการหดตัวที่ต่อเนื่องของภาคส่งออกได้เริ่มกระจายไปยังภาคเศรษฐกิจอื่น ๆ เช่น การชะลอลงของภาคท่องเที่ยวและการลงทุนภาคเอกชน จึงทำให้คาดว่า GDP ไตรมาสที่ 2 จะมีแนวโน้มชะลอลงจากไตรมาสแรกที่ขยายตัว 2.8% ทั้งนี้ SCB EIC ยังคงมุมมองอัตราการขยายตัวของ 2019 GDP ที่ 3.1%




















เมื่อยอดขายน้ำอัดลมหดตัว Coca-Cola เตรียมส่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลงสู่ตลาด เริ่มขายปลายปีนี้







การขายธุรกิจไปสู่ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ของ Coca-Cola เกิดขึ้นมาสักพักแล้ว เนื่องจากธุรกิจน้ำอัดลมหดตัวจากกระแสรักสุขภาพ ตัวอย่างที่ทำให้เห็นภาพชัดที่สุดคือการเข้าซื้อ Costa Coffee เพื่อบุกธุรกิจกาแฟ

ล่าสุด Coca-Cola จะลุยตลาดแอลกอฮอล์ในญี่ปุนแล้ว ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของแบรนด์ที่ทำเรื่องนี้



ทดลองในตลาดญี่ปุ่นแล้วประสบความสำเร็จ
Coca-Cola ญี่ปุ่นประกาศเตรียมขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยจะเริ่มวางขายในร้านสะดวกซื้อและซุปเปอร์มาร์เก็ตทั่วประเทศญี่ปุ่น ตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคมของปี 2019 นี้เป็นต้นไป

เขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่! Coca-Cola ประกาศขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ครั้งแรกในรอบ 130 ปี
ผลิตภัณฑ์ใหม่นี้จะมีชื่อในภาษาอังกฤษว่า Coca-Cola’s Lemon-Do โดยจะเป็นเครื่องดื่มที่เรียกว่า “Chuhai” (ชูไห่) ซึ่งมาจากการผสมน้ำโซดาที่มีกลิ่น-รสชาติกับโซจู ทำให้มีรสชาติหวานซ่าแต่มีแอลกอฮอล์ เครื่องดื่มชนิดนี้บางคนเรียกว่า “เหล้าหวาน”

Coca-Cola ญี่ปุ่นได้ทดลองผลิตภัณฑ์ตัวนี้ในประเทศมาก่อนหน้าตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์แล้ว โดยทดลองหลายรูปแบบตั้งแต่ที่มีแอลกอฮอล์ 3%, 5%, 7% และ 9% ผลตอบรับที่ได้เป็นไปในทางบวก ทำให้ตัดสินใจเตรียมส่งขายทั่วประเทศในปีนี้

อย่างไรก็ตาม เครื่องดื่มลัษณะนี้ แบรนด์แอลกอฮอล์รายใหญ่อย่าง Suntory, Asahi และ Kirin มีขายในตลาดนานแล้ว เรียกได้ว่าครั้งนี้นอกจากที่ Coca-Cola จะเปิดผลิตภัณฑ์ใหม่แล้ว ในอีกทางหนึ่งก็กำลังจะแย่งส่วนแบ่งตลาดจากพี่ใหญ่แบรนด์แอลกอฮอล์อีกด้วย









ส่องพฤติกรรมนักช็อปสายเหนือถึงใต้ กล้าจ่าย พร้อมเพย์…โอกาสใหญ่ธุรกิจ








ท่ามกลางเศรษฐกิจที่เติบโตลดลงต่อเนื่อง ทำให้ภาพรวมสินค้าอุปโภคบริโภคตลอดช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เติบโตเฉลี่ยเพียง 1.4% เท่านั้น ขณะที่ปีนี้คาดการณ์ว่าภาพรวมตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคจะโต 4-6% จากการเปิดตัวสินค้าใหม่และค้าปลีกเมืองรองที่เข้ามามีบทบาทต่อธุรกิจนี้มากขึ้น

ความน่าสนใจจังหวัดรองอยู่ที่ฐานประชากรหลัก คือ คนที่มีอายุ 12-39 ปี ซึ่งกล้าลองอะไรใหม่ ๆ พร้อมจ่าย กลายเป็นอีกโอกาสสำคัญของผู้ประกอบการ




“สมวลี ลิมป์รัชตามร” กรรมการผู้จัดการ บริษัท เดอะ นีลเส็น คอมปะนี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า จากรายงาน “เปิดประตูสู่เมืองรอง” โดยศึกษาเฉพาะจังหวัดที่มีประชากร 1-5 ล้านคน และมีผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด คิดเป็น 35% พบว่าไทยมีเมืองรอง 18 จังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งเมืองรอง จะมีการขยายตัวของสังคมเมืองเพิ่มเป็น 62% เมื่อเทียบกับกรุงเทพฯที่มี 18% ขณะเดียวกัน ประชากรส่วนใหญ่ของเมืองรอง คือ กลุ่มอายุ 12-39 ปี และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเป็น 77% ของประชากร โดยคนกลุ่มนี้กล้าใช้จ่าย กล้าลองอะไรใหม่ ๆ แม้การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตจะเฉลี่ยอยู่ที่ 2-3 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งน้อยกว่ากรุงเทพฯที่ใช้เวลามากกว่า 7 ชั่วโมงต่อวัน



อีกศักยภาพน่าสนใจ คือ ความสามารถในการดึงเม็ดเงินจากการท่องเที่ยว ซึ่งจากการศึกษาพบว่ารายจ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างประเทศที่ใช้จ่ายในเมืองรองสูงถึง 30% ของรายได้นักท่องเที่ยวทั้งหมดที่มีมูลค่าประมาณ 3 ล้านล้านบาท

นั่นหมายถึง เมืองรองกำลังกลายเป็นแรงขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจสำคัญของไทยในอนาคต ประกอบกับอีก 5-10 ปีข้างหน้ารัฐบาลจะมีโครงการเมกะโปรเจ็กต์ต่าง ๆ กระจายเข้าไปในแต่ละจังหวัดรวมไม่ต่ำกว่า 44 โปรเจ็กต์ ทำให้อัตราการจ้างงานก็จะเพิ่มขึ้น เศรษฐกิจในจังหวัดนั้น ๆ ก็จะโตขึ้น




ด้วยแนวโน้มที่เกิดขึ้น กลายเป็นโอกาสสำคัญของผู้ประกอบการค้าปลีกและสินค้าอุปโภคบริโภคที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ขณะที่โจทย์ใหญ่คือจะเจาะเข้าหาผู้บริโภคกลุ่มนี้ได้อย่างไร

“สมวลี” บอกว่า ปัจจุบันนี้ผู้ผลิตสินค้าและค้าปลีกหลายรายให้ความสนใจในการบริหารประเภทสินค้าและความหลากหลายของสินค้ามากขึ้น ซึ่งส่งผลให้ยอดขายโตได้กว่า 20% ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการต้องศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคแต่ละภาคให้ชัดเจน




“การทำโฆษณา โปรโมชั่น ต้องพิจารณาถึงความแตกต่างของผู้บริโภคแต่ละภาคด้วย เนื่องจากผู้บริโภคต่างกันชัดเจน ดังนั้น การทำกลยุทธ์เดียวแล้วเจาะทุกตลาด คงไม่ได้ผลแล้ว”




ยกตัวอย่างเช่น ภาคเหนือ ชอบซื้อสินค้าที่ออกใหม่ ซื้อไซซ์เล็ก เพราะมีกำลังซื้อน้อย ส่วนภาคใต้ชอบสินค้าพรีเมี่ยม เพราะเป็นเมืองท่องเที่ยว ประชากรมีรายได้สูง หรือภาคกลางที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมเพราะมีคนย้ายถิ่นฐานเข้ามาทำงาน ทำให้สินค้าที่มีนวัตกรรมขายดี เป็นต้น ดังนั้น สิ่งที่ผู้ผลิตต้องทำมากขึ้น คือ การสร้างความแตกต่างทางกลยุทธ์และออกแบบให้เหมาะสมกับภูมิภาคนั้น ๆ เช่น กลุ่มสินค้าพรีเมี่ยมโตได้ดีในภาคใต้ เพราะมีกำลังซื้อสูง ดังนั้น สิ่งที่ผู้ผลิตต้องทำ คือ การตอกย้ำสินค้ากลุ่มนี้ เพียงแต่ต้องใส่ฟังก์ชั่นให้โดดเด่นและชูจุดขายให้ชัดเจนว่า ต่างจากแมสโปรดักต์เพื่อสร้างความแตกต่างให้ผู้บริโภค





สุดท้ายในแง่การเข้าถึงสื่อต่าง ๆ ของผู้บริโภคเมืองรองในแต่ละภูมิภาค พบว่าการเข้าถึงสื่อประเภทต่าง ๆ ที่ค่อนข้างใกล้เคียงกัน โดยจากข้อมูลแสดงให้เห็นว่า การเข้าถึงสื่อนอกบ้านของผู้บริโภคเมืองรองต่างกัน โดยภาคกลางและภาคเหนือมีการเข้าถึงสื่อนอกบ้านอยู่ที่ 47% ซึ่งน้อยกว่าภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งมีอัตราการเข้าถึงสูงสุดที่ 68% ขณะเดียวกัน แนวโน้มเวลาอยู่นอกบ้านของคนเมืองรองก็เพิ่มขึ้น ดังนั้น สื่อนอกบ้านต้องพัฒนารูปแบบของสื่อให้สอดรับคนในแต่ละพื้นที่มากขึ้น เพื่อดึงความสนใจ เช่น การทำสื่อนอกบ้านเป็นภาษาท้องถิ่น เป็นต้น




แม้เป็นจังหวัดรอง แต่ในแง่ของยอดขายสินค้ากลับไม่ได้เป็นรองจังหวัดหลัก ๆ เนื่องจากพฤติกรรมเมืองรองเปลี่ยนไป โดยมีไลฟ์สไตล์ใกล้เคียงกับคนจังหวัดหลัก ๆ มากขึ้น กล้าลอง พร้อมจ่าย เพียงแต่สินค้าและธุรกิจค้าปลีกต้องจับพฤติกรรมคนกลุ่มนี้และตอบโจทย์ให้ได้












“บอริส จอห์นสัน” ชนะขาดลอยคว้าตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของอังกฤษ”









รอยเตอร์ส รายงานวันนี้ (23 ก.ค.62) นายบอริส จอห์นสัน อดีตนายกเทศมนตรีลอนดอน ซึ่งเป็นหัวขบวนเรื่องการประชามติเบร็กซิตของสหราชอาณาจักร (UK) ประกาศคว้าชัยชนะแบบขาดลอย ในการลงคะแนนเลือกตั้งผู้นำพรรครัฐบาลอังกฤษ โดยเอาชนะนายเจเรมี ฮันท์ รัฐมนตรีต่างประเทศคนปัจจุบัน ด้วยคะแนนเสียง 92,153 คะแนนต่อ 46,656 คะแนน

ทั้งนี้ นายจอนห์สัน เตรียมเข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระราชินีนาถ เอลิซาเบธที่ 2 เพื่อขอรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของอังกฤษอย่างเป็นทางการ ในวันพรุ่งนี้ (24 ก.ค.62)


ขณะที่ บีบีซี รายงานว่า ผู้นำพรรคอนุรักษ์นิยมคนใหม่ ได้แถลงต่อสื่อมวลชนว่า ตนจะอาสาและพยายามนำ UK ออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป (EU) ให้สำเร็จตามเป้าหมาย โดยกำหนดการเบร็กซิตได้ขยายเวลาไปจนถึงเดือน 31 ต.ค.ปีนี้ หลังจากที่ นางเทเรซา เมย์ อดียนายกรัฐมนตรีหญิงไม่สามารถผ่านร่างกฎหมายและข้อเสนอในรัฐสภาอังกฤษได้


นอกจากนี้ นายจอห์นสัน กล่าวอีกว่า สำหรับคนที่เห็นต่างในการเบร็กซิต และยังไม่เชื่อว่าเป็นทางเลือกที่ดี ผมจะเติมพลังให้กับประเทศ และจะปฏิบัติตามเส้นตายการเบร็กซิต ไม่ว่าสภาจะผ่านข้อตกลงหรือไม่ก็ตาม


