บทเรียน ผ่านพ่อคนที่สองของ เบคแฮม #DB7
“ตอนที่ผมอายุ 41 ผมคิดว่าตัวเองเติบโตขึ้น และฉลาดขึ้นกว่าตอนที่อายุ 21”
เดวิด เบ็คแฮม เล่าถึงความเป็นไปของชีวิต ท่ามกลางการลองถูกลองผิดอย่างมากมาย สุดท้าย มันถูกกลั่นออกมาเป็นคำว่า “บทเรียน”
หากเปรียบไปแล้ว ชีวิตของเบ็คแฮม มีคุณพ่อสองคน คนแรกคือผู้ให้กำเนิดตามสายเลือด อีกคนคือเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผู้สั่งสอน และแนะนำวิธีเอาตัวรอดในโลกลูกหนัง แม้บางครั้ง อาจเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ ตามประสาเด็กวัยรุ่น ที่ไม่อยากฟังเสียงพ่อแม่พร่ำบ่น แต่เมื่อเวลาผ่านไป เราจะเข้าใจมันมากขึ้น ซึ่งคำสอนเหล่านั้น จะเผยให้เห็นถึงความสำคัญ .... ทีละเล็กทีละน้อย
“ย้อนเวลากลับไป มีบางอย่างที่ผมตัดสินใจผิดพลาด ผมเข้าใจแล้วว่า ทำไมป๋าถึงหงุดหงิด” เบ็คแฮม เล่าต่อ “ครั้งหนึ่ง, ภรรยาของผมอย่างวิคตอเรีย อยู่ที่ประเทศไอร์แลนด์ ผมมีวันหยุดพักผ่อน จึงตัดสินใจบินไปหาเธอที่นั่น”
“ผมมีความรู้สึกว่า ผมไม่จำเป็นต้องบอกทุกเรื่องที่ตัวเองกำลังทำ เพื่อให้ผู้จัดการทีมรับรู้ หลังจากนั้น ผมบินกลับมาในช่วงเวลา 6 โมงเช้า ผมนั่งอยู่ในเลานจ์ของสโมสร ป๋าเดินเข้ามา และไม่พูดกับผมแม้แต่คำเดียว ผมรู้ตัวแล้วว่า ปัญหากำลังจะเกิดขึ้น”
“ผมเข้าใจป๋าแล้ว กับความคิดที่ว่า -โอเค นายไม่ยอมดูแลร่างกายตัวเองเลย หรือไม่ก็ นายไม่พักผ่อนอย่างที่ควรจะเป็น- ผู้จัดการทีมทุกคนย่อมอยากมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับทีม และนักเตะแค่ละคน”
ท่ามกลางเหตุการณ์ “สตั๊ดบิน” ทำให้เบ็คแฮม และพ่อคนที่สองต้องแยกจากกันไป ทว่าเขายืนยันคำเดิมเสมอ ในทุกบทสัมภาษณ์ว่า เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน คือผู้จัดการทีมที่ดีที่สุดในโลกสำหรับเขา และเป็นคนที่สร้างเขาจนมาอยู่ตรงจุดนี้
เบ็คแฮม ทิ้งท้ายถึงเหตุการณ์ที่แสนมืดมนในชีวิต จากการโดนใบแดงไล่ออกจากสนาม เกมกับทีมชาติอาร์เจนติน่า ในศึกฟุตบอลโลก 1998 รอบสุดท้าย จนกลายเป็นแพะ และที่ระบายของคนทั้งชาติ ... ยกเว้นกับเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน รวมถึงเพื่อนร่วมทีม และแฟนบอลที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
“คนแรกที่โทรหาผม หลังจากเหตุการณ์ในเกมนั้น ก็คือป๋า .... ป๋าบอกกับผมว่า -ฟังนะลูกชาย นายกลับมาบ้านของเราที่แมนเชสเตอร์ นายจะไม่เป็นไร- คำพูดดังกล่าว ช่วยเติมเต็มพลังให้กับผม ในการฝ่าฝันช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดในชีวิตของผมไปได้”