[CFC] ทำไมแทคติกของลุงจดถึงไปไม่รอดที่เชลซี
Why Sarri’s Tactics Don’t Work At Chelsea
ทำไมแทคติกของลุงจดถึงไปไม่รอดที่เชลซี
credit: Blair Newman
Tifo football :
https://www.youtube.com/embed/d0LKGRMHTQ0
หลังจากได้ดูคลิปนี้ แล้วเห็นว่ามีประโยชน์มากๆ แล้วหลายส่วนก็คิดตรงกันบ้างเลยอยากจับใจความสำคัญจากคลิปวิดิโออันนี้มาให้ทุกคนได้อ่านกันครับ
แน่นอนว่าการสร้างระบบรูปแบบการเล่นจากอีกทีมหนึ่งมาอีกทีมหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย ล้วนมีปัจจัยที่ต้องคำนึงถึงมากมายสำหรับการจะสร้างระบบที่สมบูรณ์แบบขึ้นมาได้ แม้กระทั่งกับแมนเชสเตอร์ซิตี้ ลิเวอร์พูลต่างใช้เวลาพัฒนาระบบในทีมขึ้นมาหลายต่อหลายปี
เป๊ปที่ล้มเหลวในปีแรกกับลีกอังกฤษ หรือคล็อปเองที่ต้องใช้เวลาหลายปีในการพาทีมลิเวอร์พูลติดลมบนกลายเป็นทีมลุ้นแชมป์ในประเทศและในยุโรป ต่างก็เคยล้มเหลวและเป็นผู้แพ้มาก่อน แต่ปัจจัยหลักๆที่มันจะช่วยส่งเสริมได้ดีมากๆนั่นคือ " Time " และ " Money "
เมาริซิโอ ซาร์รี่ หนึ่งในกุนซือชาวอิตาเลียนผู้สร้างนิยาม Sarri-ball แก่นาโปลีย้ายเข้ามาสู่เชลซีและพยายามจะปฏิรูปวิธีการเล่นของเชลซีในแบบของเขา แต่ผลลัพธ์ ณ ตอนนี้กลับไม่เป็นอย่างแฟนบอลหรือตัวเขาเองคาดหวังเอาไว้
เชลซีแพ้เกมลีกไปแล้ว 8 เกมในซีซั่น และเป็นการแพ้กับทีมหัวตารางเกือบทั้งหมด (แพ้แมนซิ 0-6, ลิเวอร์พูล 0-2, อาร์เซน่อล 0-2, เอฟเวอร์ตัน 0-2, วูล์ฟ 1-2, สเปอร์ 1-3) รวมถึงพลาดทำแต้มหล่นตลอดเส้นทางในเกมลีกรวมถึงเกมพ่ายคาบ้าน 0-1 ต่อเลสเตอร์ ซิตี้และบุกไปโดนบอร์นมัธสอนบอลถึง 4-0 แสดงสัญญานของความล้มเหลวและฟอร์มที่ไม่แน่นอนของเชลซีในซีซั่นนี้
นักวิเคราะห์หลายคนล้วนพูดเป็นเสียงเดียวว่าการระบุเจาะจงจุดอ่อนเป็นข้อข้อให้เชลซีนั้นทำได้ยาก แต่สามารถสรุปได้ว่าปัญหาสำคัญคือ แทคติกในทุกส่วนของสนามที่มีข้อผิดพลาดมากมาย ซึ่งสามารถแบ่งได้ดังต่อไปนี้
Attacking Phase
ซาร์รี่วางระบบที่เชลซีด้วยระบบที่คุ้นตา(และคุ้นเคยสำหรับทีมฝั่งตรงข้าม) ในระบบ 4-3-3 เหมือนกับที่วางที่นาโปลี โดยใช้มิดฟิลด์ตัวขึ้นเกมอย่างจอร์จินโญ่เป็นจุดศูนย์กลางในการสร้างพื้นที่สามเหลี่ยมระหว่างคู่เซนเตอร์แบ็ค เพื่อรับส่งต่อบอลในการเซ็ตอัพเกมจากแนวหลังจากสถานการณ์ที่กดดัน แต่สิ่งที่คิดไว้กลับทำไม่ได้อย่างที่หวัง วิธีการเล่นดังกล่าวสามารถถูกทลายลงได้ด้วยการเพรสซิ่งที่มีหนักและมีระบบระเบียบ คู่ต่อสู้รู้วิธีการสร้างสามเหลี่ยมและสามารถอ่านเกมเพื่อเพรสซิ่งใส่คู่เซนเตอร์แบ็คได้แบบสบายๆ จนทำให้ในหลายเกมจอร์จินโญ่ไม่สามารถรับบอลจากคู่เซนเตอร์แบ็คได้ และมักจะลงเอยที่การปล่อยบอลของทางฟูลแบ็คสองข้างเพื่อเพิ่มพื้นที่บริเวณกลางสนามหรือในกรณีที่คู่ต่อสู้บีบด้านข้างอีก มักจะใช้บอลยาวเล่นงานซึ่งเป็นเหตุผลที่ซาร์รี่เลือกใช้กองหลังที่เปิดเกมได้
และถึงแม้ในบางครั้งมันเหมือนจะทำได้สำเร็จ แต่ความล้มเหลวก็เกิดขึ้นบ่อยครั้งเมื่อผู้เล่นในแนวรุกของเชลซีในการรับบอลยาวมีรูปร่างที่ไม่ได้สูงใหญ่ จึงไม่สามารถเก็บบอลได้ดีมากนัก (ยกเว้นชิรูด์) ทำให้บอลยาวส่วนใหญ่จะลงเอยที่ด้านกว้างแล้วก็วนกลับมาเซ็ตใหม่ที่แนวหลังอยู่ทุกที ทีมใหญ่เล่นงานเชลซีด้วยรูปแบบนี้ ไม่ว่าจะสเปอร์หรือลิเวอร์พูล ในการตัดการขึ้นเกมให้หมดสิ้นจากแนวหลังของเชลซีเอง
ในขณะที่บางทีมเลือกใช้วิธีการลงไปรับลึกในแนวหลัง ในหลายๆเกมเชลซีถูกจอดรถบัสขวางประตู รวมถึงมีพื้นที่ให้จอร์จินโญ่เล่นได้สบาย แต่มันก็ชดเชยด้วยการที่ถึงแม้ว่าจะมีบอลให้ครองแต่ทีมเหล่านั้นมั่นใจว่าเชลซีจะไม่สามารถสร้าง passing สวยๆผ่านแนวรับไปได้ง่ายๆ อีกทั้งการยืนที่หละหลวมบริเวณกลางสนามของเชลซี กลายเป็นจุดอ่อนสำคัญ คู่มิดฟิลด์ตรงกลางมักสร้างพื้นที่ว่างสำคัญในยามที่ทีมเสียบอลนำไปสู่ช่องว่างไปถึงแบ็คโฟร์ได้อย่างง่าย
เพราะฉะนั้นปัญหาที่สำคัญคือการ Movement และการ Support พื้นที่ที่แย่ของเชลซีนำไปสู่การเล่นเกมรุกที่ไม่ไหลลื่น มิหนำซ้ำยังสร้างความลำบากเวลาต้องเป็นฝ่ายเล่นเกมรับ
ตัวอย่างง่ายๆ ที่จะยกมาก็คือ ตำแหน่งปีกซ้าย กลางตัวซ้าย และแบ็คซ้าย ชอบเคลื่อนที่เข้ามาเล่นด้วยกันอยู่บ่อยครั้ง และมักจะโยกตำแหน่งกันไปมาเพื่อเพิ่มพื้นที่ว่างด้านกว้างและทะลุไปได้ ซึ่งกลายเป็นว่าหลายครั้งที่เรามักเห็นผู้เล่นแบ็คซ้ายเติมสุดตลอดเวลา ในขณะที่กลางซ้ายไม่สามารถเติมได้เนื่องด้วยข้อจำกัดของแทคติก ทำให้หลายครั้งตัวรุกในพื้นที่สุดท้ายมักจะมีเพียงกองหน้ายืนเปล่าเปลี่ยวอยู่คนเดียว
เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้โมราต้าล้มเหลวกับเชลซีเพราะว่าต้องอยู่คนเดียวในเขตโทษ กอปรกับจุดอ่อนในเรื่องรูปร่างและความแข็งแกร่งส่งผลให้เขาไม่สามารถเก็บบอลได้และไม่สามารถเอาชนะกองหลังได้ด้วยตัวคนเดียว อิกวาอินที่เพิ่งเข้ามาก็ยังไม่สามารถเรียกฟอร์มหรือความมั่นใจสมัยนาโปลีกลับมาได้ รวมถึงชิรูด์เองก็ไม่สามารถหาความสม่ำเสมอของฟอร์มการเล่นเป็นตัวจริงในเกมลีกได้มากนัก
Defensive Phase
ใครว่าเกมรุกไม่สม่ำเสมอ แต่เกมรับเชลซีสม่ำเสมอที่สุดแล้วในตอนนี้ในแง่ของการเสียประตู ปีนี้เชลซีเสียถึง4ประตูไปสองเกม (บอร์นมัธ 0-4, แมนซิ 0-6) เทียบเท่ากับในยุคคอนเต้ตลอด2ปี (เสีย4ประตูเกมเดียวในเกมที่บุกไปแพ้วัตฟอร์ด 1-4)
วิธีการเพรสซิ่งในระบบซาร์รี่มีความคล้ายคลึงกับนาโปลีอยู่บ้างด้วยการเริ่มต้นเพรสซิ่งจากศูนย์หน้าและปีกสองข้าง ก่อนที่จะลงมายืนในระบบ 4-5-1 ในกรณีที่คู่ต่อสู้สามารถแก้รูปแบบแรกได้แล้ว โดยอาศัยผู้เล่นมิดฟิลด์สองตัวในการขึ้นไปบีบแทน แต่นั่นกลายเป็นอีกหนึ่งแผลสำคัญที่โดนเล่นงาน มันหมายความว่าพื้นที่ด้านหลังมิดฟิลด์ตรงนั้นจะว่างทันที ทำให้คู่ต่อสู้สามารถมารับบอลจากพื้นที่ตรงนั้นและหันหน้าเข้าหาประตูได้อย่างง่ายดาย โดยเฉพาะกับทีมที่เล่นตามช่องได้เก่งอย่างแมนซิตี้
ซาร์รี่แก้ด้วยการให้ตัวด้านข้าง ทั้งปีกและแบ็คบีบพื้นที่ให้มากที่สุดเพื่อปิดช่องว่างการแทงตามช่อง แต่อูไน เอเมอรี่กุนซือของอาร์เซน่อลก็เล่นงานได้อีกครั้งด้วยการเล่นที่พื้นที่ด้านข้างและใช้การ crossing และ cut-back เมื่อเซนเตอร์แบ็คและมิดฟิลด์เสียตำแหน่ง ซึ่ง4ประตูที่เชลซีเสียให้อาร์เซน่อลฤดูกาลนี้ มาจากการให้พื้นที่ในการเปิดบอลจากด้านข้าง (หลายเกมก็เช่นกันที่เชลซีเสียประตูจากการเปิดด้านข้าง)
ปัญหาอีกหนึ่งอย่างที่เชลซีพบเจอคือการโดน Switch บอลไปเล่นอีกข้างของสนามอยู่บ่อยครั้งและมักทำให้แบ็คด้านข้างต้องเจอกับสถานการณ์ 1-1 อีกทั้งการเปิดตัดไปบริเวณเสาไกล ผู้เล่นในตำแหน่งปีกไม่ได้ลงมาปิดตามที่ได้รับแทคติกมา เหมือนในเกมกับลิเวอร์พูลที่มีเสียประตูแรก
10 ประตูในซีซั่นนี้เชลซีเสียจากลูกเตะมุมและลูกฟรีคิก มาจากการประกบตัวที่หละหลวมและข้อผิดพลาดซ้ำๆซากๆจากความไม่เข้าใจในเกมรับ
สรุปหลักๆคือเกมรับมีปัญหาในวิธีการเล่นเพรสซิ่ง ถึงแม้จะสามารถแก้ได้แต่ก็ยังมีปัญหาที่ผู้เล่นฟูลแบ็คสองข้างที่เล่นเกมรับ 1-1 ได้ไม่ดีและบ่อยครั้งที่เสียประตูจากด้านข้าง ซึ่งมาจากความไม่ยืดหยุ่นและความไม่เข้าใจกันในระบบจริงๆ
Conclusion
หัวใจสำคัญคงหลีกหนีไม่พ้นในการตั้งคำถามถึงแทคติกของซาร์รี่ ที่ยึดมั่นถือมั่นในระบบ 4-3-3 อย่างสุดหัวใจ ไม่มีการเปลี่ยนวิธีหรือเพิ่มความยืดหยุ่นแต่อย่างใดนับตั้งแต่สิงหาคม 2018 ซึ่งนั่นหมายถึงการที่คู่ต่อสู้สามารถรับมือได้ง่ายและทำการบ้านเพื่อเตรียมทีมสู้กับเชลซีอย่างสบายใจโดยอิงจากข้อมูลของทีมต่างๆ
อย่างที่เกริ่นไว้ข้างต้นว่าสิ่งสำคัญคือเวลากับเงิน แต่เชลซีอาจจะไม่สามารถให้ได้ทั้งสองอย่างอีกต่อไป เนื่องด้วยแฟนบอลบางส่วนเสพติดความสำเร็จ ถึงแม้สัญญานในแง่บวกอย่างการดันเด็กดาวรุ่งสองคนสู่ทีมใหญ่อย่าง ลอฟตัสชีค หรือ โอดอย จะทำให้แฟนบอลพึงพอใจ แต่มันก็แค่ชั่วคราวเท่านั้นเพราะสิ่งสำคัญคือโทรฟี่ อีกทั้งเชลซีอาจถูกแบนตลาดซื้อขาย นั่นทำให้ซาร์รี่อาจจะไม่สามารถหานักเตะตามที่ตัวเองต้องการได้ หมายความว่าเราอาจจะไม่ทันได้เห็น(หรือไม่มีวันได้เห็น) สิ่งที่ซาร์รี่ต้องการจะมอบให้เชลซีอีก ...
เอาใจช่วยนักเตะในช่วงโค้งสุดท้ายนี้ละกัน แฟนบอลคงหวังกับยูโรป้ามากๆ ขอให้นักเตะสู้สุดใจก็พอครับ !
ปล. มีความเห็นติชมบอกได้เลยครับ