อย่างไรก็ตาม สมาชิกเพื่อนร่วมพรรคอื่นๆ ของนายจอห์นสัน แสดงจุดยืนคัดค้านการเบร็กซิตแบบ “ไร้ข้อตกลง” หรือ โนดีล มาโดยตลอดก่อนหน้านี้






“อาเบะ” คว้าชัยเลือกตั้งสภาสูง ได้ 71 เสียง ขึ้นแท่น “นายกรัฐมนตรียาวนานสุดในญี่ปุ่น”








การเลือกตั้ง ส.ว.ทั่วประเทศของญี่ปุ่นเมื่อวานนี้ (21 ก.ค. 62) ผลการนับคะแนนอย่างไม่เป็นทางการตั้งแต่เมื่อคืนนี้จนถึงช่วงเช้าของวันนี้ (22 ก.ค. 62) บ่งชี้ชัดเจนว่า พรรคร่วมรัฐบาล-พรรคเสรีประชาธิปไตย (Liberal Democratic Party : LDP) ได้ที่นั่งเกินครึ่ง โดยมีคาดการณ์ว่าพรรคของนายกรัฐมนตรีชินโสะ อาเบะ จะได้ที่นั่งในสภาประมาณ 66-76 ที่นั่ง จากทั้งหมด 124 ที่นั่ง



ล่าสุด “ซีเอ็นเอ็น” รายงานว่า นายชินโสะ อาเบะ ประกาศชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งล่าสุดนี้ โดยผลการนับคะแนนอย่างเป็นทางการ ชี้ขาดว่าพรรคของรัฐบาลได้เสียงที่นั่งในสภาทั้งหมด 71 เสียง ขณะที่รายงานระบุว่า นายอาเบะ ขึ้นแท่นว่าเป็น “นายกรัฐมนตรียาวนานที่สุดในญี่ปุ่น”

สำหรับพรรครัฐธรรมนูญประชาธิปไตย (Constitutional Democratic Party: CDP) คว้าเก้าอี้มาเป็นอันดับ 2 อยู่ที่ 53 ที่นั่งในสภา



ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีอาเบะ กล่าวต่อสื่อมวลชนว่า “ผมอยากขอขอบคุณทุกคะแนนเสียงจากประชาชนผู้ที่มห้การสนับสนุนเรา และนี่คือทางเลือกเกี่ยวกับความมั่นคง และความพยายามที่จะยุติปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองในญี่ปุ่น”




นอกจากนี้ นายอาเบะ กล่าวด้วยว่า พรรคของเขาตั้งใจที่จะแก้ปัญหาต่างๆ ที่รุมเร้าญี่ปุ่นในแผนการบริหารต่อจากนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการปฏิรูประบบประกันสังคม, สนับสนนด้านการศึกษาฟรี, การเสริมสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ และการรับมือกับประชากรสูงอายุ และปัญหาแรงงานที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง จนอาจจะกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นได้ในระยะยาว




ขณะที่ “อาเบะ” กล่าวด้วยว่า ยังคาดหวังที่จะเห็นการปรับเปลี่ยนแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับสันติภาพ ซึ่งเป็นประเด็นใหญ่ของประเทศ ทั้งยังมีเงื่อนไขกำหนดชัดเจนว่า พรรครัฐบาลจำเป็นต้องได้ที่นั่งในสภา 2 ใน 3 หรือราวๆ 85 ที่นั่งถึงจะสามารถเปิดเรื่องเพื่อยื่นการพิจารณาได้



ขณะเดียวกัน รายงานของ “เจแปนทูเดย์” ระบุว่า แผนการของนายกฯ อาเบะ ที่ต้องการจะปรับขึ้นภาษีการบริโภค (consumption tax) จากปัจจุบันที่ 8% เป็น 10% คาดว่าจะได้รับเสียงสนับสนุนในระหว่างที่เปิดให้พิจารณาเพื่อลงมติ ในเดือนต.ค.ที่จะถึงนี้ หลังจากที่เลื่อนมาแล้วถึง 2 ครั้ง




ทั้งนี้ คาดว่าการปรับขึ้นภาษีครั้งใหม่จะช่วยสร้างรายได้รัฐบาลได้ประมาณ 5-6 ล้านล้านเยนต่อปี ซึ่งรัฐบาลจะนำรายได้ส่วนนี้ไปชำระหนี้รัฐบาลที่ในปัจจุบันมีมูลค่าสูงถึง 1,277 ล้านล้านเยน หรือ ราว 232% ของ GDP นอกจากนี้ บางส่วนจะนำไปสนับสนุนด้านการศึกษา การดูแลบุตร และสวัสดิการของประชาชนในสังคมสูงวัยด้วย











“คีรี” แนะ “ศักดิ์สยาม” ดูภาระเอกชนก่อนทำรถไฟฟ้าราคาถูก ซัด รฟม.ปมลงทุนสีเหลืองต่อขยาย








นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานคณะกรรมการบริหาร บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้ง กล่าวว่า กรณีที่นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมมีนโยบายลดภาระค่าครองชีพประชาชน โดยจะปรับลดค่าโดยสารให้อยู่ในระดับราคา 15 บาท ถือเป็นคนที่มีความคิดดีที่จะช่วยเหลือประชาชน ขอชื่นชม

แต่การลดภาระประชาชนนั้น ก็อยากให้รัฐบาลเข้าใจด้วยว่าเอกชนที่ลงทุนโครงการต่างๆ ไปก่อนหน้านี้เขาต้องแบกรับภาระต้นทุนเท่าไหร่ และจะทำอย่างไรไม่ให้พวกเขาเหล่านี้เสียเปรียบ เพราะถ้าหากมีมาตรการใดออกมาแล้วมีผลกระทบกับเอกชน ต่อไปรัฐก็ควรจะลงทุนทำโครงการต่างๆ เอง



ไม่แคร์หากไม่ได้ต่อขยายสีเหลือง




ส่วนโครงการสายสีเหลืองส่วนต่อขยาย ช่วงสถานีแยกรัชดา-ลาดพร้าว ถึง แยกรัชโยธิน ระยะทาง 2.6 กม จำนวน 2 สถานี เงินลงทุนประมาณกว่า 3,000 ล้านบาท เป็นการเสนอโดยบีทีเอสและจะลงทุนก่อสร้างเองด้วย เพราะในทีโออาร์ตั้งแต่แรกไม่มีตรงนี้ บีทีเอสจึงขอสร้างให้ไปถึงตรงจุดดังกล่าว แต่ถ้ากระทบกับใครแล้วทำให้บีทีเอสไม่ได้ก่อสร้าง ก็ทำอะไรไม่ได้ ถ้าไม่อยากให้ทำบีทีเอสก็จะไม่ทำ


“ที่มีข่าวว่า ไม่ให้สร้างเพราะจะทำให้การการันตีรายได้ของบริษัทอื่นลดลงก็เป็นเรื่องที่แย่มาก และถ้าบีทีเอสไม่ได้สร้างส่วนต่อขยายนี้ก็ไม่ได้มีผลกระทบอะไรด้วย เพราะปัญหาไม่ได้อยู่ที่บีทีเอสแล้ว อยู่ที่รฟม.”



นายคีรีกล่าวต่อถึงการเจรจาต่อสัญญารถไฟฟ้าสายสีเขียวตามคำสั่งหัวหน้าคสช.ฉบับที่ 3/2562 ว่า ยังอยู่ระหว่างเจรจากับกทม.และกระทรวงมหาดไทย ตอนนี้ยังมีเวลาคุยกันเพราะเดดไลน์ของประเด็นนี้อยู่ที่ประมาณเดือน ก.ย.นี้ ขอให้การเจรจาในขั้นสุดท้ายออกมาก่อน บีทีเอสไม่รีบ

