โควต้าอาเซียน VS กฎโฮมโกรว์น (บทความ)
โควต้าอาเซียน VS กฎโฮมโกรว์น
มุมมองสวนทางของการพัฒนาแข้งทีมชาติ
“ค่าของคน วัดที่ผลของงาน”
ความล้มเหลวจากทัวร์นาเมนต์อันทรงเกียรติอย่่าง “คิงส์ คัพ ครั้งที่ 47” บ่งชี้ได้เป็นอย่างดีว่าทีมชาติไทย “ไม่อยู่กับที่” ก็กำลัง “ถอยหลังลงคลอง”
จริงอยู่นับตั้งแต่ “บิ๊กอ๊อด” พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง เข้ามาเป็นนกยกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย เรามีโครงสร้างหลายๆ อย่างที่เป็นมืออาชีพมากยิ่งขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นการสร้างศูนย์ฝึกฟุตบอลแห่งชาติที่ได้มาตรฐาน, การปลดหนี้สมาคมกว่า 300 ล้านบาท, การจัดอบรมโค้ชอย่างต่อเนื่อง หรือแม้กระทั่งการปราบทุจริต การล็อคผลบอล
แต่สุดท้ายทั้งหมดทั้งมวลสิ่งที่แฟนบอลสนใจมากที่สุดคือเรื่องของ “ผลงาน” และโชคไม่ดีที่ตลอด 3-4 ปีที่ผ่านมาขุนพล “ช้างศึก” ไม่ว่าจะชุดไหนๆ ก็หาอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันได้ยาก
พูดได้เต็มปากเลยว่านาทีนี้ เวียดนาม แซงเราขึ้นเป็นเบอร์ 1 อาเซียน เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากผลงานแชมป์เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2018 และการชนะเราได้แทบทุกชุดที่ลงแข่งขัน
ดังนั้นมันกลายเป็น “คำถาม” ที่ต้องกลับมานั่งไตร่ตรองดูว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับฟุตบอลไทย ทั้งๆ ที่ฟุตบอลลีก บ้านเราก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ทว่าทีมชาติกลับย้อนแยง ผลงานสาระวันเตี้ยลงในทุกๆ รายการ
สิ่งที่สมาคมฟุตบอลฯ นำมาพัฒนาวงการฟุตบอลไทย หลายๆ อย่างก็ได้รับการยอมรับ มีคนเห็นด้วยจำนวนมาก แต่ก็มีหลายนโยบายเช่นกันที่เสียงแตก โดยเฉพาะเรื่องของ “โควต้าอาเซียน” ที่ใช้ในไทยลีก
โดยเฉพาะฤดูกาล 2019 ที่กำลังฟาดแข้งกันอยู่ทุกสโมสรสามารถลงทะเบียนแข้ง AEC ได้แบบไม่มีจำกัด แม้พื้นที่ในสนามจริงจะลงได้เพียง 3 คนก็ตามที
เมื่อผนวกกับสูตรคำนวนการเลือกนักเตะลงเป็น 11 คนในสนาม ที่ปัจจุบันใช้ 3+1+3 (ชาติอื่นๆ 3 เอเชีย 1 อาเซียน 3) เท่ากับว่าหากทีมใดใช้เต็มโควต้า จะมีพื้นที่เหลือให้กับนักเตะใทยเพียง 4 คนเท่านั้น
ตรงนี้มีเสียงจากคนหมู่มากกังวลว่าเป็นการลิดรอนสิทธิของนักเตะไทย และอาจเป็นหนึ่งในต้นตอสำคัญที่ทำให้เราขาดแคลนนักเตะคุณภาพป้อนสู่ทีมชาติไทย เพราะไม่ได้รับโอกาสมากพอจากฟุตบอลลีกสูงสุดในประเทศ
ที่สำคัญหากนำนโยบาย “โควต้าอาเซียน” มาเทียบกับฟุตบอลลีกชาติที่พัฒนาแล้ว ดูเป็นแนวคิดที่สวนทางกันอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ที่คนไทยนิยมที่สุด
เพราะฟุตบอลลีกจากเมืองผู้ดีใช้ “กฎโฮมโกรว์น” ลงทะเบียนนักเตะ 25 คนต่อฤดูกาล จะต้องมีนักฟุตบอลในพื้นที่อย่างน้อย 8 คน หรือพูดง่ายๆ คือจำกัดแข้งต่างชาติมีสูงสุดได้ไม่เกิน 17 คนเท่านั้น
อังกฤษ เอากฎตรงนี้มาใช้เพื่อต้องการสร้างโอกาสให้กับนักเตะในชาติของตัวเอง หลังช่วงหนึ่งพวกเขามีผลงานที่ย่ำแย่ และในลีกสูงสุดของพวกเขามีแต่แข้งต่างชาติเข้ามาหากินอย่างมากมาย
ตรงนี้ยังไงก็ต้องมีผลบ้างไม่มากก็น้อย แม้หลายๆ ทีมดังยังคงนิยมใช้แข้งต่างชาติเป็นหลัก แต่โอกาสของแข้งอังกฤษ ในพรีเมียร์ลีก มันก็เพิ่มมากขึ้นในทุกๆ ปี
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่ายๆ ก็ อาร์เซนอล ภายใต้การคุมทีมของ อาร์แซน เวนเกอร์ ที่ยุคเฟืองฟูบางครั้งบางเกมก็เคยมี 11 ตัวจริงที่ไม่ใช่นักเตะสายเลือดผู้ดีเลยแม้แต่คนเดียว
แต่ช่วงหลังนับตั้งแต่มี “กฎโฮมโกรว์น” กุนซือชาวฝรั่งเศส ก็เริ่มปั้นและให้โอกาสนักเตะในพื้นที่มากยิ่งขึ้น เห็นได้จากแก๊งค์ “บิชติช คอร์” ที่นำทีมโดย อารอน แรมซี่ย์, แจ็ค วิลเชียร์ หรือ อเล็กซ์ อ็อกเลด แชมเบอร์เลน
เมื่อมาย้อนมองดูผลงานของทีมชาติอังกฤษ นาทีนี้ต้องบอกว่ากำลังมีอนาคตที่สดใส ทีมชาติชุดใหญ่ล่าสุดทะลุถึงรองรองฯ ฟุตบอลโลก 2018 ส่วนทีมเยาวชนก็คว้าแชมป์ เวิลด์ คัพ ในปี 2017 ได้ทั้งรุ่นยู-17 และ ยู-20
กลับมาที่บอลไทย ถามว่า “โควต้าอาเซียน” เป็นการกัดกินโอกาสที่จะพัฒนานักฟุตบอลไทยหรือไม่ ?
นับเฉพาะถึงตอนนี้คงพูดได้ไม่เป็นปาก เพราะเอาจริงๆ หลายๆ ทีมในไทยลีก ก็ยังไม่ได้ใช้โควต้าตรงนี้แบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย และหลายๆ ทีมก็ให้โอกาสดาวรุ่งมาแสดงฝีเท้ากันค่อยข้างเยอะอยู่
แค่ในอนาคตหากผลงานของทีมชาติไทย ยังไม่กระเตื้องขึ้น หรือมีนักเตะจาก เวียดนาม, มาเลเซีย และ ฟิลิปปินส์ ที่ทำได้เข้าตามากกว่า มันก็ไม่แน่เหมือนกันว่าจะไม่มีการดึงมาเสริมทีม ในเมื่อกฎกติกามันก็เอื้ออำนวยกันแบบเห็นๆ
และในอนาคตเราอาจจะต้องยืมสูตรเลียนแบบลีกอื่น ในการจำกัดโควต้านักเตะไทย เหมือนที่ลีกจีนจะบังคับให้ทุกทีมส่งแข้ง “อาตี๋” ที่อายุต่ำกว่า 23 ปีเป็นตัวจริงก็เป็นได้
เขียนมาทั้งหมดทั้งมวลแต่อยากเตือนสติสมาคมฟุตบอลฯ ให้คิดดีๆ หาคำตอบให้ถูกจุดว่าบอลไทยที่ไร้ความสำเร็จในยุค “บิ๊กอ๊อด” จริงๆ แล้วปัญหามันอยู่ที่อะไร
– กระบวนการเลือกโค้ชล้มเหลว
– ใช้นักเตะเดิมๆ จนโดนจับทาง
– ขาดโอกาสให้แข้งดาวรุ่งแจ้งเกิด
– เหตุผลอื่นๆ
นับถึงตอนนี้นึกภาพตามไม่ออกเลย หากหมดรุ่น ธีรธร บุญมาทัน, ชนาธิป สรงกระสินธิ์ หรือ ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ ที่หลายๆ คนเป็นเจเนอเรชั่นเดียวกัน แล้วขึ้นกันมาแบบยกแผง
ทีมชาติไทย เราจะฝากความหวังกับแข้งรุ่นใหม่ ไว้ที่ใครดี ?
ต้นฉบับ :
https://bit.ly/2IgbuNd
ปล.ผมเขียนเองนะครับ จากมุมมองที่ไม่ค่อยเห็นด้วยเรื่องโควต้าต่างชาติ + ผลงานของทีมชาติไทย ก็เป็นอย่างที่เราเห็น จาก ซิโก้, ราเยวัช และ โค้ชโต๋ย สมาคมต้องคิดแล้วว่ากำลังไปถูกทางหรือป่าว