กทม. มีสัดส่วนพื้นที่สีเขียวเพียง 3.16%

ในขณะที่
โตเกียว 7.5%
สิงคโปร์ 47%
ฮ่องกง 40%
ลอนดอน 33%
นิวยอร์ก 27%
โซล 27.8%
เซี่ยงไฮ้ 16.2%
LA 37.4%
โรม 38.9%
ปารีส 9.5%


ดูจากตัวเลข เรามีพื้นที่สีเขียวน้อยมากจริงๆ และสวนทางกับการเติบโตของสังคมเมืองใน BKK แน่นอนถ้าธรรมชาติหรือพื้นที่สีเขียวในเมืองน้อยลง ตึกและรถมีมากขึ้นก็จะเกิดปัญหาแบบที่เราเผชิญกันอยู่ทุกวันนี้ คือ ฝุ่น และอากาศที่ร้อนขึ้นทุกๆปี สาเหตุของการเกิดฝุ่นละอองมีหลายปัจจัย เช่น โรงผลิตไฟฟ้า ควันท่อไอเสียจากรถยนต์ การเผาไม้ทำลายป่า เผาขยะ รวมถึงควันบุหรี่ด้วย

แต่แหล่งต้นตอสำคัญของ PM2.5 ในบรรยากาศ คือ การเผาไหม้เชื้อเพลิงธรรมชาติที่ไม่สมบูรณ์ และฝุ่นจากการก่อสร้าง

หลายเมืองใหญ่ในโลก ก็มีความพยายามที่จะเพิ่มพื้นที่สีเขียว ลดอัตราจรถเครื่องยนต์ดีเซล และรวมถึงมลพิษอื่นๆ เพื่อคนที่อยู่ในเมือง เพราะจากผลวิจัย ชี้วัดได้ว่า การแก้ไขเรื่อง ฝุ่น และอากาศร้อนในเมืองสามารถจัดการได้ในทั้งระยะสั้นและระยะยาวโดยการจัดการตามที่กล่าวมาข้างต้น

หนึ่งในวิธีที่จะเพิ่มพื้นที่สีเขียวในเมืองคือ การออกแบบอาคารบ้านเรือนหรือ สิ่งปลูกสร้าง

การออกแบบอาคารโดยนำพื้นที่สีเขียวมาอยู่ผสมผสานกับตัวสิ่งปลูกสร้างไม่ใช่เรื่องใหม่แต่เป็นเรื่องที่น่าสนใจ และควรนำมาใช้เพื่อการวางแผนระยาวในการสร้างเมือง

การนำพื้นที่สีเขียวมาไว้ในสิ่งปลูกสร้างปรากฏหลักฐานชัดเจน ที่เมือง บาบิโลน(Babylon) เมื่อกว่า 800 ปีก่อนคริสตกาล เรียกว่าสวนลอยฟ้าแห่ง บาบิโลน(Babylon hanging gardens)








ต่อมาจะเป็นภาพอาคารตัวอย่างที่ถูกสร้างขึ้นแล้วและเป็นการเพิ่มพื้นที่สีเขียวในยุคปัจจุบัน

1..Norman Foster's Willis Faber and Dumas Headquarters in Ipswich ประเทศอังกฤษ ออกแบบโดย Sir Norman Foster สร้างเสร็จเมื่อ คศ 1975






จากงานวิจัย ในออสเตรีย พบว่า สวนขนาดเล็ก สามารถลดความร้อนในพื้นที่นั้นๆ ได้มากถง 7 degrees Celsius และต้นไม้ที่ปลูกในเมืองยาวไปตามพื้นที่ข้างถนนสามารถลดอุณหภูมิได้สูงสุดถึงand 3.9 degrees Celsius.

อาคารที่มีพื้นที่สีเขียวบนหลังคา จะมีอุณหภูมิที่เย็นกว่าอาคารทั่วๆไปสูงสุดถึง
4.4 degrees Celsius




ACROS in Fukuoka Japan





Fuji Kindergarten in Japan







Olympic Sculpture Park, Seattle USA






Brooklyn Botanic Garden Visitor Center, Brooklyn USA





Chicago’s Millennium Park USA









Park royal in Pickering hotel and Meera sky gardent in Singapore










Bosco Verticale vertical forest residential towers milan Italy







vietnam




By AKA SBR


Credit :TheB1M / smartcitiesdive / honestdocs / nbcnews

เอาสายไฟลงดินให้หมดก่อนเถอะ เมืองใหญ่ๆ เค้ามีพื้นที่สีเขียวเยอะเพราะเวลาต้นไม้มันโตมันไม่ได้ไปเกี่ยวกับสายไฟเนี่ยแหละ บ้านเราพอมันโตก็ตัดซะเหี้ยน พอต้นไม้ต้นไหนไม่แข็งแรงมันก็ยืนต้นตาย

จัดตั้งโครงการปลูกไม้ยืนต้นในพื้นที่ส่วนบุคคลลดหย่อนภาษีได้

ใครมีเนื้อที่เยอะปลูกเยอะได้ภาษีลดหลั่นกันไป แม้จะลดภาษีไม่ได้เยอะเท่าการบริจาคการกุศล

แต่สิ่งที่ปชช.ได้แน่ๆคือความร่มรื่น อากาศจะเย็นขึ้น ฝุ่นน้อยลงกทม.และปริมณฑลมีบ้าน

นับ 10 กว่าล้านครัวเรือนนั่นคือเราจะมีต้นไม้เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 10กว่าล้านต้น

ถ้าลองเริ่มต้นทำได้ขนาดนั้นจริงๆปัญหามลภาวะและความร้อนจาก climate changes

น่าจะบรรเทาเบาลงไม่มากก็น้อยแหละ พอพูดถึงนโยบายขายฝันแบบนี้ก็อดคิดไม่ได้

ว่าจริงๆแล้วสิ่งที่จะเปลี่ยนสถานการณ์โลกร้อนได้จริงๆก็คือการร่วมมือกันของมนุษย์ทุกคนบนพื้นพิภพนี่แหละ

เอ้าเพลง Imagine ของ John Lennon มา

ตึกใหม่ๆ ก็เขียวอยู่นะ อย่าง Energy Complex 555 หยอกๆ

อย่างพวกโรงงานเขามีกฎหมายต้องมีพื้นที่สีเขียว 10-20% ก็ว่ากันไป พวกบ้านจัดสรร คอนโด ห้างสรรพสินค้า ก็น่าจะมีด้วยมั้ง แต่พวกต้นไม้อยู่เดี่ยวๆ หรือไม้ประดับถ้าไม่ได้เป็นป่าระดับป่าชุมชน มันน่าจะช่วยฟอกอากาศอะไรไม่ได้มาก มลพิษมันเยอะ ตัวมันเองแทบจะไม่รอด

ผมว่าน่าจะมีพวกกองทุนสาธาณะ เช่น จะสร้างตึกต้องมีพื้นทีสีเขียวก็เอามารวมๆกันจะซื้อที่ดินเป็นสวนสาธารณะใหญ่ๆ ประจำพื้นที่ไปเลย

หรืออีกแนวทางนึง ย้ายพวกหน่วยงานหรือศูนย์กลางเศรษฐกินไปพื้นที่ใหม่ให้ไกลจาก กทม หน่อย เช่น นครปฐม นครนายก สุพรรณ ชลบุรี แล้วไปสร้างเมืองใหม่ที่มีสัดส่วนพื้นที่สีเขียวที่ดีกว่านี้

ยากมาก ผังเมืองเละตั้งแต่แรก แก้ไขลำบาก