“ถ้าอยากให้เอกชนลงทุน เราก็ต้องมองก่อนว่ามี IRR เท่าไหร่ ซึ่งปัจจุบันเฉลี่ยอยู่ที่ 9% ทุกโครงการ ถือว่าไม่สูงแต่อยู่ในกรอบของผลตอบแทนที่สมเหตุสมผลอยู่ ส่วนค่าโดยสารที่กทม.ต้องการให้เก็บสูงสุดที่ 65 บาท ขอไม่ออกความเห็นในขณะนี้ เพราะยังอยู่ในระหว่างการเจรจา”



ทั้งนี้ นายคีรีกล่าวอีกว่า ต้องขอแก้ความเข้าใจเรื่องสัมปทาน 40 ปีก่อน ที่บอกว่า 40 ปีคือการรวมเอาสัมปทานเดิมที่จะหมดอายุปี 2572 มารวมด้วย ซึ่งที่จริงแล้วยังไม่หมดอายุ เหลืออีกประมาณ 10 ปี

“สัมปทานบีทีเอสเดิมมีอายุ 30 ปี ตอนนี้กำลังเข้าปีที่ 20 คุณจะยึดกลับไปแล้วเหรอ คิดอย่างนี้พูดอย่างนี้คือการบิดเบือน ดังนั้นจะเป็น 40 ปีได้อย่างไร”









พิษฝนกระหน่ำกรุง แห่แชร์ภาพป้ายโฆษณาริมถนนวิภาวดี ในสภาพหักใกล้ร่วง







เย็นวันที่ 23 กรกฎาคม เกิดฝนตกหนักทั่วกรุงเทพ ทำให้เกิดน้ำท่วม รถติดในหลายพื้นที่ ล่าสุด มีการแชร์ภาพและความเคลื่อนไหวผ่านทวิตเตอร์ จส.100 โดยมีผู้ใช้ถนนพบป้ายโฆษณาหักในสภาพใกล้หล่นลงมา บริเวณ ถนนวิภาวดีขาเข้า ซึ่งมีการรายงานว่า แถวโรงเรียนการบินกรุงเทพ ใกล้โชว์รูปปอร์เช่ ซอยวิภาวดี 72 ซึ่งภาพเผยให้เห็นป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ที่หักครึ่งและใกล้ร่วงลงมา









“พัทยา” ยังเดี้ยง นักท่องเที่ยวจีน-ยุโรปหาย






ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวส่งผลกระทบต่อรายได้จากการท่องเที่ยว สอดคล้องกับสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) รายงานสาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร ไตรมาส 1/2562 ขยายตัวร้อยละ 4.9 ชะลอลงจากการขยายตัวร้อยละ 5.3 ในไตรมาสก่อนหน้า


โดยโรงแรมขยายตัวร้อยละ 2.3 ชะลอลงจากที่ขยายตัวร้อยละ 5.6 ในไตรมาสก่อนหน้า ปัจจัยหลักมาจากการชะลอตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ที่ขยายตัวร้อยละ 1.8 เทียบกับการขยายตัวร้อยละ 4.3 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยนักท่องเที่ยวจากยุโรป โอเชียเนีย และตะวันออกกลางปรับตัวลดลง เช่นเดียวกับนัก
ท่องเที่ยวจีนที่ลดลง ร้อยละ 1.7 แต่ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับการลดลงร้อยละ 10.5 ในไตรมาสก่อนหน้า



นายเอกสิทธิ์ งามพิเชษฐ์ นายกสมาคมนักธุรกิจและการท่องเที่ยวเมืองพัทยา เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า จากที่สอบถามผู้ประกอบการและบริษัททัวร์หลายแห่งพบว่า ในปี 2562 นักท่องเที่ยวชาวจีนค่อนข้างเงียบ แม้ตัวเลขจะไม่ลดลง แต่เงียบกว่าทุกปีที่ผ่านมา โดยปกติจำนวนนักท่องเที่ยวจีนจะขยายตัวเพิ่มขึ้นทุกปี แต่ช่วงตรุษจีนก็ไม่ได้คึกคักมาก พอเดือนเมษายน พฤษภาคมเริ่มเงียบ ขณะเดียวกันประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามค่อนข้างน่ากลัว เพราะนักท่องเที่ยวไปค่อนข้างมาก ถือว่าเป็นคู่แข่งของประเทศไทย และเวียดนามมีแหล่งท่องเที่ยวค่อนข้างใหม่




“สำหรับพัทยาคาดหวังว่าการท่องเที่ยวอยากให้เป็นบวก แต่ด้วยสถานการณ์ตอบยาก สงครามการค้ามีผลกระทบอย่างมาก ออกข่าวในแต่ละครั้งก็เกิดผลกระทบ ยุโรปยังไม่ค่อยกลับมา รัสเซียเริ่มฟื้นตัวแต่ยังไม่มาก เราเห็นว่ามีกรุ๊ปทัวร์เข้ามา แต่ในกรุ๊ปทัวร์มีกลุ่มตลาดนักท่องเที่ยวกลุ่มเดินทางด้วยตัวเอง (FIT) อยู่ เพราะพอกรุ๊ปทัวร์หดตัว ก็เห็นกลุ่ม FIT เด่นชัด ส่วนอัตราการใช้จ่ายของ FIT ต่อหัวเยอะกว่า กระจายรายได้มากกว่า”




ขณะเดียวกัน ชาวจีนยังคงเดินทางมาซื้อหาอสังหาริมทรัพย์ เหมือนเก็งกำไร มองการลงทุนที่จะรองรับเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ในอนาคต ซึ่งเป็นข้อมูลโดยประมาณยังไม่ชัดเจนนัก แต่ทิศทางการพัฒนาที่เห็นคือมีนักลงทุนจีนมากว้านซื้อที่ดินมากขึ้น น่าจะเป็นอานิสงส์จาก EEC ที่จะพัฒนาสนามบิน โครงการรถไฟความเร็วสูงด้วย









ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่า หลังนักลงทุนกังวลต่อนายกฯคนใหม่อังกฤษ








ฝ่ายค้าเงินตราต่างประเทศ ธนาคารกรุงเทพ รายงานว่า ภาวะการเคลื่อนไหวตลาดปริวรรตเงินตราประจำวันอังคารที่ 23 กรกฎาคม 2562 ค่าเงินบาทเปิดตลาดเช้าวันนี้ (23/7) ที่ระดับ 30.87/88 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าจากระดับปิดตลาดในวันจันทร์ (22/7) ที่ระดับ 30.84/85 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า เมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่น ๆ ภายหลังประธานาธิบดีทรัมป์ ได้ประกาศข้อตกลงระหว่างสภาคองเกรส และพรรคเดโมแครตในส่วนของงบประมาณปีนี้ออกมาแล้ว โดยได้มีการปรับเพิ่มเพดานหนี้ของสหรัฐ เป็นเวลา 2 ปี ซึ่งหากสภาคองเกรสสามารถผ่านกฎหมายฉบับใหม่ในการปรับเพิ่มเพดานหนี้ได้ จะช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดการปิดที่ทำการรัฐบาลสหรัฐ หรือ Government เมื่อสิ้นสุดงบประมาณในวันที่ 30 กันยายนนี้ ซึ่งเป็นผลมาจากการที่รัฐบาลสหรัฐจะไม่สามารถชำระหนี้จำนวน 22 ล้านดอลลาร์ได้ ทั้งนี้ระหว่างวันค่าเงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 30.86-30.92 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ก่อนปิดตลาดที่ระดับ 30.91/92 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ




สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินยูโรในวันนีิ้ (23/7) ค่าเงินยูโรเปิดตลาดที่ระดับ 1.1198/99 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร อ่อนค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันจันทร์ (22/7) ที่ระดับ 1.1215/17 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร ค่าเงิน
ยูโร รวมถึงค่าเงินปอนด์ปรับตัวอ่อนค่าลงในช่วงนี้ หลังกดดันเมื่อนักลงทุนคาดการณ์ว่ามีแนวโน้มสูงที่นายบอริส จอห์นสัน จะได้รับเลือกเป็นผู้นำพรรคอนุรักษ์นิยม และนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของอังกฤษ ทั้งนี้ นายจอห์นสัน ได้ประกาศว่าจะดำเนินการแยกตัวจากสหภาพยุโรปในเวลาเพียง 3 เดือน ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเช่นใด สร้างความวิตกกังวลต่อนักลงทุนว่ากระบวนการแยกตัวดังกล่าวจะจบลงแบบไม่มีข้อตกลงใด ๆ (No-Deal Brexit) ทั้งนี้ระหว่างวันค่าเงินยูโรเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 1.1181-1.1205 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร และปิดตลาดที่ระดับ 1.1183/84 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร





สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินเยนในวันนี้ (23/7) เปิดตลาดที่ระดับ 108.04/05 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันจันทร์ (22/7) ที่ระดับ 107.86/88 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ ค่าเงินเยนอ่อนค่าจากการแข็งค่าขึ้นของดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ยังถูกกดดันจากปัจจัยภายใน หลังนายฮารุฮิโกะ คุโรดะ ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ส่งสัญญาณว่า BOJ จะพิจารณาการใช้นโยบายผ่อนคลายการเงินเพิ่มเติม หากความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นในเศรษฐกิจโลกนั้นส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจและเงินเฟ้อของญี่ปุ่น ทั้งนี้ค่าเงินเยนเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 107.81-108.19 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดที่ระดับ 108.16/17 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ



ดัชนีสำคัญทางเศรษฐกิจของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ดัชนีภาคการผลิตเดือน ก.ค. จากเฟดริชมอนด์ (23/7) ดัชนีราคาบ้านเดือน พ.ค. (23/7) ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตและภาคบริการขั้นต้นเดือน ก.ค. จากมาร์กิต (24/7) ยอดขายบ้านใหม่เดือน มิ.ย. (24/7) จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ (25/7) ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือน มิ.ย. (25/7) ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 2/2562 (26/7)




สำหรับอัตราป้องกันความเสี่ยง (Swap point) ภาคเช้า 1 เดือนในประเทศอยู่ที่ -2.4/-2.2 สตางค์/ดอลลาร์สหรัฐ และอัตราป้องกันความเสี่ยง ภาคเช้า 1 เดือนต่างประเทศอยู่ที่ 0.2/1.2 สตางค์/ดอลลาร์สหรัฐ









Spoil
แก้ไขล่าสุดโดย kneskung เมื่อ Wed Jul 24, 2019 01:45, ทั้งหมด 2 ครั้ง
โหวตเป็นกระทู้แนะนำ


ออฟไลน์
นักเตะกลางซอย
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 20 Jul 2007
ตอบ: 1035
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Wed Jul 24, 2019 09:40
(Day 74)สรุปข่าวประจำวันแค่ 7 นาทียกระดับความรู้รอบตัวของพวกท่าน
ขอบคุณครับ
โพสต์บนแอป Soccersuck บน Android
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
นักเตะอบจ.
Status: once blue always blue
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 13 Mar 2018
ตอบ: 8728
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Wed Jul 24, 2019 11:17
[RE](Day 74)สรุปข่าวประจำวันแค่ 7 นาทียกระดับความรู้รอบตัวของพวกท่าน
เศรษฐกิจไม่ดีจนสัมผัสได้เลย
โพสต์บนแอป Soccersuck บน iOS
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน

ออฟไลน์
นักเตะอบจ.
Status: สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 03 Sep 2018
ตอบ: 1882
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Wed Jul 24, 2019 12:59
[RE: (Day 74)สรุปข่าวประจำวันแค่ 7 นาทียกระดับความรู้รอบตัวของพวกท่าน]
ถ้าเป็นบ้านเราอาเบะได้คะแนนท่วมท้นแบบนี้อยู่นานแบบนี้ น่าจะโดนยุบพรรคโดนประท้วงเหมือนที่บ้านเราเคยทำกับใครน้าาา อันนี้ไม่เกี่ยวการเมืองแค่มองความต่างบ้านเรากะญี่ปุ่น55
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ไปหน้าที่ 1
ไปที่หน้า
GO
ตั้งกระทู้ใหม่
กรุณาระบุเหตุผลที่จะแจ้งความ
ผู้ต้องหา:
ข้อความ:
Submit
Cancel
กรุณาเลือก Forum และ ประเภทกระทู้
Forum:

ประเภท:
Submit
Cancel